Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

นพ.ธีระ วรธนารัตน์ : เจ็บป่วยฉุกเฉิน เมื่อนโยบายยังไม่ชัด ต้องคิดก่อนเข้า





นพ.ธีระ วรธนารัตน์ : เจ็บป่วยฉุกเฉิน เมื่อนโยบายยังไม่ชัด ต้องคิดก่อนเข้า

https://www.hfocus.org/content/2017/02/13476

Tue, 2017-02-21 13:58 -- hfocus

ข้อเขียนจาก ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ สะท้อนถึงการบริหารจัดการเรื่องการเจ็บป่วยฉุกเฉินของไทยที่ยังไปไม่ถึงไหน โดยเฉพาะประเด็นที่ทำให้ผู้ป่วยหลายคนสิ้นเนื้อประดาตัวเมื่อไปฉุกเฉินที่ รพ.เอกชนและโดนเรียกเก็บเงินแบบสุดโหด ล่าสุดแม้จะเปลี่ยนชื่อเป็น "เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิรักษาทุกที่" แต่ก็ยังไม่มีการจัดการที่ชัดเจน กระทั่ง นพ.ธีระ เสนอทางเลือกสำหรับประชาชนว่า ท่ามกลางความอึมครึมเช่นนี้ หากเจ็บป่วยฉุกเฉินตรงเข้า รพ.รัฐไว้ก่อนหากทำได้จะดีที่สุด

นพ.ธีระ วรธนารัตน์

...เสพข่าวกันจนมึน อึมครึมกันมานาน ไหว้วานใครก็ไม่มีใครกล้า เลยมาเขียนให้อ่านเองละกัน...

นโยบาย "เจ็บป่วยฉุกเฉิน เข้าได้ทุกที่ ฟรีทุกสิทธิ" นั้นได้รับการเข็นออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อหลายปีก่อน ท่ามกลางความไม่พร้อมของระบบและกลไกต่างๆ ที่จะดูแลประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกลไกการเงิน การเบิกจ่าย ตลอดจนสถานพยาบาลที่ทั้งที่ใช่และไม่ใช่ภาครัฐ

เอาเข้าจริง เราก็เห็นข่าวการฟ้องร้องขอความเป็นธรรม จากการไปขอรับการดูแลรักษาเวลาเจ็บป่วยไม่สบายฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นการไปแล้วได้รับการดูแลที่น่าเคลือบแคลงว่าเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ ตลอดจนการเรียกเก็บเงินทั้งในลักษณะการให้ลงนามในใบยินยอมรับสภาพหนี้ หรือการให้วางเงินมัดจำก่อนการรักษาในแต่ละขั้นตอน กระทั่งเคสล่าสุดมีเรื่องวางสร้อยทองค้ำประกันจนดราม่ากันไปทั่วว่า นี่มันเรื่องความเป็นความตายของคน ทำอะไรกันเนี่ย

เวลาเทศกาลอะไรสักที คนเดินทางเยอะ การบาดเจ็บก็เยอะ ปัญหาข้างต้นก็พบเห็นเป็นเท่าทวีคูณ

พอสะท้อนออกมาทางสาธารณะบ่อยเข้าๆ นักการเมืองและผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็มักร้อนตัว พยายามสยบข่าวด้วยการตั้งคณะกรรมการชุดนั้นชุดนี้มาทำงานหาทางแก้ไขเฉพาะหน้า เพื่อให้ข่าวเงียบไปตามเวลา

ล่าสุด นโยบายนี้ได้แปลงกายออกมาเป็น "เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิรักษาทุกที่"

เพราะเค้า (He/she who should not be named) ต้องการปลดล็อคเฉพาะหน้าอีกเช่นเคย เป็นอีเว้นท์ออกสื่อให้ทันหน้าเทศกาล

แต่เชื่อไหมว่า เอาเข้าจริง ประกาศนโยบายแปลงกายดังกล่าวก็จะไม่พ้นวังวนปัญหาเดิม ด้วยเหตุผลดังนี้

1. ฉุกเฉินมีหลายระดับ แม้แต่ทางการแพทย์ หน้างานประเมินแล้วบางครั้งยังต้องเถียงกันว่า เฮ้ย นี่มันระดับไหน เหลือง แดง ดำ หรือสีรุ้ง นับประสาอะไรกับตาสีตาสา ประชาชี ที่จะแยกแยะว่าตรูจะฉุกเฉิน "วิกฤติ" สีแดงดังที่เค้าว่าไหม

แหม...ถึงจะลงรายละเอียดซะเยอะแยะ เพื่อหวังจะให้ชัดเจน แต่ดูดีๆ ก็ไม่ชัดเจนอยู่เช่นเดิม

เค้าบรรจงร่างมาให้ประชาชีอ่านว่า

"...วิกฤตคือ...

1. หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ ไม่ตอบสนองต่อการเรียก หรือกระตุ้น ไม่มีชีพจร จำเป็นต้องได้รับการกู้ชีพทันที

2. การรับรู้ สติเปลี่ยนไป บอกเวลา สถานที่ คนที่คุ้นเคยผิดอย่างเฉียบพลัน

3. ไม่สามารถหายใจได้ปกติ หายใจเร็ว แรง และ ลึก หายใจมีเสียงดังผิดปกติ พูดได้แค่สั้นๆ หรือ ร้องไม่ออก ออกเสียงไม่ได้ สำลักอุดทางเดินหายใจกับมีอาการเขียวคล้ำ

4. ระบบไหลเวียนเลือดวิกฤตอย่างน้อย 2 ข้อ คือ ตัวเย็นและซีด เหงื่อแตกจนท่วมตัว หมดสติชั่ววูบ หรือวูบเมื่อลุกยืนขึ้น

5. อวัยวะฉีกขาด เสียเลือดมาก เสี่ยงต่อการพิการ

6. อาการอื่นๆ ที่มีภาวะเสี่ยงต่อชีวิตสูง เช่น เจ็บหน้าอกรุนแรง แขนขาอ่อนแรงทันทีทันใด หรือกำลังชักขณะแรกรับที่จุดคัดแยก..."

ตาสีตาสา ยายมายายมี คุณพี่คุณน้อง แทบหมดสิทธิที่จะประเมินอาการตนเองหรือผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง

ไม่สบายมีอาการกระทันหันขึ้นมา ย่อมต้องตกอกตกใจ หวั่นเกรงว่าจะอันตรายถึงชีวิต โอกาสคิดว่าวิกฤติย่อมมากเป็นเงาตามตัว แต่ขืนมุ่งไป รพ.ต่างๆ โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ อาจเป็นหนี้ได้ง่ายๆ โดยไม่รู้ตัว

8 ปีก่อน มีงานวิจัยที่แคนาดา ลองตรวจสอบว่าหมอที่หน้างานนั้นวินิจฉัยภาวะฉุกเฉินที่คนไข้แสดงอาการทางระบบประสาทในรูปแบบต่างๆ ได้ถูกต้องเพียงใด ผลปรากฏว่า จากจำนวนทั้งหมด 500 ครั้ง ราว 1 ใน 3 วินิจฉัยไม่ถูกต้อง (1)

เกือบ 5 ปีก่อน ในประเทศกลุ่มยุโรปก็ศึกษาในลักษณะคล้ายกันในคนไข้ฉุกเฉินราว 600 ครั้ง ผลพบว่า ราวร้อยละ 20 วินิจฉัยภาวะฉุกเฉินด้านระบบประสาทคลาดเคลื่อนไปจากผลวินิจฉัยจริง (2)

2 ตัวอย่างข้างต้นคือผลที่เกิดขึ้นในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ที่เราทราบดีว่าเป็นผู้มีความรู้และทักษะสูง

ดังนั้นน่าจะพออนุมานได้ว่า ประชาชนคนธรรมดาจะมีผลเช่นไร และส่งผลต่อความสามารถในการใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจเรื่องการไปโรงพยาบาลแน่ๆ

2. ต่อให้ฉุกเฉินสีแดงแจ๊ด การบอกว่ามีสิทธิรักษาทุกที่ โดยอ้างว่าใช้กฎหมายบังคับให้สถานพยาบาลทุกที่ ทั้งภาครัฐ เอกชน ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ต้องปฏิบัติตามตารางราคาที่กำหนดนั้นจะก่อให้เกิดผลกระทบใหญ่หลวงตามมา

เอกชน...ย่อมหวังผลกำไร หากหนทางที่มีไม่ได้ทำให้เกิดกำไรอันเป็นประโยชน์ร่วม ย่อมทำให้ความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นและไม่ยั่งยืน แม้จะใช้กฎหมายต่างๆ มาบังคับให้เข้าร่วม หรือจะขอร้องในเชิงมนุษยธรรม ก็คงเป็นไปได้ชั่วคราว แต่สุดท้ายจะสะท้อนออกมาผ่านทางผลการดำเนินงาน

ถามว่าผลจะเป็นอย่างไร? เดาได้ไหม? จะลองยกตัวอย่างให้ดู...

