ข่าวด่วน บทกวี เรื่องจากใจ tiki_ทิกิ ที่นี่ค่ะ บันทึก ummm My Novel too.(In Thai).
 
.♣..♥ ๐๐๐ ภาคสี่ บท ๑๕.♥ ♣..

ภาคสี่
บทที่ ๑๕
เสวยวิบาก ณ อาณาจักรกรรม


ที่เรือนไม้ชั้นเดียวหลังนั้นเป็นที่พำนักของเรามา
ได้เพียงไม่กี่ปี ระหว่างที่อยู่ที่นั่น ข้าพเจ้ามีแต่ทุกข์ทรมาณ
น้ำตาตกอยู่เรื่อย หากคิดเป็นชัยภูมิของชีวิตก็ตกที่นั่งลำบาก
ตรากตร่า ประมาณว่า นาคกำลังถูกครุฑเหยียบ จิกหัวไว้ไม่
ให้เลื้อย ทำอะไรถึง ไม่ค่อยขึ้น

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=tiki&date=03-04-2008&group=7&gblog=8


Create Date : 03 เมษายน 2551
Last Update : 25 กรกฎาคม 2551 18:24:38 น. 6 comments
Counter : 363 Pageviews.  
 
 
 
 
หวัดดีจ้าคุณทิกิ..ขอบคุณนะคะที่ให้เราเป็นแขก vip ประจำบล็อกค่ะ
 
 

โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:7:26:42 น.  

 
 
 

นั่นสินะ ข้าพเจ้ากำลัง จะเล่าย้อนไปว่า เพราะ
การแต่งงานใหม่-น่าจะเรียกว่า 'แต่งงาน' เฉย ๆ ด้วยข้าพเจ้า
ยังไม่เคยแต่งงานกันมาก่อนเลย แล้วอีกสองปีต่อมาก็มี
ลูกชายมาหนึ่งคน คุณแม่สามีได้ทำการต่อเติมเรือนไม้ข้าง
บ้านท่านให้เป็นห้องหับพออยู่อาศัยได้ เป็นที่ที่ต้องไปเสวย
วิบากคือผลของกรรมที่ได้กระทำไว้
- หากแต่ข้าพเจ้าไม่อยู่เสวยนาน ชิงออกมาก่อน -

เคยถามท่านอาจารย์ศักดิ์ (อาจารย์ที่เคารพของคู่ชีวิต
ของข้าพเจ้าซึ่งได้ช่วยรักษาโรคถูกคุณไสยให้แก่ข้าพเจ้า )ใน
ภายหลัง ท่านบอกว่า
"หากอยู่ต่อไป ก็จะร่ำรวยเงินทองเป็นหลายล้าน ..!
เธอมันไม่อดทน เราไม่รู้จักรับกรรมกันบ้างเลยหรือ.. คนเรา
จะวิ่งหนีกรรมไปได้สักแค่ไหน ?? "

ปีพ.ศ. ๒๕๒๔ นับจากวันที่แต่งงาน อยู่ที่บ้านคุณแม่
ตนเอง แล้วต่อมาก็ย้ายไปอยู่ที่ที่พักน้องชายที่พหลโยธิน - จน
ถึงเกือบปลายปี พ.ศ ๒๕๒๖ เป็นเวลาสองปี จวบจนให้กำเนิด
ลูกชาย ซึ่งเมื่อทารกมีอายุได้ สิบห้าวัน ก็ต้องย้ายจากที่พัก
น้องชายข้าพเจ้าที่พหลโยธิน(ย้ายอีกแล้ว) ไปอยู่กันที่บ้านไม้
หลังนั้น ทางเข้าซอยขรุขระนิดหน่อยแต่ก็พอทนได้ เพราะบ้าน
เป็นหลังที่สามจากถนนใหญ่ แต่...แต่ข้าพเจ้าไม่เคยคิดจะอยาก
ไปอยู่ที่นั่นเลย

