Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

ฉีดยาแล้วตายในสหรัฐ.......กรณีศึกษาบทเรียนในประเทศไทย โดย ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา



ฉีดยาแล้วตายในสหรัฐ.......กรณีศึกษาบทเรียนในประเทศไทย
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา

https://www.facebook.com/thiravat.hemachudha/posts/10151333094041518



ตั้งแต่มีรายงานของเชื้อราขึ้นสมองจากรัฐเทนเนสซี (Tennessee) วันที่ 18 กันยายน 2012 เป็นต้น มาจนถึง ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน มีรายงานจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (CDC) ว่าพบผู้ป่วยรวม 414 รายที่มีราขึ้นสมองเกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งในจำนวนนี้มีภาวะแทรกซ้อนเส้นเลือดแดงใหญ่ที่ก้านสมองอุดตัน เกิดอัมพฤกษ์และอัมพาต ผู้ป่วยเหล่านี้ได้รับการฉีดสเตียรอยด์ (steroid) เข้าบริเวณเยื่อหุ้มไขสันหลัง (epidural injection) หรือเนื้อเยื่อใกล้เคียงกับกระดูกสันหลัง (paraspinal injection) การฉีดเหล่านี้เป็นที่นิยมแพร่หลายในการบรรเทาอาการปวดหลัง รวมทั้งที่ปวดและร้าวลงมาขา เนื่องจากมีหมอนรองกระดูกหรือกระดูกทับเส้นประสาท ซึ่งโดยปกติถ้าระมัดระวังอย่างดี วิธีการฉีด อุปกรณ์ และตัวยา สะอาดปราศจากเชื้อ ผลแทรกซ้อนไม่ควรจะมีหรือมีแต่ไม่มากนัก ในผู้ป่วย 414 รายนี้ หลายรายยังมีฝีที่เยื่อหุ้มไขสันหลัง ติดเชื้อที่กระดูกร่วมด้วย และยังมีอีก 10 ราย ที่ได้รับการฉีดยาเข้าข้อ (เข่าตะโพก หัวไหล่ ข้อศอก) และเกิดมีข้ออักเสบจากเชื้อรา เบ็ดเสร็จถึงขณะนี้มีผู้เสียชีวิตไป 31 ราย

เชื้อที่เข้าสมองเป็นเชื้อราดำ (Exserohilum rostratum) ซึ่งอยู่ในดิน น้ำ หญ้า หรือเศษใบไม้ และมีเชื้ออื่นๆเช่น รา Aspergillus fumigatus แต่เป็นจำนวนน้อย ราดำที่ว่าโดยปกติไม่เกิดโรคร้ายแรง จะถ้าทำให้เกิดได้บ้างก็เช่น เกิดภูมิแพ้โพรงไซนัสอักเสบ กระจกตาอักเสบ (keratitis) หรือติดเชื้อบริเวณผิวหนัง ที่เกิดรุนแรงมหาศาลเช่นนี้เนื่องจาก ตัวยาสเตียรอยด์ ซึ่งผลิต บรรจุ จำหน่ายจากบริษัท New England Compounding Center มีการปนเปื้อนด้วยราดังกล่าว และยังตรวจพบเชื้อราได้ในขวดยาที่ยังไม่ได้เปิดใช้ หลังจากสืบสวนยังพบว่า เกิดโรคจริงๆขึ้นแล้วตั้งแต่เดือน กรกฎาคม เป็นต้นมา และทำให้ศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐ ประกาศเตือนแพทย์ทั่วประเทศเฝ้าดู ผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะซึ่งเข้าได้กับเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โดยน้ำไขสันหลังจะพบเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดนิวโตรฟิล (neutrophil)ได้ แทนที่จะเป็นชนิดลิมโฟไซท์ (lymphocyte) อย่างเดียว ซึ่งพบทั่วไปในการติดเชื้อราในสมอง ที่ต้องเฝ้ายังรวมทั้งผู้ป่วยที่มีอัมพฤกษ์ ไม่รู้สึกตัวจากเส้นเลือดสมองคู่หลังตัน (posterior circulation stroke) ผู้ป่วยที่มีฝีที่กระดูก หรือติดเชื้อในกระดูก ข้อ เนื้อเยื่อ ผิวหนัง ทั้งหมดนี้หลังจากที่ได้รับการฉีดสเตียรอยด์ ตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม เป็นต้นมา และเมื่อทำการตรวจสอบผลิตภัณฑ์อื่นๆของบริษัทยังพบว่ามีเชื้อแบคทีเรียปน เปื้อนอีกหลายชนิด เช่น ตระกูล Bacillus Brevibacillus Paenibacillus Lysinbacillus ซึ่งถึงแม้แบคทีเรียเหล่านี้ปกติจะไม่อันตราย แต่เนื่องจากปนเปื้อนในยาฉีด อาจทำให้เกิดมีเชื้อเข้ากระแสเลือด เข้าเยื่อหุ้มสมอง เส้นเลือดอักเสบได้เช่นกัน ยังมีผู้ที่ได้รับสเตียรอยด์ชุดที่มีราปนเปื้อนเหล่านี้อีกไม่ต่ำกว่า 14,000 รายที่อยู่ในข่ายอาจเกิดโรคได้

เชื้อ E. rostratum ราดำ เมื่อก่อให้เกิดโรคแล้วต้องได้รับการรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อรา voriconazole ไม่ต่ำกว่า 3 เดือน และถ้าอาการหนักหรือสาหัสอาจต้องเป็นรูปฉีดเข้าเส้นโดยต้องให้ร่วมกับยาฉีด Amphotericin B และยา Voriconazole จะมีปฏิกริยากับยาตระกูลอื่นๆหลายตัวทั้งยาลดไขมัน ยาความดัน ยานอนหลับ ยาซัลฟา ยากันชักบางตัว ยารักษาวัณโรค และยาลดกรดในกระเพาะ โดยทำให้ระดับ ยา Voriconazole ลดลงทำให้รักษาไม่ได้ผล

