ผลสัมมนาเรื่องสมองตาย การตายตามกฎหมายที่แพทย์วินิจฉัย ... นพ.สุกิจ
นำมาฝากกัน ....เรียนอาจารย์และบุคคลากรสาธารณสุขทุกท่าน สืบเนื่องจากงานสัมมนากฎหมายทางการแพทย์เรื่องสมองตาย : การตายตามกฎหมายที่แพทย์วินิจฉัยและนักกฎหมายพึงทราบ มีเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3 ประการคือ(1) เพื่อให้การวินิจฉัยการตายโดยแพทย์เป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักสากล (2) เพื่อให้ไม่เกิดข้อโต้แย้งทางกฎหมายในการวินิจฉัยการตายโดยเกณฑ์สมองตาย (3) เพื่อให้ผู้ป่วยสมองตายได้รับการดูแลที่ถูกต้อง และหากเป็นผู้อยู่ในเกณฑ์ที่จะบริจาคอวัยวะได้ ควรได้รับโอกาสที่จะบริจาคอวัยวะเพื่อช่วยเหลื่อผู้อื่นที่ต้องได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ผมนายแพทย์สุกิจ ทัศนสุนทรวงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา ผู้ทำหน้าที่เตรียมข้อมูลการสัมมนาทั้งหมด ขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจต่อสาธารณชน โดยเฉพาะเมื่อเห็นสื่อมวลชนสรุป ประเด็นหลักเป็นทางด้านกฎหมายที่แพทยสภาจะดำเนินการขั้นต่อไปอยู่แล้วที่จะให้มีความชัดเจนมากขึ้น แต่ไม่ใช่เป้าหมายของการสัมมนาครั้งนี้ที่จะป้องกันแพทย์ถูกฟ้อง (ที่บางฉบับเขียนเป็นหัวเรื่องนำ ) ความจริงเป็นความเป็นห่วงของท่านรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมและผู้พิพากษา จึงเสนอให้ทำเป็นกฎหมายให้ชัดเจนมากกว่านี้ การสัมมนาครั้งนี้มีที่มาจากที่ผมได้ทำงานร่วมกับศูนย์รับบริจาคอวัยวะ โดยทำหน้าที่ในด้านวิชาการเกี่ยวกับการวินิจฉัยสมองตายที่ของเดิม เริ่มใช้เมื่อปี 2532 ปรับปรุงเล็กน้อยเมื่อปี 2539 ทางศูนย์รับบริจาคอวัยวะได้กรุณาให้ตำรามาศึกษาจำนวนมาก จึงเห็นว่าเกณฑ์เดิมที่ขณะนี้ใช้อยู่นั้น มีบางข้อที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ บางข้อกำกวม บางข้อที่เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีเป็นหลักฐานแต่กำหนดไม่ชัดเจน จึงทำให้ชัดเจนมากขึ้นได้แก่ การทดสอบการไม่หายใจ( apnea test) ที่ต้องมี การตรวจความดันของก๊าซในหลอดเลือดแดง (arterial blood gas) หลังหยุดเครื่องช่วยหายใจ ไม่น้อยกว่า 10 นาที ให้ได้ค่าคาร์บอนไดออกไซด์ไม่น้อยกว่า 60 มม.ปรอท และ ผู้ป่วยไม่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกและหน้าท้อง ถือว่า การทำทดสอบการไม่หายใจ( apnea test)เป็นผลบวก เป็นการยืนยันสมองตายโดยไม่ต้อง ยืนยันด้วยการทดสอบอื่นๆอีก ยกเว้นทำไม่ได้ จึงทำการตรวจยืนยันด้วยวิธีใดก็ได้ที่บ่งบอกว่าไม่มีเลือดไหลเวียนสู่สมอง โดยในระยะเวลามากกว่า 2 ปี ในทางปฏิบัติได้ทำตามเกณฑ์การวินิจฉัยสมองตายที่เพิ่งปรับปรุงใหม่ โดยคณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงเกณฑ์การวินิจฉัยสมองตายและเสนอกฎหมายรับรองการตาย ได้พิจารณาเรียบร้อยกว่า 1 ปีแล้ว แต่ได้ให้นักกฎหมายที่ปรึกษาตรวจสอบอีกครั้ง โดยสรุปของคณะอนุกรรมการนั้นเห็นว่าในระยะอันใกล้ที่แพทยสภาจะทำให้มีความชัดเจนทางกฎหมายในระดับหนึ่งคือการกำหนดคำจำกัดความของการตายไว้ในข้อบังคับแพทยสภา ซึ่งภาษากฎหมายว่าเป็นอนุบัญญัติ แต่จะให้ชัดเจนต้องให้กำหนดในพระราชบัญญัติ ซึ่งจะเป็นขั้นต่อไปที่ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตามนักกฎหมายเห็นว่าหากแพทย์ทำตามมาตรฐานวิชาชีพแล้วย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 80 (2) ที่บัญญัติว่าผู้ประกอบวิชีพสาธารณสุขเมื่อปฏิบัติตามมาตรฐานของวิชาชีพแล้วย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ในระหว่างนี้แพทย์จึงสามารถปฏิบัติตามเกณฑ์ดังกล่าวได้ แพทยสภาจึงดำเนินการเพื่อเป้าหมายเผยแพร่ให้แพทย์ นักกฎหมาย สาธารณชนทราบ ผลปรากฏว่าในการสัมมนากลับมีความเห็นของผู้พิพากษา และรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ติงในแง่กฎหมายว่าต้องกำหนดเป็นกฎหมายชัดเจน แพทย์จึงจะปลอดภัยหากมีการฟ้องร้อง ทั้งๆที่ได้ประสานให้ข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ว่ามีความชัดเจนทางกฎหมายในระดับหนึ่ง การสัมมนาวันนั้นต้องการมาให้ความมั่นใจกับแพทย์ให้ช่วยกันวินิจฉัยสมองตาย เพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้ทำบุญอันยิ่งใหญ่ในวาระสุดท้ายของชีวิตที่จะได้ช่วยชีวิตผู้สิ้นหวังที่รอการปลูกถ่ายอวัยวะจำนวนมาก การทำงานของแพทยสภาดังกล่าวหวังว่าจะเกิดประโยชน์ต่อประชาชน เมื่อวิทยากรที่เป็นนักกฎหมายผู้พิจารณาความผิดถูกมีความเห็นที่เป็นห่วงแพทย์ที่ทำหน้าที่ตามจริยธรรมว่าจะผิดกฎหมาย จึงไม่แปลกที่สื่อมวลชนจะพาดหัวข่าวทำนองแพทยสภาจัดสัมมนาเพื่อป้องกันแพทย์ถูกฟ้อง จึงขอเรียนให้สาธารณชนทราบว่าเป้าหมายหลักเป็นดังที่มีอยู่ข้างต้น และเนื้อหาที่เตรียมแถลงต่อสื่อมวลชนและตรงตามเป้าหมายที่จัดสัมมนาเป็นดังนี้ครับ สมองตาย : หนึ่งชีวิตที่สิ้นสูญช่วยหลายชีวิตที่สิ้นหวังได้ เมื่อวันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมาแพทยสภาได้จัดสัมมนากฎหมายทางการแพทย์ เรื่องสมองตาย : เพื่อสร้างความเข้าใจในเรื่องการวินิจฉัยการตายโดยเกณฑ์สมองตายแก่แพทย์และนักกฎหมาย ในโอกาสที่แพทยสภาได้กำหนดคำจำกัดความของการตายไว้ในข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม โดยมีการรวมถึงสภาวะสมองตายคือ การที่แกนสมองถูกทำลายจนสิ้นสุดการทำงานโดยสิ้นเชิงตลอดไป การกำหนดดังกล่าวทำให้มีความชัดเจนมากขึ้นทางกฎหมาย เนื่องจากกฎหมายกำหนดว่าแพทย์เป็นผู้วินิจฉัยการตาย ที่ผ่านมายังไม่มีกำหนดคำจำกัดความดังกล่าว มีเพียงประกาศแพทยสภาเรื่องเกณฑ์การวินิจฉัยสมองตายตั้งแต่ปี 2532 ซึ่งเป็นเพียงหลักเกณฑ์ทางการแพทย์ ยังคงมีข้อโต้แย้งทางกฎหมายได้ เมื่อได้กำหนดไว้ในข้อบังคับแพทยสภาดังกล่าวจึงสร้างความชัดเจนขึ้นทางกฎหมายว่า ผู้ได้รับการวินิจฉัยสมองตาย คือผู้ตาย เหตุที่ต้องมีกำหนดเช่นนี้เนื่องจากโดยทั่วไปจะเข้าใจว่าการตายนั้นถือว่าต้องไม่หายใจและหัวใจหยุดเต้น แต่ข้อเท็จจริงทางการแพทย์พบว่าผู้ป่วยที่สมองตายคือภาวะที่ไม่รู้สึกตัวและไม่หายใจ ซึ่งมีเหตุจากสมองถูกทำลายโดยไม่สามารถแก้ไขได้นั้นแม้จะสามารถช่วยการหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจได้ ทำให้ร่างกายยังคงได้รับออกซิเจนและหัวใจยังทำงานได้โดยยากระตุ้นการทำงานของหัวใจ แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถหยุดยั้งการหยุดทำงานของหัวใจได้ เนื่องจากสมองคือศูนย์รวมของการควบคุมการทำงานของทุกอวัยวะในร่างกาย เมื่อสมองตายอวัยวะต่างๆ จะเสื่อมการทำงานลงในเวลาไม่นาน หากยังคงให้การรักษาต่อไปมีแต่ความสิ้นเปลืองโดยไร้ประโยชน์ อีกด้านหนึ่งขณะที่เมื่อวินิจฉัยสมองตายในระยะเริ่มแรกอวัยวะต่างๆ ยังคงทำงานได้ดีอยู่ เป็นโอกาสที่ผู้เสียชีวิตจากสมองตายนั้นจะได้บริจาคอวัยวะโดยครอบครัวเป็นผู้แสดงความจำนง ภายหลังแพทย์ได้ให้ข้อมูลว่าผู้ป่วยสมองตายและเสียชีวิตแล้ว การตายโดยเกณฑ์สมองตายนี้ ทั่วโลกย่อมรับและหลายประเทศกำหนดเป็นกฎหมายอย่างชัดเจนแล้ว การบริจาคอวัยวะในประเทศไทยนั้น ดำเนินการโดยศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย ซึ่งจะทำหน้าที่ประสานงานให้มีการบริจาคอวัยวะ นำอวัยวะของผู้บริจาคไปปลูกถ่ายยังผู้รอรับบริจาคที่ได้ขึ้นทะเบียนตามลำดับ โดยดูถึงความเร่งด่วนการเข้ากันได้ของอวัยวะและห้ามมีการซื้อขายเป็นสำคัญ ปัจจุบันยังมีผู้เสียชีวิตจากสมองตาย บริจาคอวัยวะจำนวนน้อยมากเพียงปีละประมาณ 80 ราย โดยสถิติตามจำนวนประชากรแล้ว ประเทศไทย ควรมีผู้เสียชีวิตจากสมองตายและบริจาคอวัยวะได้จำนวนประมาณ 