ช่วงปี ๒๕๒๔ ปีแรกของการแต่งงานตอนที่อยู่บ้าน
คุณแม่ข้าพเจ้านั้น นิคตามใจ(เพราะว่าอะไรไม่ได้ หรือ ไม่ก็
เพราะยังไม่รู้ในสิ่งที่ข้าพเจ้าร้อนรนไปทำมาก่อน) ให้ข้าพเจ้า
ไปดาวน์บ้านชั้นเดียวไว้หลังหนึ่งแถบทุ่งสีกัน ดอนเมือง แต่
ครั้งนั้น คุณแม่สามีถึงแก่สั่งให้รับไปดู พอเห็นสภาพบ้าน ซึ่ง
ข้าพเจ้าก็ว่าดีแล้ว ท่านก็บอกไกลเกินไป เข้าไปในทุ่งลึกลิบลิ่ว
ข้าพเจ้าก็เลยไม่ได้จ่ายดาวน์ต่อ ปล่อยให้เขายึดไปอีก แล้ว
ต่อมาก็ได้สิทธิ์จองอีกหลัง คล้าย ๆ กัน ที่ทางเมืองทองธานี
เพราะ'ว่าที่น้องสะไภ้'เธอทำงานอยู่รัฐวิสาหกิจ ให้ข้าพเจ้าไป
ใช้สิทธิ์จองทาวน์เฮ้าส์อีกหลังหนึ่ง คราวนี้จ่ายไป สองหมื่น
แปดพันบาท ค่าจอง แต่เกิดปัญหากับคุณสามีอีกว่า ไม่อยาก
จะไป ก็คิดจะเจรจาขอค่าเงินดาวน์คืน โชคดีที่มีคนใน รัฐ
วิสาหกิจนั้น มาขอซื้อเงินดาวน์ต่อ ข้าพเจ้าก็เลยไม่ได้จอง
บ้านที่ไหนสักหลัง

ก็นึกถึงที่ดินแปลงของตัวเองอยู่เสมอ เข้าไปดูครั้งไร
ก็เห็นความเปลี่ยนแปลงรอบข้าง มีน้ำท่วมขึ้นมาบ้าง ด้านหลัง
ที่ที่เคยเป็นบึงใหญ่ ก็กลายเป็นที่ดินสูงขึ้น ถมที่ทั้งหมดแล้ว
ก่อสร้างตึกใหญ่ยาว ขึ้นมาบดบังทัศนียภาพทั้งหมด ว่าเป็น
โรงงานทำดอกไม้ส่งออก

ถึงจะไปเห็นขนาดนั้น ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้
เพราะยังต้องมีชีวิต อย่างกระเบียดกระเสียร ใช้จ่ายเงินใน
ซองวันละ สามสิบบาทอยู่มาอีกเกือบสองปี ส่วนอีกหมื่นกว่า
บาทที่เป็นเงินเดือนตัวเองนั้น ตั้งหน้าตั้งตาทนส่งคืนท่านเจ้า
หนี้ทั้งหลายไปได้อีกสักแสนกว่าบาทแล้ว ยังมีหนี้ค้างอีกสัก
สองแสนกว่า ซึ่งก็หมายถึงว่า โฉนดที่ดินยังติดเจ้าหนี้อยู่
อย่างนั้น

ตอนที่ลูกชายคนแรกของตระกูลคุณสามี แต่นับเป็น
ลูกคนที่สองของข้าพเจ้า เกิดมา ก็จำต้องทนภาวะจำยอมที่
จะเข้าไปอยู่ที่บ้านนั้น เพราะไม่รู้จะนำทารกน้อยอายุสิบห้าวัน
นั้นไปฝากใครเลี้ยง แม้นว่า สองปีนับจากแต่งงานที่ผ่านไป
ข้าพเจ้าต้อง ทนทุกข์กับคำประชดประชันเสียดสีเหน็บแนม
ว่ากล่าวของท่านมารดาของสามีอยู่เนือง ๆ (พบกันทุกวันเสาร์)
จนแทบจะกรี๊ดตายอยู่หลายครั้ง แต่มันไม่มีหนทางจะแก้
ป้ญหาเรื่องลูกเล็ก ที่ทุกคนไม่ยอมให้ไปอยู่เนอร์สเซอรี่
เพราะไม่ไว้ใจการเลี้ยงดู ก็จำต้องเข้าไปอยู่บ้านนั้น
: tiki_ทิกิ - [ 26 มี.ค. 51 20:47:08 ]


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:11:37:09 น.  