ข้อมูลล่าสุด หากฉุกเฉินวิกี๊ดดดดวิกฤติ แล้วต้องไปนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล

หากแอดมิทห้องธรรมดา...ค่าห้องเบิกได้ 400 บาทต่อวัน (รวมค่าอาหารแล้วนะ ห้ามเบิกแยก ^_^)

แต่ขึ้นชื่อว่าฉุกเฉินวิกฤติ โอกาสแอดมิทห้องไอซียู...ฉันเห็นคุณ...ย่อมมีสูงหากไปเอกชน แต่หากไป รพ.รัฐก็มักมีปัญหาเตียงเต็ม...เบิกได้วันละ 1,600 บาท รวมอาหารแล้วเช่นกัน

เจ้าพ่อประคุณเอ๋ย...ไปเที่ยวพักผ่อนยังแทบจะหาโรงแรมราคาถูกแบบนี้ได้ยากเย็นนัก นี่รักษาพยาบาล แต่เบิกได้แค่นี้!!!

อ่ะ แถมอีกหน่อย...

หากเกิดต้องทำหัตถการเอาสิ่งแปลกปลอมออกจากตาหูคอจมูก...เชื่อไหมว่าโรงพยาบาลเค้าเบิกค่าใช้จ่ายคืนจากกองทุนต่างๆ ได้แค่ค่ากาแฟชื่อดังแก้วนึง

ค่าตัดชิ้นเนื้อที่ตับ เบิกได้เท่ากับเอากล้องส่องรูก้น ราคาน้อยกว่าค่าปรับขับรถฝ่าไฟแดงครึ่งนึง

ที่น่าตกใจคือ หากช่วยฟื้นชีวิต หรือภาษาบ้านๆ คือปั้มหัวใจน่ะ ช่วยเสร็จแล้ว เบิกได้เท่าราคาบุฟเฟ่ต์หัวนึงเท่านั้นเอง

แม้จะมีค่าบริการของวิชาชีพเพิ่มอีกหน่อย แต่มันจิ๊บจ๊อยมาก เกินกว่าที่ทุกคนจะรับได้ นอกจากโรงพยาบาลรัฐและบุคลากรภาครัฐ ที่ล้วนทำงานแบบไม่มีปากมีเสียง ขาดทุนก็ยอม เงินเดือนและโอทีไม่ออกก็ไม่รู้ทำไง

สาธยายมาถึงตรงนี้คงเห็นชัดใช่ไหมว่า ฉุกเฉินนั้นหากท่านจะไป จะไปไหน?

ครับ...หากแนะนำตรงๆ คือ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น หากเกิดปัญหาฉุกเฉิน โปรดตรงดิ่งไปที่ รพ.รัฐเถิดครับ

ยกเว้นแต่คุณจะทำใจระดับหนึ่งว่า พร้อมจะดูแลค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการที่มันไม่วิกฤติจริงหรือส่วนเกินอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่สามารถย้ายออกไปหลังจาก 3 วัน

สัก 10 ปีก่อน นักวิจัยในอเมริกาเคยมีการคาดประมาณว่า หากคนเกษียณแล้วอยากที่จะไม่เป็นภาระแก่ลูกหลานหรือคนใกล้ชิด จำเป็นต้องมีเงินเก็บไว้ประมาณ 8 ล้านบาท (ประมาณ 200,000 ดอลล่าร์สหรัฐในสมัยนั้น) เพื่อใช้เป็นค่าดูแลรักษาพยาบาลยามเจ็บป่วยจนกระทั่งเสียชีวิต ทั้งนี้เค้าบอกไว้ว่าการทำประกันสุขภาพกับบริษัทประกันเอกชนหรืออื่นๆ นั้นไม่ได้ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเท่าไรนัก เพราะค่าใช้จ่ายด้านการรักษานั้นสูงเกินกว่าที่ใดๆ จะรับความเสี่ยงแทนได้ทั้งหมด เราจึงเห็นแต่ต้องมีการร่วมจ่ายนั่นเอง และการร่วมจ่ายดังกล่าวนั่นแหละที่ส่งผลให้เกิดภาวะล้มละลายมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง

ในเมืองเรายังไม่มีใครกล้าคาดประมาณ เพราะดูเหมือนว่าเรามีทางเลือกเยอะ จนใช้ชีวิตลั่ลล้าต่างจากฝรั่ง

แต่หากตามข่าวดีๆ สัญญาณการปฏิรูประบบสวัสดิการและกองทุนสุขภาพต่างๆ ดูแรงขึ้นทุกที แถมวงอำนาจก็ปล่อยข่าวบ่อยๆ ถึงการร่วมจ่าย และการผลักคนไปตกอยู่ในเงื้อมมือบริษัทประกันในไม่ช้า

เรามีข้อมูลเพียงว่า มีการวิจัยเมื่อไม่กี่ปีก่อนบ่งชี้ว่าค่ายาและเครื่องมือแพทย์ใน รพ.รัฐกับเอกชนนั้นต่างกันอย่างมาก โดยต่างกันสูงสุดถึง 60-400 เท่าเลยทีเดียว

สังคมในอนาคตเราและลูกหลานจะใช้ชีวิตยากลำบากขึ้น หากไม่เตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้

แนวทางปฏิบัติที่อยากฝากไว้พิจารณาสำหรับพวกเราในฐานะประชาชนคือ

1. ดูแลสุขภาพตนเองให้ดี รักษาสมดุลในการกินการจับจ่ายใช้สอย การพักผ่อน การทำงาน

2. เก็บเงินไว้สำหรับใช้จ่ายยามฉุกเฉิน แค่เรื่องการรักษาพยาบาล หากกันไว้สัก 200,000 บาทก็จะดี (ตัวเลขนี้เดาจากการสังเกตว่าเรามักก้าวตามหลังอเมริกาประมาณ 10-15 ปีในหลายด้าน และปัจจุบันเราเห็นแนวโน้มว่า รักษาที่เอกชนแบบผู้ป่วยนอกมักเป็นหลักพัน นอนพัก รพ.มักเป็นหลักหมื่น และการผ่าตัดใหญ่มักเป็นหลักแสน แต่บอกไว้ก่อนว่าผ่าสมองที่เอกชนค่าใช้จ่ายอาจเป็นล้าน หัวใจครึ่งล้าน สองแสนที่เตรียมไว้อาจพอสำหรับผ่าตัดอื่นที่เล็กกว่านั้น)

3. หมั่นตามข่าวและศึกษาเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาลที่เรามี ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ประกันสังคม บัตรทอง หรือประกันเอกชนก็ตาม จะได้ไม่มึนเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน

4. สร้างสัมพันธ์อันดีกับบุคลากรทางการแพทย์เพื่อช่วยเหลือและแนะนำยามจำเป็น

5. หมั่นช่วยกันทำนุบำรุงโรงพยาบาลรัฐตามกำลังที่มี ช่วยกันพัฒนา ช่วยกันให้กำลังใจคนทำงาน เพราะสุดท้ายแล้วนี่คือบ้านของคนส่วนใหญ่ในประเทศ

6. เลิกมองการดูแลรักษาความเจ็บป่วยเป็นเหมือนบริการที่ซื้อมาขายไป เพราะเอาเข้าจริง เวลาไม่สบายหนัก ท่านจะทราบทันทีว่า มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ส่วนกลุ่มผู้บริหาร และวงอำนาจนั้น สิ่งที่ควรทำก่อนจะสายเกินไปคือ

1. ยอมรับความจริงว่านโยบายที่พยายามผลักดันนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน หากยังดำเนินการแบบที่ทำมา

2. ขอโทษประชาชน และแก้ไขนโยบายให้เหมาะสมกับสถานการณ์จริง "คิดก่อนเข้า" และ "รณรงค์ให้เกิดการวางแผนชีวิต หากเกิดภาวะฉุกเฉิน ไปที่ รพ.รัฐจะบรรเทาปัญหาต่างๆ ได้อย่างยั่งยืน"

3. หาก รพ.เอกชนบางแห่งจะเข้าร่วมภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนด ก็ควรเป็นไปด้วยความเต็มใจ ไม่บังคับ

4. สนับสนุนคน เครื่องมือ งบประมาณแก่ รพ.ให้มากกว่าปัจจุบัน ปลดล็อคกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน ลดภาระที่ไม่จำเป็น และเลิกป่วนระบบด้วยแนวคิดสร้างงานเอาข่าวเฉพาะหน้าแบบที่เห็นกันเนืองๆ ไม่ว่าจะเรื่องฉุกเฉิน ปั้มลูก ติดดาวสถานบริการสาธารณสุข หรืออื่นๆ

