สำนักพระราชวังออกแถลงพระอาการ“ในหลวง”พระปรอท(ไข้)ลดลง

สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ฉบับที่ 22 พระปรอท (ไข้)ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลดลง การอักเสบที่พระข้อหายเป็นปรกติ แต่ยังคงถวายโอสถปฏิชีวนะลดการอักเสบ และถวายออกซิเจนร่วมกับกายภาพบำบัด

 

เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2559 สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 22 เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ระบุว่า วันนี้คณะแพทย์ที่ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รายงานผลการติดตามการถวายการรักษาว่า

หลังจากที่ได้ถวาย พระโอสถปฏิชีวนะร่วมกับกายภาพบำบัด พระปรอท (ไข้) ได้ลดลงเป็นลำดับ ผลการตรวจด้วยวิธีพิเศษทางห้องปฏิบัติการที่ได้รับรายงานเพิ่มเติมมาแล้ว ไม่พบการอักเสบจากเชื้อโรค ผลการตรวจพระโลหิตชี้วัดว่า การอักเสบลดลงอีก

ส่วนการอักเสบที่พระข้อหายเป็นปรกติ คณะแพทย์ฯได้หยุดถวายพระโอสถปฏิชีวนะทางหลอดพระโลหิตแล้ว แต่ยังคงถวายพระโอสถปฏิชีวนะลดการอักเสบ และถวายออกซิเจนร่วมกับกายภาพบำบัด กับการติดตามพระอาการต่อไป จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

สำหรับบรรยากาศ ที่ศาลาสหทัยสมาคม ภายในพระบรมมหาราชวัง ตลอดวัน มีคณะบุคคล ตัวแทนหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน นักเรียน นักศึกษา รวมทั้งประชาชนจากทั่วประเทศ เดินทางลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กันอย่างต่อเนื่อง ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อปวงชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ และขอให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน ปกเกล้าฯชาวไทยตลอดไป คณะที่เดินทางไปอาทิเช่น

นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี นำคณะกรรมการ กลางอิสลามแห่งประเทศไทย ร่วมสวดดูอาร์ถวายพระพร กรมยุทธศึกษาทหารบก หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร จ.สระบุรี สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพรรณพืช คณะครูและนักเรียนโรงเรียนวัดบ้านนา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร ผบ.ตำรวจปราบปรามยาเสพติด พล.ร.อ.ชุมพล ปัจจุสานนท์ องคมนตรี และรองมูลนิธิพระดาบส

คณะผู้บริหารสำนักงาน กปร. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทั้ง 6 แห่งทั่วประเทศ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เทศบาลตำบลเมืองการุ้ง อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี คณะลูกเสือชาวบ้าน จ.เพชรบุรี โรงพยาบาลอานันทมหิดล จ.ลพบุรี เป็นต้น

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 09 มีนาคม 2559    
Last Update : 9 มีนาคม 2559 11:01:56 น.
Counter : 213 Pageviews.  

เกิดสุริยุปุราคาพุธที่ 9 มีนาคม 06.30-08.30 น.อย่าดูด้วยตาเปล่า-ไม่มีผลต่อดวงเมืองหรือชะตาชีวิตของคน

เผยวันพุธที่ 9 มีนาคมเกิดเกิดสุริยุปราคาหรือสุริยคราส ไม่มีผลต่อดวงเมืองหรือชะตาชีวิตของคน แนะอย่าดูด้วยตาเปล่าเป็นอันตราย ควรใช้อุปกรณ์ที่กำหนด รวมทั้งอย่าใช้กล้องถ่ายรูปเสี่ยงมีผลต่อดวงตา อ.เบตง ยะลาเห็นได้ถึง 69 %

เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2559 นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แถลงว่า ในวันที่ 9 มีนาคมจะเกิดสุริยุปราคาขึ้น ในประเทศไทยสามารถมองเห็นได้บางส่วน ซึ่งที่จะเห็นมากที่สุด 69 เปอร์เซ็นต์คือ อ.เบตง จ.ยะลา ส่วนในกรุงเทพมหานครจะเห็นสุริยุปราคา 41 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่เวลา 06.30-08.30 น.