 
 
 
บทที่ ๑๕ ต่อ

ย้อนไปอีกปีก่อนหน้าคือต้นปี ๒๕๒๕ ช่วงปีก่อนที่จะ
ท้องลูกชาย เป็นช่วงที่ข้าพเจ้ากำลังเข้ารักษาตัวกับสำนัก
อาจารย์ ส. และ อาจารย์ศักดิ์ มีเหตุการณ์บางอย่าง ที่หาก
ไม่เล่าให้ฟัง ใครก็จะไม่เข้าใจว่า ทำไมชีวิตข้าพเจ้ามันถึง
ต้องล้มลุกคลุกคลานตกวิบากกรรม เจออะไร ประหลาด ๆ
ปานนี้ได้

มีอยู่วันหนึ่งที่จะต้องเข้าไปรักษาตัว ข้าพเจ้าแต่งกาย
งามมาก เป็นชุดติดกันสีขาว มีระบายรอบคอ เย็บพอดีตัวมา
เหนือเข่าแล้วต่อด้วยระบายย้วย เลยเข่าไปหน่อยเป็นสีขาว
เช่นเดียวกัน เดินไปมาจะกระพือพึ่บพั่บ ธรรมดาจะสวมสร้อย
ถนิมพิมภรณ์ อันสะสมไว้แต่วัยรุ่น และ สะสมเพิ่มขึ้นเป็นเพชร
เป็นพลอย น้อยบ้าง ใหญ่บ้างตามกระแสเงินที่ตนเองมี ถือ
ว่าสวยเริดแล้วในวันนั้น

ครั้นนั่งน้ำมนต์ไปสักพัก ก็เห็นผู้คนเริ่มขึ้นกันมาเต็ม
แน่นไปหมดผิดกับวันธรรมดาทั่วไปที่คนไม่มากอย่างนั้น ถาม
ไปมาได้ความจากผู้คนเขาบอกว่าวันนี้ "ท่านอาจารย์ ส. จะลง
ทรง " วันนั้น ข้าพเจ้าเกิดพาคุณแม่ไปด้วย คือไปรับคุณแม่ที่
บ้านแล้วไปที่สำนักอาจารย์ ส. กัน

พออาจารย์ ส. ท่านเปลี่ยนเครื่องทรง จากเสื้อกางเกง
ธรรมดาเป็นผ้าปักดิ้นทอง ท่อนบนเปลือยเปล่า แต่มีผ้าคลุม
สีทองพาดไหล่ จุดธูปกำใหญ่ว่าพระคาถาสักพักท่านก็ทำตา
เหลือกขึ้นไปข้างบน แล้วพูดภาษาที่แปลไม่ออก เรียกว่า
ภาษาเทพ ออกมา

วันนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้จักดอกว่า เทพอะไรเป็นอย่างไร
ก็ ถอยออกไปสุดกู่คือริมทางลงเรือนไม้สูงนั่นเลย คุณแม่ก็
นั่งอยู่ด้วย สักพัก ท่านเทพก็เจรจาเป็นภาษาไทย แล้ว กล่าว
เสียงค่อนข้างดังลั่นศาลาว่า วันนี้จะแสดงธรรมให้ดูกรรมสิบคน

 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:11:37:59 น.  

 
 
 
แล้วท่านก็เรียก คนแรกเป็นเด็กผู้ชายหัวบุบบี้ ไป
นั่งตรงหน้าท่าน พ่อแม่ของเด็กก็ตามติดไปใกล้ ๆ ท่าน
ก็บอกว่า อดีตชาติ เป็นคนขายปลาทุบหัวปลาเป็นประจำ
กรรมทำให้กลายเป็นเช่นนี้ ผ่าตัดไปอย่างไรก็ไม่หาย พ่อ
แม่ที่พามาเมื่อมาถามว่าจะผ่าไหม ท่านก็บอกไม่ต้องไป
ผ่าให้เสียเงินเสียทองอันใด ผ่าไป กรรมก็ไม่หมดไป แต่
จะต้องหมั่นมาฝึกไหว้พระสวดมนต์ จะช่วยให้สมองดีขึ้น

คนที่สอง เป็นคนที่ท่านให้ดูว่า เป็นคนกตัญญูกับ
พ่อแม่ตัวเองมาก ถึงแม้จะดวงไม่ดี แต่อาศัยเป็นคนดีมี
กตัญญูกับพ่อแม่ตัวเอง จึงรอดพ้นชะตากรรมร้ายแรง

คนที่สามนั้น ท่านให้ดูผู้หญิงคนหนึ่ง ว่า เป็นคนดี
รักพ่อแม่สามีดูแลดีมาก อันที่จริงเธอมีชะตาขาดในระยะ
นั้น แต่อาศัยเป็นคนดีมากกับพ่อแม่สามี จึงรอดตัวไป
ทำให้ไม่ตาย..