5. ใส่ใจคุณภาพชีวิตคนทำงานและครอบครัว รักษาพวกเค้าให้อยู่ในระบบรัฐอย่างมีความสุข

ฉุกเฉิน...คิดก่อนเข้า...อย่ามัวเมากับนโยบายที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงและภาระแก่คนใกล้ชิด...คิดวางแผนช่วยเหลือตนเองล่วงหน้า...ตรงมาโรงพยาบาลรัฐก่อนหากทำได้

ด้วยรักต่อทุกคน

หมอธีระ

(ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

แหล่งข้อมูล

1. Diagnostic accuracy of neurological problems in the emergency department. (Available at: www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/18714802)

2. Accuracy of prehospital diagnoses by emergency physicians: comparison with discharge diagnosis. (Available at: www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/21971293)


...............................

แถม เรื่องที่เกี่ยวข้อง ..

infographic9 ข้อควรรู้เรื่องเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=06-06-2017&group=7&gblog=216

นพ.ธีระ วรธนารัตน์ : เจ็บป่วยฉุกเฉินเมื่อนโยบายยังไม่ชัด ต้องคิดก่อนเข้า

//www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=21-02-2017&group=7&gblog=212

เจ็บป่วยฉุกเฉินมาตรฐานเดียว นโยบายดีแต่การปฏิบัติล้มเหลว ?...

//www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=14-10-2014&group=7&gblog=185

สพฉ. จับมือ สธ.พัฒนาการให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉินตามนโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉิน รักษาทุกที่ดีทุกสิทธิ์”

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=02-04-2015&group=7&gblog=186

คำแนะนำเพื่อหลีกเลี่ยงค่ารักษาโรงพยาบาลเอกชนแสนแพง... ( นำมาฝาก )

//www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=28-05-2015&group=7&gblog=189

โรงพยาบาลเอกชน "แพง" ..ข้อมูลที่ยังไม่รู้ หรือว่า แกล้งไม่รู้ ? ( ฟังความอีกข้าง ^_^ )

//www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=08-06-2015&group=7&gblog=190

ตรวจสอบค่ารักษาพยาบาล Online ได้ที่//www.hospitalprice.org หรือ สายด่วนสุขภาพ 02 193 7999




Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 6 มิถุนายน 2560 22:11:28 น. 1 comments
Counter : 3597 Pageviews.  

 

ฉุกเฉินจึงบีบคอให้ช่วย คนซวยคือหมอ พยาบาล โรงพยาบาล และประชาชน
เผยแพร่: 20 ธ.ค. 2561 09:57 โดย: ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
ผู้อำนวยการหลักสูตร Ph.D. และ M.Sc. (Business Analytics and Data Science)
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

เคสคนไข้ฉุกเฉินเสียชีวิตเพราะการย้ายคนไข้ข้ามโรงพยาบาลนั้นน่าสงสารคนไทยมาก ระบบการแพทย์ฉุกเฉินเรามีปัญหา ที่บอกว่ารักษาพยาบาลได้ฟรีในกรณีฉุกเฉินภายใน 72 ชั่วโมงนั้นเป็นปัญหาอย่างที่สุดปั ญหาของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (สพฉ หรือ UCEP) ตอนนี้ลามลึกไปเรื่อย ๆ ยิ่งเคส รพ.พระราม 2 ยิ่งทำให้หนองที่กลัดอยู่แตก มาลองพิจารณากันดูว่ามีปัญหาอะไรบ้าง

ประการแรก การจำแนกคำว่าฉุกเฉินคือกรณีใดนั้นไม่ชัดเจนนัก เป็นวิจารณญาณของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (สพฉ) ดังนั้นคนไข้ที่ไม่ฉุกเฉินจริงเข้ามารับการรักษาโดยเหตุฉุกเฉินก็เชิญเสียเงิน (อันนี้ถูกต้อง) แต่ถ้าตั้งเกณฑ์ในการตัดสินใจว่าฉุกเฉินให้ต่ำลงมา คนไข้ฉุกเฉินก็ล้นโรงพยาบาล ใช้ห้องฉุกเฉินเป็นการรักษาพยาบาลด้วยความสะดวกหรือไม่?