นพ.เฉลิมชัย กล่าวว่าสุริยุปุราคาเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ มีการคำนวณช่วงเวลาล่วงหน้ามาแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีผลต่อดวงเมือง หรือชะตาชีวิตของคนเรา

ทั้งนี้ วิธีการดูสุริยุปราคาที่ปลอดภัยนั้นไม่ควรดูด้วยตาเปล่า เพราะอาจทำให้ตาบอดได้ เนื่องจากแสงอาทิตย์มีความเข้มข้นมาก เราสามารถใช้อุปกรณ์เพื่อดูสุริยุปราคาได้ ดังนี้ หน้ากากเชื่อมโลหะเบอร์ 14 ขึ้นไป แผ่นกรองแสงอะลูมิเนียมไมลาร์ กล้องโทรทรรศน์สำหรับดูดวงอาทิตย์ และแว่นดูดวงอาทิตย์ที่ทำจากแผ่นกรองแสงโพลีเมอร์ดำ นอกจากนี้ สามารถดูสุริยุปราคาทางอ้อม โดยใช้กะชอนรับแสงจากดวงอาทิตย์ผ่านรู เพื่อให้แสงไปตกบนฉาก ก็จะสามารถดูภาพได้ หรือใช้หลักการกล้องรูเข็มดูเงาของดูอาทิตย์ผ่านฉากรับภาพ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ไม่ควรนำกล้องมือถือ หรือกล้องถ่ายรูป ถ่ายภาพดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่า เพราะแสงที่ตกกระทบจากเลนส์กล้องจะมีค่าเข้มข้นมากกว่าปกติ จึงยิ่งส่งผลกระทบต่อดวงตา

สุริยุปุราคาหรือสุริยาคราส

สุริยุปราคา (Solar Eclipse หรือ Eclipses of sun) บางครั้งก็เรียกว่า “สุริยคราส” เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อโลก  ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน  โดยมีดวงจันทร์อยู่ระหว่างดวงอาทิตย์กับโลก  เงาของดวงจันทร์จะทอดยาวมายังโลก  ทำให้คนบนโลก(บริเวณที่มีเงาของดวงจันทร์) มองเห็นดวงอาทิตย์เว้าแหว่ง  หรือบางแห่งเห็นดวงอาทิตย์มืดหมดทั้งดวง 

ช่วงเวลาที่เกิดสุริยุปราคาจะกินเวลาไม่นานนัก เช่นเมื่อวันที่  24  ตุลาคม พ.ศ. 2538 ประเทศไทยสามารถมองเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงได้นาน 3  ชั่วโมง นับตั้งแต่ดวงจันทร์เริ่มเคลื่อนเข้าจนเคลื่อนออก  

สุริยุปราคาจะเกิดขึ้นเฉพาะในเวลากลางวันและตรงกับวันแรม 15 ค่ำ หรือวันขึ้น 1 ค่ำ เท่านั้น  ตำแหน่งบนพื้นโลกที่อยู่ในเขตใต้เงามืดของดวงจันทร์จะมองเห็นดวงอาทิตย์มืดมิดทั้งดวงเรียกว่า“สุริยุปราคาเต็มดวง” ท้องฟ้าจะมืดไปชั่วขณะ  ขณะที่ตำแหน่งบนพื้นโลกที่อยู่ภายใต้เขตเงามัวจะมองเห็นดวงอาทิตย์ถูกบังไปบางส่วนเรียกว่า“สุริยุปราคาบางส่วน”