พอคนที่สี่ที่ท่านเรียก กลับเป็นคุณแม่ของ
ข้าพเจ้าเอง
ท่านเรียกเข้าไป ถามว่า
"ชาติที่แล้ว เป็นลมล้มตายคาวงการพนันเพราะ
ล้มละลาย หมดเนื้อหมดตัว ยังไม่พอใจหรือ ชาตินี้
จะเล่นไพ่จนตายคาวงให้หมดเนื้อหมดตัวอีกหรืออย่างไร ?"

ธรรมดาคุณแม่ท่านติดเล่นไพ่ตองกับมิตรสหาย
ชาวคุณนายกรมฯ นั้นเนือง ๆ ทั้งมักพาข้าพเจ้าไปนั่งดูการ
ละเล่นนั้นบ่อย ๆ แต่ข้าพเจ้าเกลียดเรื่องคุณแม่เล่นไพ่นี้มาก
ทะเลาะกันบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ได้เคยเล่าเรื่องท่านเล่นไพ่ตอง
ติดไพ่ตอง นี้ให้คนใดในสำนักนี้ฟังเลย ! จึงเงี่ยหูฟังท่าน
พูดและดูหน้าคุณแม่ข้าพเจ้าที่ "เหย" เต็มทน ก็คนบนศาลา
สำนักนั้นเป็นร้อยได้ละมัง..
คุณแม่ก็ตัวสั่น ลั่นวาจาว่าจะเลิกเล่นไพ่แล้ว ท่าน
ก็คาดโทษเอาไว้ว่า
"หากยังไปเล่นอีก เราจะให้เจ้าหมดตัวในชาตินี้ "
นั้นก็ทำให้ข้าพเจ้านั่งสั่น ๆ เสียแล้ว รีบพาคุณแม่
ถอยออกไปนั่ง จนปลายแถว คุณแม่นั้น ตัวสั่นยิ่งกว่าข้าพเจ้า
เป็นไหน ๆ ใครเลยจะชอบที่ถูก "เผยไต๋" กันขนาดหนักกลาง
คนเป็นร้อย ๆ ที่ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกัน

: tiki_ทิกิ - [ 26 มี.ค. 51 20:47:40 ]


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:11:38:28 น.  

 
 
 

บทที่ ๑๕ (ต่ออีกครั้ง )


คนที่ห้า เป็นใคร ข้าพเจ้าลืมไปแล้ว แต่พอคนที่
หกหรือเจ็ดอะไรนั่น ท่านก็ชี้มือมาทางที่ข้าพเจ้าซึ่งนั่งไกล
โยชน์จนชิดเสาทางลงบันได เอ่ยเสียงดังว่า
" เรียกหญิงผู้มีกรรมนั้นมา "
ผู้คนก็หันมากันเป็นการใหญ่ ข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้อีกว่า
เป็นตัวเอง ท่านก็พูดซ้ำอีกว่า
" จงพาหญิงผู้มีกรรมนั้นมาหาเรา "

โอย ข้าพเจ้านั้นเหรอ หญิงผู้มีกรรม แต่เมื่อถูก
เรียกตัว ก็ต้องคลานแทรกผู้คนเข้าไป ท่านเงยหน้าขึ้นไป
ข้างบนศีรษะข้าพเจ้า แล้วก้มลงถามว่า
"เทวี..เมื่อสิบหกชาติที่แล้ว เจ้าอาฆาตมานพ
ลูกชายคฤหบดีเศรษฐี ผู้มารดาบิดาเขา แยกเอาไปแต่ง
งานกับกุมารีอื่น "..(หรือคำอื่นอันแปลว่าหญิงสาว-
ข้าพเจ้าจำคำที่ท่านเรียกไม่แม่นเสียแล้ว )
" เจ้าคับแค้นใจถึงแก่อาฆาตไว้ว่า จะ ฆ่าเขาและ
ลูกของเขา และกล่าวอาฆาตมาดร้ายมาอีกไว้ว่า จะฆ๋าเขา
และ ลูกเขาให้ได้ทุกชาติ .....ชาตินี้เจ้ายังจะทำอีกหรือ ?? "

โห..สิบหกชาติที่แล้ว !!! แล้วที่ผ่านมาอีกสิบหก
ชาติมันจะขนาดไหน ข้าพเจ้างี้สะดุ้ง ขนลุกซู่ไปหมดทั้งตัว
สำเหนียกความเลววิกฤติของตนถึงแก่ตกตะลึง
แล้วท่านก็กล่าวต่อไปที่ทำให้ข้าพเจ้าตะลึงยิ่งขึ้นอีกว่า