ปรากฏการณ์น่ากลัวของตัวยาที่มีเชื้อปนเปื้อนนี้ เคยมีรายงานมาก่อน เช่น ในปี 2002 ยาฉีดสเตียรอยด์เช่นกันมีรา Exophiala dermatitidis ทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบในผู้ป่วย 5 ราย และหลังจากเหตุการณ์สึนามิ เข็มฉีดยาปนเปื้อนด้วยเชื้อรา Aspergillus fumigatus ก่อให้เกิดโรคอีก 5 ราย โดยใช้เข็มฉีดยาชาเข้าไขสันหลัง



เหล่านี้เป็นกรณีศึกษา และทำให้ต้องระมัดระวังมากเหลือเกินในประเทศไทยที่ขณะนี้มีกระบวนการผลิตยา โดยจ้างบริษัทเล็กๆให้ผสม หรือผลิตยาแทน และประทับตราเป็นบริษัทใหญ่ การรักษาก็มีทั้งที่เป็นปกติแต่ทำมากจนเกินควร หรือแบบแปลกประหลาด แหวกแนว พิลึกพิลั่น มีทั้งฉีด เจาะ ผ่า นานาชนิด ที่ฉีดสเตียรอยด์ เข้ากระดูก เข้าไขสันหลัง เข้าข้อ เป็นเรื่องที่ทำกันประจำ และฉีดน้ำหล่อลื่นเข้าข้อเข่าให้เดินคล่อง ซึ่งก็บรรเทาอาการไม่ได้นานนัก รวมทั้งการส่องกล้อง เจียระนัยข้อ ผ่าตัดข้อ เปลี่ยนข้อ กระบวนการเหล่านี้แม้ว่าจะปลอดภัย แต่ถึงแม้ว่าจำนวนน้อยนิดจะเกิดปัญหา แต่ก็มีอันตรายยิ่ง เริ่มมีผู้ป่วยที่ติดเชื้อในข้อ จากการผ่าตัด การฉีดน้ำเข้าข้อ และต้องรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อไม่ต่ำกว่า 6-7 เดือน และผ่าตัดยังรวมถึงการฉีดยาบล็อกหลัง ยาสลบ ซึ่งพ่วงความเสี่ยงขึ้นอีก และผู้ป่วยที่มีอายุ และเนื้อสมองเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในทางเสื่อมหรือมีอัลไซเมอร์ การดมยาสลบจะทำให้ภาวะสมองเสื่อมเลวลงกว่าปกติ เห็นได้ชัดหลังจากดมยาประมาณ 4-6 เดือน


แนวพิสดารอื่นๆยังมีการเจาะเลือด เอาเซลล์มาปรับเปลี่ยนฉีดกลับ และอ้างว่าสามารถรักษาโรคได้ตั้งแต่เส้นผมจนถึงนิ้วเท้า และใช้ทฤษฎีประกอบน่ากลัวเพราะไม่มีหลักฐานยอมรับ สนนราคาครั้งละเป็นแสน และมีออกบทความเป็นชุดทางหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์เป็นวรรคเป็นเวร และที่ขึ้นชื่อคือ เซลล์ต้นกำเนิด เสตมเซลล์ (stem cell) ฉีดกันเป็นแสนเป็นล้าน ที่ฉีดเข้าไตหวังว่ารักษาไตวาย เกิดเป็นเนื้องอกประหลาด ดังไปทั่วโลก ฉีดเข้าเส้นเลือด เข้าสมองหวังจะรักษาโรคหัวใจ สมองเสื่อม ดังไปทั่วโลกเช่นกัน ถึงความมั่ว อับอายเป็นตัวตลกให้เป็นที่ขบขันของนักวิทยาศาสตร์เสตมเซลล์ นอกจากนั้นโรคอัลไซเมอร์ การรักษาด้วยเสตมเซลล์คงเต็มกลืนเพราะโปรตีนพิษของอัลไซเมอร์ ลอยละล่องเชื่อมต่อจากเซลล์หนึ่งไปยังที่อื่น เสมือนเป็นการติดเชื้อ และความผิดปกติมิได้จำเพาะเฉพาะเซลล์ชนิดเดียว แต่มีไปทั่ว หนำซ้ำการกำจัดโปรตีนพิษเหล่านี้มักไม่ได้ผล เนื่องจากหน้าที่การทำงานของสมองผิดปกตินานนับปีก่อนหน้าที่จะแสดงอาการ เสื่อมจนเห็นได้

ตัวอย่างของวิชาการพิสดารเหล่านี้อย่าหวังเลยครับ ให้เมืองไทยมีมหาวิทยาลัยติดอันดับโลก องค์กรวิทยาศาสตร์ สาธารณสุข มหาวิทยาลัย ถ้ายังช่วยประชาชนตัวเองไม่ได้ งมงายไปกับมายา – ธุรกิจ –ไสยศาสตร์ แล้วจะไปพึ่งใครครับ ดีท็อกซ์ไม่พอครับ ท่าทางต้องตัดตอนทิ้ง เกิดใหม่ท่าจะดี






แถม ..

ข้อเข่าเสื่อม น้ำไขข้อเทียม    

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=29-05-2008&group=5&gblog=16


การฉีดยา อันตรายที่ถูกเมิน    

//www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=02-02-2008&group=4&gblog=8







Create Date : 10 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2555 14:37:06 น. 0 comments
Counter : 3220 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]