สำหรับการเกิดสุริยุปราคาในช่วงที่ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกมากกว่าปกติ ทำให้เงามืดของดวงจันท์ทอดตัวไปไม่ถึงพื้นโลก  แต่ถ้าต่อขอบของเงามืดออกไปจนสัมผัสกับพื้นผิวโลกจะเกิดเป็นเขตเงามัวขึ้น  ตำแหน่งที่อยู่ภายใต้เขตเงามัวนี้จะมองเห็นสุริยุปราคาวงแหวนดวงจันทร์มีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์มาก  แต่ที่เรามองเห็นดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ได้มิด  ก็เพราะดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมากกว่าดวงอาทิตย์

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 08 มีนาคม 2559    
Last Update : 8 มีนาคม 2559 13:26:04 น.
Counter : 262 Pageviews.  

จะวอนไหว้ราหูแก้เคล็ดมฤตยูไม่ได้ โดย สิริอัญญา

เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2559 “สิริอัญญา”ออกมาให้ความรู้เรื่องดาวมฤตยูและพระราหู หลังจากบ้านนี้เมืองนี้เหมือนถูกผีเข้า พระถูกนักหลอกลวงต้มตุ๋นชักชวนให้ไปทำพิธีเสริมดวงและสะเดาะห์เคราะห์ รวมถึงทำพิธีบูชาพระราหูเพื่อให้ช่วยปกป้องคุ้มครองเหตุเภทภัยจากดาวมฤตยู ทั้งหมดเป็นเรื่องของนักหากินกับความโง่ของประชาชน “สิริอัญญา”จึงส่งคำถามไปยัง“บรรดาเจ้าพิธีนักหลอกลวงทั้งหลายว่ารู้เรื่องราวของดาวมฤตยูเช่นว่านี้หรือไม่เพียงใด” ดังนี้.....

 

ช่วง 2-3 วันมานี้ บ้านเมืองเหมือนถูกผีเข้า เพราะมีการสร้างข่าวเชิงพาณิชย์กันอย่างกว้างขวางเพื่อขายความโง่ให้กับประชาชน ซึ่งอาจจะกล่าวหาได้ด้วยว่านี่คือกระบวนการหลอกลวงต้มตุ๋นคนไทยให้หลงอยู่กับความโง่งมงายแล้วต้องเสียหายในเชิงทรัพย์สินหรือเสียเวลาในการทำมาหากิน

นั่นคือการเผยแพร่ขยายข่าวถึงการทำพิธีกรรม การชักชวนไปทำพิธีกรรมในลักษณะที่ว่าดาวมฤตยูเป็นดาวร้าย จะโคจรย้ายราศีมาทับลัคนาดวงเมืองในราศีเมษ ในวันที่ 6 มีนาคม 2559 จะเกิดอาเพศเหตุร้ายแก่ผู้คนที่เกิดเดือนนั้นเดือนนี้ หรือที่มีลัคนาอยู่ในราศีนั้นราศีนี้

แล้วก็เชิญชวนให้ไปทำพิธีเสริมดวงบ้าง สะเดาะเคราะห์บ้าง ที่สำคัญคือชักชวนกันให้ไปทำพิธีบูชาพระราหู เพื่อขอให้ช่วยปกป้องคุ้มครองเหตุเภทภัยจากดาวมฤตยูในครั้งนี้

ก็ขอประกาศให้รู้โดยทั่วกันว่า นั่นคือกลวิธีหลอกลวงต้มตุ๋นฉ้อโกงเพื่อเอาทรัพย์ของนักหากินกับความโง่ของประชาชน และไม่ได้ผลอันใดเลย มิหนำซ้ำยังจะเกิดอาเพศเหตุร้ายกับผู้หลงผิดอีกด้วย

ขั้นต้นก็ต้องเสียเวลาไปทำพิธีบ้า ๆ บอ ๆ ขั้นกลางก็เสียเงินเสียทองตามที่จะถูกหลอกถูกหลอน และขั้นปลายก็คือจะเกิดเหตุเภทภัยฉิบหายแก่ตัวเพราะความโง่เขลาเบาปัญญานั่นเอง