" ทุกวันพฤหัสบดี เจ้าจุดธูปถึงเรา กล่าวว่า จะมี
ใจเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต่อทุกคน ยกเว้นชายผู้เป็๋น
ที่รัก ทำไมเจ้าถึงทำอย่างนั้น "

เสียงนั้นเข้มงวดและดังเหมือนฝ้าผ่า ทำให้ข้าพเจ้า
สะดุ้งเฮือก ลมแทบจับเลย ก็อาจารย์ ส. ณ ซอยโปโลนั้น
ไงเล่า ที่ให้ข้าพเจ้าจุดธูปแก้ดวงตก ที่มีแฟนไม่ดี หรืออะไร
ทำนองนั้น ให้พระคาถาไหว้พระพรหม ฯ มาทุกวันพฤหัส
และ ให้ไหว้กลางแจ้ง ข้าพเจ้าก็ทำทุกค่ำคืนพฤหัส อย่าง
เงียบ ๆ ท่องพระคาถาเสร็จสรรพแล้ว ก็ พึมพำตามนั้นเลย...
ไม่ผิดเพี้ยน มาเป็นเวลาหลายปี


" แล้วชาตินี้ หากเจ้ายังทำเช่นนั้นอยู่ไม่เปลี่ยน
แปลงนิสัย ยังทำแรงร้ายกับสามีของเจ้าและบิดามารดา
ของเขาอยู่...อีกสามเดือนข้างหน้า เราจะเอาตัวเจ้าลงนรก "

โอ๊ย คุณพระคุณเจ้าช่วย..
ข้าพเจ้าเจอโจทก์ของจริงเอาเข้าแล้ว..
รีบ
พึมพำไม่ได้ส่ำศัพท์อะไรเลย เพราะอึ้ง..ท่านก็มองหน้าข้าพเจ้า
แล้วโบกมือไล่ ให้ไปได้แล้ว...
ข้าพเจ้างี้ คลานคอตกออกมาเลย
คุณแม่ซึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น ได้ยินทุกถ้อยประโยค ตรง
ดิ่งมาถามทันทีว่า
"ไอ้ที่แม่เห็นไปจุดธูปไหว้กลางแจ้งน่ะ ...แม่นึกว่า
ไหว้เจ้าที่นะ นั่นเราทำอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ ? "
ง่ะ ข้าพเจ้า อับอายเหลือที่จะประมาณเลย ตอบ
รับคุณแม่เสียงอ่อย
" ค่ะ ใช่ค่ะ หนูไปท่องคาถาไหว้พระพรหม ทุกคืน
พฤหัสจริง ๆ ค่ะ แล้วก็ พูดอย่างนั้นด้วยจริง "
" เออ แปลกจริง ๆ นะ แล้วท่านรู้ได้ยังไง "
" ก็หนูว่าคาถาไหว้พระพรหมน่ะซีคะ "
ข้าพเจ้าตอบแล้วก็หงุดหงิดร้อนรนหัวใจไปหมด

คืนนั้น ข้าพเจ้าให้นิค แวะซื้อถังสังฆทาน และ นำไป
ตั้งที่หิ้งพระ ที่ห้องพระบ้านคุณแม่ คลานเข้าไปจุดธูป บอกกล่าว
กับ "นาง" ผู้เป็นเจ้าของวิญญาณอาฆาตของข้าพเจ้านั้นว่า

"นางเอย ความทุกข์ใด ๆ ที่นางได้รับ ความเจ็บ
ปวดทั้งหลายนั้น ข้าฯ ได้สัมผัสแล้วในชาตินี้ รู้ว่านางทุกข์
ใจกระไร พรุ่งนี้จะนำถังสังฆทานนี้ไปถวายพระภิกษุสงฆ์ และ
จะสวดมนต์ไหว้พระให้นาง ขอให้จงทำใจให้สงบ
และ เลิกคิดเรื่องเก่า ๆ อันไม่ดีงามนั้นเถิด "


ข้าพเจ้าคงเพี้ยนไปแล้ว เพราะข้าพเจ้าคิดว่า "นาง"
นั้นไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าแน่ ๆ " นาง " น่าจะโหดเหี้ยม โหดร้าย
โคตะระทารุณ และนางคงแฝงอยู่แห่งใดแห่งหนึ่งในหัวใจ
ข้าพเจ้าก็เป็นได้
จากนั้นสวดมนต์อิติปิโส นับประคำไปได้ถึง ๑๐๘ บท
แผ่เมตตา ตรวจน้ำให้นางอีก
: tiki_ทิกิ - [ 26 มี.ค. 51 20:48:07 ]