1,000 รายต่อปี นั่นคือมีผู้ป่วยสมองตาย จำนวนมากไม่ได้รับการวินิจฉัยและเปิดโอกาสให้บริจาคอวัยวะ เป็นที่น่ายินดีว่าสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช) ได้กำหนดให้การปลูกถ่ายไตเป็นสิทธิที่ผู้ป่วยพึงได้รับ และกระทรวงสาธารณสุขโดยท่านปลัดกระทรวง นายแพทย์ไพจิตร วราชิต มีนโยบายที่จะให้โรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไปที่ดูแลผู้ป่วยสมองตาย ให้มีการวินิจฉัยสมองตายและเปิดโอกาสให้บริจาคอวัยวะทุกราย ทั้งนี้ผู้บริจาค 1 ราย สามารถนำอวัยวะไปปลูกถ่ายได้แก่ ไต 2 ข้าง ตับ หัวใจ และปอด ให้แก่ผู้รอการปลูกถ่ายอวัยวะได้ถึง 3-5 ราย นับเป็นการสร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ในวาระสุดท้ายของชีวิตที่สิ้นสูญ ท่านที่มีสุขภาพแข็งแรงสามารถแสดงกุศลจิตในการเป็นผู้บริจาคอวัยวะเมื่อเสียชีวิต ได้ที่ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย โทร 1666 อย่างไรก็ตามคำแนะนำของท่านรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมและท่านผู้พิพากษา รวมทั้งท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่เข้าร่วมสัมมนาด้วย ได้เห็นความสำคัญที่จะให้มีพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการตายให้ชัดเจน ซึ่งจะเป็นโอกาสที่จะทำให้มีกฎหมายดังกล่าวได้เร็วขึ้นครับ ด้วยความปรารถนาดีจาก นายแพทย์สุกิจ ทัศนสุนทรวงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา แถม... ภาวะสมองตาย : ระยะสุดท้ายของชีวิตที่จะต่อชีวิตผู้อื่นได้//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=17-07-2008&group=4&gblog=53 (เก็บมาฝาก) สำหรับผู้ที่ต้องการบริจาค ร่างกาย อวัยวะ ดวงตา และ โลหิต//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=23-01-2009&group=7&gblog=10
Create Date : 16 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2552 16:14:24 น.
4 comments
Counter : 4677 Pageviews.
โดย: หมอหมู วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:15:40:29 น.
โดย: หมอหมู วันที่: 3 สิงหาคม 2554 เวลา:22:55:17 น.
โดย: หมอหมู วันที่: 3 สิงหาคม 2554 เวลา:22:56:00 น.
โดย: หมอหมู วันที่: 3 สิงหาคม 2554 เวลา:22:57:22 น.
หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [? ]
ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ ) หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป ) นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู ) ปล. ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..
รวบรวม กระทู้ที่เกี่ยวเนื่องกัน ....
ครม.ผ่านกฎกระทรวง สิทธิการตาย ......เปิดช่องหมอยุติรักษาตามเจตนาคนไข้ ...
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=13-12-2009&group=7&gblog=44
ผลสัมมนาเรื่องสมองตาย การตายตามกฎหมายที่แพทย์วินิจฉัย ... นพ.สุกิจ
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=16-11-2009&group=7&gblog=38
ภาวะสมองตาย : ระยะสุดท้ายของชีวิตที่จะต่อชีวิตผู้อื่นได้
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=17-07-2008&group=4&gblog=53
พินัยกรรมแห่งชีวิต ...เรื่องน่ารู้ ... เตรียมเผื่อไว้ก่อน ก็ดี ...
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=29-05-2009&group=8&gblog=76
(เก็บมาฝาก) สำหรับผู้ที่ต้องการบริจาค ร่างกาย อวัยวะ ดวงตา และ โลหิต
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=23-01-2009&group=7&gblog=10
หมอ ... มีสิทธิ์... ที่จะปฏิเสธ .... คนไข้ที่ไม่ฉุกเฉิน..... หรือเปล่า ???
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=20-08-2009&group=7&gblog=29