หลังจากเกิดเคสโรงพยาบาลพระรามสอง ต่อไปนี้ UCEP จะยิ่งประเมินฉุกเฉินส่งเดชหนักขึ้นเรื่อย ๆ หรือไม่? จะพยายามให้ทุกอย่างเป็นกรณีฉุกเฉินได้หมดหรือไม่? เพราะกลัวโดนประชาชนด่า ยิ่งใกล้เลือกตั้งยิ่งจะต้องช่วยรัฐบาลหาเสียง ประชาชน โรงพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขจะยิ่งรับเคราะห์หนักหรือไม่ วัฎจักรอุบาทว์หมุนไปเรื่อย ๆ หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ หรือไม่?

ทุกวันนี้ UCEP ให้หมอจบใหม่มานั่งประเมินคนไข้ทางโทรศัพท์ ประสบการณ์ในห้องฉุกเฉินก็ยังไม่ค่อยจะมี ไม่รู้ไม่แน่ใจ ก็ตีความว่าเข้ากรณีฉุกเฉินไว้ก่อนหรือไม่? จะต้องทำอย่างนี้เพราะกลัวเลขา สพฉ ด่า ว่าประเมินให้คนไข้ไม่ได้สิทธิแล้วโดนร้องเรียนหรือไม่?

ประการสอง กฎหมายไทยบังคับให้ทุกโรงพยาบาลเปิดห้องฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมงห้ามปิด เรื่องนี้เป็นเหตุให้พยาบาลจะซวยช่วยไม่ได้ พยาบาลไทยทำงานหนักเกินหน้าที่และภารกิจของวิชาชีพมากที่สุดในโลก พยาบาลคือกระโถนท้องพระโรงของโรงพยาบาล งานอะไรที่ไม่มีใครทำ พยาบาลไทยทำแทบทุกงาน ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลทุกวันนี้แทบจะไม่มีหมอ อย่างมากก็ on call แล้วพยาบาลก็ทำหน้าที่แทนหมอไปโดยสถานการณ์บังคับ ถ้าฉุกเฉินไปจริง ๆ ก็ไม่น่าจะรอด เพราะไม่มีหมอ พยาบาลทำแทนแทบทุกอย่าง โทรเรียกหรือโทรปรึกษาหมอก็ยาก บางครั้งไม่มีหมอ on call ด้วยซ้ำ เมื่อเกิดการฟ้องร้องพยาบาลก็รับผิดชอบไป โดยที่วิชาชีพนั้นอบรมให้การศึกษามาเพื่อพยาบาลไม่ได้ให้รักษาแทนหมอแต่อย่างใด ปัญหาคือไม่มีหมอ (และแม้พยาบาลก็ขาดแคลนแสนสาหัสในขณะนี้)

ดังนั้นเมื่อโรงพยาบาลหาหมอมาอยู่ห้องเวรห้องฉุกเฉินไม่ได้...แต่ก็ปิด ห้องฉุกเฉินไม่ได้ เพราะกฎหมายไม่อนุญาต… เพราะโรงพยาบาลจะถูกปิด เรียกว่าโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง แล้วที่นี้จะทำอย่างไร จะจ้างหมอด้วยค่าตัวแพง ก็ต้องควักเนื้อ เพราะ เคสห้องฉุกเฉิน ถูก สพฉ. กดราคาไว้ เก็บคนไข้ก็ไม่ได้ โรงพยาบาลก็ต้องควักเงินจ่ายหมอเอง ทำอย่างนี้ในระยะเวลาสั้น ๆ ก็คงพอได้ แต่ก็จะไม่ยั่งยืนเหมือนโครงการบัตรทองที่จะเป็นภาระทางการคลังอันหนักหน่วงของประเทศต่อไปในอนาคต

ในต่างประเทศไม่มีการบังคับให้เปิดห้องฉุกเฉิน 24 ชั่วโมงทุกโรงพยาบาลเช่นนี้ การบังคับให้เปิดห้องฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง โดยที่ไม่มีความพร้อมด้านบุคลากรเป็นการบังคับและหลอกให้ประชาชนไปตายหรือไม่?