ดังนั้นมาทำความเข้าใจเรื่องดาวมฤตยูและพระราหูกันสักหน่อย เพราะแม้ว่าจะเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ก็พอมีสาระควรแก่การรู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม หรือไม่ก็รู้ไว้เพื่อเอาไว้ด่าพวกหลอกลวงต้มตุ๋นหรือพวกโง่เขลาเบาปัญญาให้เขาต้มตุ๋นก็ได้

มาว่ากันเรื่องดาวมฤตยูก่อน ดาวดวงนี้เพิ่งค้นพบไม่นาน และใช้กันในทางโหราศาสตร์ไม่นานนัก เพราะเมื่อครั้งที่พระอุตตมะรามเถรได้รจนาคัมภีร์จักรทีปนีย์และคัมภีร์จักรทีปนีจรเพื่อพันปีมาแล้วนั้นยังไม่มีดาวมฤตยู และยังไม่มีแม้กระทั่งดาวพระเกตุ

ในขณะนั้นคงมีดาวพระเคราะห์เพียง 8 ดวง คือพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัส พระศุกร์ พระเสาร์ และพระราหู ดังนั้นในคัมภีร์จักรทีปนีย์จึงมีความระบุว่า “แถลงปางอัฏฐะเคราะห์ เสด็จดล”

บทพยากรณ์ว่าด้วยดาวมฤตยูจึงมีข้อมูลทางสถิติน้อยมาก ถึงปัจจุบันนี้ก็มีเป็นที่ยุติแต่เพียงว่าเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ไม่ได้ให้คุณหรือให้โทษกับใคร หรือไม่ได้ทรงคุณหรือมีโทษพิเศษแต่ประการใด

อุปมาการส่งผลของดาวมฤตยูก็เหมือนจุด ๆ หนึ่ง ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่นเมื่อน้ำถูกต้มด้วยความร้อนถึงจุดหนึ่งก็จะกลายเป็นไอ หรือเมื่อได้รับความเย็นถึงจุดหนึ่งก็กลายเป็นน้ำแข็งฉันใด ดาวมฤตยูก็เทียบได้กับจุดที่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งหรือกลายเป็นไอฉันนั้น ส่วนจะส่งผลประการใดคือเปลี่ยนแปลงในทางปฏิวัติ ในทางปฏิรูป หรือในทางปฏิสังขรณ์ก็ขึ้นอยู่กับพระเคราะห์ทั้งหลายที่โคจรสัมผัสกันในห้วงเวลานั้น ๆ

ก็อยากจะถามพวกบรรดาเจ้าพิธีนักหลอกลวงทั้งหลายว่ารู้เรื่องราวของดาวมฤตยูเช่นว่านี้หรือไม่เพียงใด

ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นหรือไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะต้องไปทำพิธีกรรมเซ่นไหว้เพื่อคุ้มครองผองภัยใด ๆ

ส่วนพระราหูนั้นไมใช่ดาว แต่เป็นเงา ซึ่งในทางโหราศาสตร์ได้สงเคราะห์ให้เป็นพระเคราะห์หนึ่ง ส่วนในคติของฮินดูนั้นถือว่าพระราหูคือเทพอสูรองค์หนึ่งที่ได้ดื่มน้ำอัมฤทธิ์เมื่อครั้งก่อนตำนานรามเกียรติ์ แล้วมีความเป็นอมตะ แม้ต้องจักรพระนารายณ์จนตัวขาดสองท่อนก็ไม่ตาย

ทั้งในส่วนที่สงเคราะห์เป็นพระเคราะห์และที่เป็นคติของฮินดูนั้น ตรงกันว่าพระราหูเป็นพวกขวางโลก แม้การโคจรในจักรราศีก็สวนทางกับพระเคราะห์อื่นๆ ดังที่ระบุไว้ในคัมภีร์จักรทีปนีว่า “ปีกึ่งก็เกิดกล คติย้อนราศีไป” ในทางโหราศาสตร์พระราหูจึงเป็นดาวพระเคราะห์ประเภท “วิ” คือขวางโลก สวนทางกับโลก และเป็นบทพยากรณ์ยกเว้นบทพยากรณ์ทั่วไป ดังที่คัมภีร์จักรทีปนีจรระบุไว้ตอนหนึ่งว่า “พักตรเสริดและมนต์มี วิสมห้าประการกล”