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

บทที่ ๑๕ (ต่อสุดท้าย)

การณ์ได้ผ่านไปทำนองนั้น จนเลยสามเดือน ซึ่ง
ข้าพเจ้าปรับเปลี่ยนนิสัยอย่างเร่งด่วนเพื่อจะไม่ไปตกนรกดัง
"องค์พรหม " ท่านว่า อย่างไรเสียโลกมนุษย์ก็คงไม่มีหลาว
เหล็กแหลมทิ่มแทง ไม่มีไฟประลัยกัลป์ และไม่มีต้นงิ้ว
ข้าพเจ้ายังไม่อยากเจอสิ่งเหล่านั้น แล้วรีบปฏิบัติธรรม
ให้ตัวเองเร่งด่วน

วันโน้น ข้าพเจ้าสวมชุดขาว แต่สามเดือนต่อมา
ที่ท่านมาลงทรงนั้น ข้าพเจ้าสวมเสื้อดำ กางเกงยืดดำ
เสื้อคลุมดำอีกตัวด้วย (นึกในใจ ร่ำลาใครต่อใครไปหมด
แล้ว ว่า เห็นทีจะหมดอายุขัยแน่แล้วเรา
แต่เมื่อคลานเข้าไปเฝ้ากราบใกล้ ๆ ท่านนั้น ท่าน
มองลงมาด้วยท่าทางชื่นชมและ สรรเสริญข้าพเจ้า ขณะหยิบ
พวงมาลัยในพานที่ตั้งขึ้นถวายไว้ไป
" เทวี ..เจ้าทำได้ ขอให้เจ้าจงรักษาความดี
ของเจ้าไว้ให้ได้ในชาตินี้ "
อูวว์ ข้าพเจ้าไม่ได้ถูกท่านเรียกลงนรกแล้ว !!
!

คนที่สวมชุดขาวเริด ทำท่าไฮโซในสามเดือน
ก่อนนั้น แต่กลับจ๋องสนิทเพราะถูกคาดโทษกรรม ทว่า วัน
ที่สวมชุดดำมองทะมึนน่าจะใจร้ายใจดำนั้น กลับได้รับคำ
ยกย่อง เสื้อผ้างามไม่ได้บอกว่าใจคนสวมนั้นงามเลย
เสื้อผ้าที่ดูดำเก๋า ๆ นั้นกลับได้รับการยอมรับว่า คนสวมมี
ใจเป็นมนุษย์ขึ้นต่างหาก...


ดังนั้น ..เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ข้าพเจ้า
' กลับเนื้อกลับตัว กลับใจ ' ว่าจะเป็นคนดีขึ้นอีกนิด และ
ได้ย้ายไปอยู่กับน้องชาย จนท้องแล้วคลอดลูกชายดังที่
ว่าไว้ และย้ายไปอยู่บ้านชั้นเดียวที่คุณแม่สามีท่านต่อให้
นั้น ชีวิตมันน่าจะดูเรียบร้อยขึ้น ลูกสาวก็ให้อยู่เนิร์สเซอรี่
ใกล้บ้านนั้น ลูกชายก็ฝากคุณแม่สามีและในบ้านท่านช่วยดู
โดยมีเด็กบริวารอีกคนที่หลานเจ้าของบ้านนั้นได้ หามาให้
ข้าพเจ้าจ้างไว้เลี้ยงลูกชาย

แต่เหตุการณ์ช่วงนั้น กลับมีการเปลี่ยนแปลงบาง
อย่างในชีวิตของเราทั้งหมด ซึ่งหากไม่เอ่ยถึงบ้างคงไม่เพียง
พอที่จะเป็น "สาเหตุ" แห่งการดิ้นรนของข้าพเจ้าที่จะออก
จากบ้านหลังนั้นให้ได้

และข้าพเจ้าจะได้ ค่อย ๆ พยายาม แกะมันออก
มาจากห้วงความทรงจำ อันดำมืดนั้น ค่อย ๆ เรียบเรียงมา
เป็นภาษาที่ท่านน่าจะพออ่านได้เข้าใจ...
: tiki_ทิกิ - [ 26 มี.ค. 51 20:48:34 ]
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:11:38:42 น.  

 
 
 
คุณ ส้มแช่อิ่มคะ ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมบล็อกนะคะ
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:11:39:11 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

tiki_ทิกิ
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สงวนลิขสิทธิ์งานเขียนในบล็อกนี้ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
H e L L o
free counters
[Add tiki_ทิกิ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com