ประการที่สาม คนไทยเองก็นิสัยไม่ดี เอาแต่ตัวเองสะดวก ใช้ห้องฉุกเฉิน ไปรักษาพยาบาลตัวเอง เอาที่ตัวเองสะดวก ไม่ยอมมารักษาพยาบาลในเวลาราชการทั้งที่ ไม่ได้เป็นกรณีฉุกเฉิน แล้วที่ไม่ด่วนไม่ฉุกเฉินจริง ๆ ก็ล้นห้องฉุกเฉิน เมื่อคนไข้ไม่ฉุกเฉินไปใช้บริการเยอะมาก แล้วทำให้ไปเบียดบังกำลังคนและทรัพยากรในการรักษาพยาบาลคนไข้ที่ฉุกเฉินและจำเป็นจริงๆ หลายโรงพยาบาลก็ทนไม่ได้ ต้องเก็บเงินเพิ่มหากไม่ฉุกเฉินจริง เพื่อให้คนที่แค่เป็นไข้อ่อน ๆ ท้องร่วงเล็กน้อย ไม่ไปห้องฉุกเฉิน เพราะต้องเสียเงิน แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น ใครเคยไปใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกามาจะทราบดีว่านัดหมอยากและรอนานมากแค่ไหน ของไทยนี้ถือว่าสบายและง่ายสุดในโลกแล้วครับ

หลายโรงพยาบาลเริ่มหยุดพัฒนา ลงทุน ขีดความสามารถด้านการแพทย์ฉุกเฉิน เลิกพัฒนาห้องฉุกเฉิน เพราะ คนไข้ประชาชนแห่กันไปใช้ฟรีตามสะดวก ด้วยว่าอะไรก็ฉุกเฉิน เป็นกรรมของประชาชนและประเทศหรือไม่?

ประการที่สี่ การจ่ายเงินของ UCEP มีปัญหา โรงพยาบาลหาแพทย์มาอยู่เวรห้องฉุกเฉินยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเคสฉุกเฉินโดนบีบค่า doctor fee ด้วยสพฉ. นโยบายอยากจ่ายให้เท่าที่รัฐจะจ่าย ทำตัวเป็นโรบินฮู้ดหรือไม่? โรงพยาบาลรัฐนั้นมีภาษีมาสนับสนุน ก็ยังพอถูไถไปได้เพราะเป็นเงินที่ไม่มีเจ้าของ เอาหูเอานา เอาตาไปไร่ ได้ แต่โรงพยาบาลเอกชน นอกจากโรงพยาบาลจะขาดทุนแล้ว แพทย์ที่อุตสาห์มาอดนอนอยู่เวรฉุกเฉินยิ่งโดนบีบหนัก ผลคือ โรงพยาบาลหาคนอยู่เวรประจำตลอดไม่ได้ นโยบายนี้ รัฐประสบความสำเร็จในการเพิ่มห้องฉุกเฉินโดยไม่ต้องลงทุน ด้วยการบีบคอโรงพยาบาลเอกชน ทำตัวเป็นโรบินฮู้ดปล้นโรงพยาบาลเอกชนมาช่วยคนไข้ แต่สุดท้าย กรรมตกที่คนไข้ ....คนมีเงินมีสิทธิตายฟรี เพราะตามหมอไม่ได้ หรือตามได้ก็ได้แต่หมอมือใหม่ที่ยอมรับค่าตัวถูก ๆ เพราะต้องการทั้งเงินและประสบการณ์

ทุกวันนี้ คนไข้ฉุกเฉินหลายราย..ตามหมอไม่ได้ เพราะเหตุนี้ หรือตามได้ก็เป็นหมอมือใหม่ โรงพยาบาลเอกชนและแม้แต่โรงพยาบาลของรัฐเองเมื่อขาดทุน ยังสร้างระบบสองมาตรฐานซ้อนในโรงพยาบาล เพราะหากขาดทุนหนักมาก ผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็อยู่ไม่ได้ โดนเด้ง

เพื่อไม่ให้ขาดทุนหนักมากจากคนไข้ฉุกเฉินที่ สพฉ บังคับซื้อในราคาขาดทุน คนไข้ที่ไม่ฉุกเฉิน จะโดนเรียกเก็บเพิ่ม เพราะต้องเอากำไรเพิ่มขึ้นไปโปะชดเชยการขาดทุนจากคนไข้ฉุกเฉินของ UCEP หรือไม่? เพื่อไม่ให้โรงพยาบาลติดตัวแดงหรือไม่? (กรณีนี้คล้ายเอาเงินกำไรจากสวัสดิการข้าราชการ มาโปะบัตรทองหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า) แต่คงทำได้ไม่นาน เพราะคนไข้ธรรมดาก็จะโวยว่าค่ารักษาทำไมสูงขึ้น ๆ ค่ารักษาพยาบาลโรงพยาบาลเอกชนจะยิ่งสูงขึ้นเพราะขาดทุนจาก UCEP ต้องหากำไรจากทางอื่นมาชดเชย