จะมีใครสักกี่คนที่ใช้ข้อยกเว้นได้ครบทั้งห้าประการ โดยทั่วไปก็มักใช้บทพยากรณ์ทั่วไปกันทั้งนั้น มีบ้างที่คำนึงถึง“พักตร เสริด และมนต์” แต่ก็ขาดหลักพยากรณ์ ดังนั้นจึงได้เห็นกันเป็นเนืองนิตย์ว่าฟันธงผิดจนธงหักกันมาไม่รู้สักกี่ครั้งแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงบทยกเว้น “วิ” กับ “สม” ซึ่งจะมีสักกี่คนที่ล่วงรู้

ดังนั้นเมื่อพระราหูเป็นพวกขวางโลก ใครขืนไปทำพิธีอ้อนวอนให้คุ้มครองป้องกันช่วยเหลือเหตุเภทภัยจากดาวมฤตยู หากพระราหูมีจริงแล้วก็คงจะกระทืบซ้ำให้พินาศฉิบหายไปเป็นแน่แท้!

(วันอังคารที่ 8 มีนาคม 2559)

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 08 มีนาคม 2559    
Last Update : 8 มีนาคม 2559 12:34:11 น.
Counter : 261 Pageviews.  

ทนายวัดปากน้ำฯส่งเบนซ์ให้ DSI ตรวจสอบ หากผิดกฎหมายให้ดำเนินคดีกับผู้ขาย สมเด็จช่วงไม่ให้ปากคำเพราะไม

ทนายวัดปากน้ำฯส่งเบนซ์ ขม 99 ให้ DSI ตรวจสอบว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ถ้าผิดก็ให้ดำเนินคดีกับผู้ขาย ไม่ใช่มาเอาผิดสมเด็จช่วงที่คืนรถให้ผู้บริจาคแล้ว และจะไม่ให้ปากคำเพราะไม่ใช่ผู้ต้องหา

 

เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2559 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายสุรพงษ์ สิทธิกรณ์ ทนายความส่วนตัวพระมหาศาสนมุนี (พระธนกิจ สุภาโว) หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ นำรถยนต์ ยี่ห้อเมอร์เซเดส เบนซ์ ขม 99กรุงเทพฯ ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญใส่รถบรรทุกมาส่งมอบให้ดีเอสไอ โดยมีพ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร เป็นผู้รับมอบ

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ตนเป็นตัวแทนของหลวงพี่แป๊ะมาส่งมอบรถยนต์โบราณคันดังกล่าว การส่งมอบในครั้งนี้ สืบเนื่องจากดีเอสไอเคยบอกว่ารถมีความผิดอย่างไร แต่ยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหากับทางวัดฯ จึงตัดสินใจส่งมอบรถให้ดีเอสไอไปดำเนินการพิสูจน์ว่ารถคันนี้ผิดกฎหมายหรือไม่ หากผิดกฎหมายก็ให้ไปดำเนินคดีกับผู้ที่ขายรถให้สมเด็จช่วงฯ

ทั้งนี้นายวิชาญ รัษฐปานะ เป็นผู้ขาย และเป็นเจ้าของอู่วิชาญ เพราะเราเป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่ผู้ต้องหา เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ทราบข่าวถึงกรณีที่มีการกำชับการตรวจสอบในประเด็นรถยนต์หรูกว่า 6,000 คัน ที่เข้าข่ายลักษณะเช่นเดียวกับรถสมเด็จช่วง ดังนั้นการที่ดีเอสไอดำเนินการอย่างไรกับเรา ขอให้ใช้มาตรฐานเดียวกับรถยนต์ 6,000 คันด้วย และขอให้มีการเปิดเผยชื่อต่อสื่อมวลชนด้วยว่ารถจำนวน 6,000 คัน ที่อ้างว่าผิดกฎหมายเป็นรถของใครบ้าง ไม่ใช่เปิดเผยชื่อแต่รถของสมเด็จช่วงเพียงฝ่ายเดียว