ประการที่ห้า Emergency medicine หรือเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ซึ่งหาแพทย์มาเรียนสาขานี้ยากมากอยู่แล้ว เพราะชีวิตจะไม่มีคำว่าส่วนตัว เวลานอน เอาแน่เอานอนไม่ได้ ถูกตามได้ตลอดเวลา แพทย์สมัยนี้และแม้สมัยก่อนก็ไม่มีใครอยากจะเรียนกัน ความรับผิดชอบสูงมาก งานหนักและกดดัน ยิ่งมีสพฉ และ UCEP ยิ่งทำให้หมอสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉินเหมือนทำบาปทำกรรมไว้ ต้องมาโดนบังคับให้ทำงานด้วยค่าตัวถูก ๆ แต่โดนฟ้องหนักเรียกค่าเสียหายสูงๆ หมอบางสาขาคนแย่งกันเรียน พวกหมอผิวหนัง หมอศัลยกรรมตกแต่ง งานสบายกว่ากันมาก ทำงานในเวลาทำงานปกติ (office hour) เงินค่า doctor fee คิดเท่าไรก็ได้ตามตกลงที่พอใจกัน มีปัญหาก็ยังมีเงินเหลือพอจ้างทนายหรือจ่ายเงินเยียวยา แล้วไปบวกเพิ่มในเคสอื่น แล้วที่ไหนจะอยากเรียนสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน งานหนัก เงินน้อย โดนบังคับทำงานให้รัฐ แถมโดนฟ้องแบบฟรี ๆ แต่ท้ายที่สุดก็จะเกิดวงจรอุบาทว์ ไม่มีคนอยากเป็นหมอเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ไม่มีคนอยากเรียนและทำงาน ประชาชนได้รับผลกระทบหนักไปเต็มๆ

ประการที่หก มาตรฐานการแพทย์ไทยจะตกต่ำลงหรือไม่ เพราะหมอก็ไม่มี โรงพยาบาลก็เปิดห้องฉุกเฉินไปอย่างแกนๆ ตามที่ถูกบังคับให้เปิด เคสที่ยากเช่น การผ่าตัดสมอง เวลารถเทกระจาดมา เพราะนั่งท้ายกระบะที่ คสช ออกกฎหมายแบบชักเข้าชักออก คนไทยตามด้วยอุบัติเหตุมากสุดในโลก ผ่าสมองนี้ในหลายกรณีต้องมีแพทย์มากกว่าหนึ่งคน ยิ่งผ่าตัดซับซ้อนอย่างอื่น เช่น ผ่าตัดหัวใจ ต้องตามทีม มีทั้ง หมอผ่าตัด หมอผู้ช่วย พยาบาลส่งเครื่องมือผ่าตัด เจ้าหน้าที่คุมเครื่องมืออุปกรณ์ผ่าตัด หมอดมยา และพยาบาลดมยา แต่ UCEP นอกจากจะจ่ายเท่าที่ตนเองพอใจแล้ว ยังจ่ายแค่คนเดียว คือจ่ายแค่หมอผ่าตัด กำหนดไว้อย่างนี้ ผลคือคนไข้ซวยหรือไม่? หมอก็ซวยหนักหรือไม่? เพราะต้องผ่าคนเดียว ตามใครมาช่วย ก็ตามไม่ได้...พอผลผ่าตัดมีปัญหา ยังโดนฟ้อง แล้วแบบนี้ชีวิตประชาชนอยู่ที่ไหน มาตรฐานการแพทย์ของไทยอยู่ที่ตรงไหน สพฉ. จะรับผิดชอบมาตรฐานการแพทย์ของไทยหรือไม่?

คนไทยกำลังหลงดีใจกับนโยบายหาเสียงเลือกตั้งที่ถูกหลอกลวงหรือไม่? การแพทย์ฉุกเฉินเป็นของจำเป็น ระบบส่งต่อคนไข้ต้องพัฒนาอีกมาก และอะไรก็ตามที่ฝืนความเป็นจริง สุดท้ายผลร้ายจะตกอยู่ที่คนไข้และประชาชน

https://mgronline.com/daily/detail/9610000125988


โดย: หมอหมู วันที่: 21 ธันวาคม 2561 เวลา:21:31:10 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]