ผู้สื่อข่าวถามว่าสมเด็จช่วงจะเดินทางมาให้ถ้อยคำกับดีเอสไอเมื่อใด นายสุรพงษ์ กล่าวว่าวัดปากน้ำฯ ไม่สามารถให้ปากคำได้ เพราะพนักงานสอบสวนไม่เคยแจ้งข้อกล่าวหากับทางสมเด็จช่วง และสมเด็จช่วงไม่ได้อยู่ในฐานะของผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนไม่เคยแจ้งว่าเราเป็นผู้ต้องหาเลย เพียงแต่เป็นผู้ที่ครอบครองรถ และสันนิษฐานว่ารถคันนี้อาจได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฏหมายเท่านั้น

“พนักงานสอบสวนยังไม่มีหนังสือมาถึงว่าเราเป็นผู้ต้องหาอย่างไร แต่ยินดีให้ความร่วมมือกับดีเอสไอ รถคันนี้ของสมเด็จช่วงฯได้ส่งคืนให้ผู้บริจาคแล้ว และได้ทำการแจ้งโอนลอยไปแล้ว เหมือนเราไปซื้อรถและมีการเซ็นหนังสือโอนลอยมาให้ ก่อนส่งมาให้เรา รถก็เลยมาเป็นกรรมสิทธิ์และอยู่ในความครอบครองของสมเด็จช่วง โดยผู้ร่วมบริจาคเงินให้ไปซื้อรถมีหลายคน เราจึงเป็นผู้เสียหาย คนที่ขายรถให้เราได้กระทำความผิด”นายสุรพงษ์ ระบุ

นายสุรพงษ์ กล่าวว่าการส่งรถมาให้ดีเอสไอในวันนี้ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ว่ารถคันดังกล่าว ที่ดีเอสไอออกข่าวหลายครั้งแล้วว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น จึงส่งมาให้ตรวจ ขอให้ออกเป็นหนังสือ อย่าแถลงข่าวว่ารถคันนี้ถูกหรือไม่ถูกกฎหมายอย่างไร ผิดมาตราไหน ข้อไหนอย่างไร และรถคันนี้ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ หรือเป็นผู้ต้องหา อย่าพูดคลุมเครือว่าเป็นรถของทางพระไปจดประกอบอะไรอย่างนี้ เพราะพระไม่ได้จดประกอบตั้งแต่วันแรก

“ที่ผมเคยออกมาแถลงก่อนหน้านี้ เนื่องจากพระไม่มีความรู้ในเรื่องจดประกอบ เพียงแต่เป็นผู้ซื้อและเป็นเหยื่อของขบวนการหลอกขายรถให้เท่านั้น และฝากถามดีเอสไอด้วยว่ารถหรู 6,000 คัน ทำไมจึงไม่มีการเปิดเผยเหมือนเรา และมีที่มาที่ไปอย่างไร ใครเป็นผู้ครอบครองรถจำนวนดังกล่าวบ้าง อีกประเด็นที่ผมกังวลมากที่สุดคือ รถเรามีมูลค่าเพียง 4ล้านบาท ไม่ใช่รถหรู เพราะรถหรูมีราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป จึงอยากให้เรียกว่าเป็นรถโบราณ และไม่ได้ใช้ขับมานานแล้ว เพราะอยู่ในพิพิธภัณฑ์ จึงอยากถามว่ารถหรูที่ขับอยู่บนท้องถนนทำไมไม่ตามจับกัน มีนัยยะอะไรหรือไม่ที่มาทำเรื่องรถของพระในวันนี้”นายสุรพงษ์ กล่าว

พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ให้เป็นตัวแทนการรับมอบรถ ซึ่งจะนำรถไปเก็บรักษาไว้ลานจอดรถชั้น 8 อาคารไปรษณีย์ไทย ถนนแจ้งวัฒนะ กทม.ส่วนการดำเนินคดีขณะนี้ดีเอสไอรับไว้เป็นคดีพิเศษ โดยอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักคดีภาษีอากร จะรับไปทำการสอบสวนต่อไป ซึ่งรถทั้งหมดตามที่ได้รับข้อมูลจากกรมการขนส่งจะส่งเอกสารการครอบครองรถมาให้ดีเอสไอ หลังจากนั้น จะดำเนินการตามที่พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ได้แถลงข่าวไปก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ไม่เลือกปฏิบัติ ช่วงที่ผ่านมาได้ดำเนินคดีไปพอสมควรแล้ว ส่วนกระบวนการต่อจากนี้ หลังรับรถเบนซ์คันดังกล่าวไว้ จะทำบันทึกให้กับผู้รับมอบอำนาจจากสมเด็จช่วง สำหรับรถคันดังกล่าวอยู่ในการสอบสวน ใครถูกหรือผิด ใครทำอย่างไรนั้น กระบวนการขั้นตอนป็นอย่างไรทางดีเอสไอจะดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงทั้งหมด ขั้นตอนตรวจสอบรถทางกายภาพถือว่ายุติแล้ว และวันนี้เพียงแต่รับรถไว้หลังจากส่งมอบรถให้ดีเอสไอ.

เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 ทีมข่าวนสพ.ไทยรัฐไปตรวจสอบที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มีทีมงานฝ่ายกฎหมาย นำเอกสารมาให้ทีมข่าวดู เป็นรายการจดทะเบียนรถ วันจดทะเบียน 26 สิงหาคม 2554 เลขทะเบียน ขม 99 ยี่ห้อ เบนซ์ เลขเครื่องยนต์ 1869204500552 วันที่ครอบครองรถ 26 สิงหาคม 2554 ผู้ถือกรรมสิทธิ์ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ช่วง สุดประเสริฐ โดยมีลายเซ็นของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ลงชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์

นอกจากนี้ยังมีเอกสารระบุถึงการซื้อรถเบนซ์ รุ่น 300 ปี 1953 จาก wichan vintage garage ชื่อลูกค้า พระครูพิทักษ์วรานุรักษ์ รายการ 1 "ซื้อรถเบนซ์ 300 ปิดประทุนในราคาพร้อมซ่อมเสร็จสมบูรณ์ จำนวน 4,000,000 บาท โดยแบ่งจ่ายงวดที่ 1 -1000,000-14/2/563 งวดที่ 2 เมื่อได้รับทะเบียนโอนเรียบร้อย 1,500,000 งวดที่ 3 ค่าซ่อม+อะไหล่ จนเสร็จสมบูรณ์ 1,500,000 ลงชื่อ พระครูพิทักษ์"

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 08 มีนาคม 2559    
Last Update : 8 มีนาคม 2559 11:01:01 น.
Counter : 240 Pageviews.  

ศาลตัดสินจำคุกดีเจ“เก่ง”3 เดือน 15 วันไม่รอลงโทษถอยรถชนผู้อื่น“ถอนใบขับขี่ตลอดชีวิต-ยึดรถ-จ่ายค่าเสี

ดีเจเก่งถอยรถชนผู้อื่นให้การรับสารภาพแล้วปฏิเสธขอสู้คดี จากนั้นขอศาลรับสารภาพ ถูกศาลสั่งจำคุก 3 เดือน 15 วันไม่รอลงโทษ ถอนใบขับขี่ตลอดชีพยึดรถยนต์สั่งจ่ายค่าปรับ 1.7 แสน เจ้าตัวขอประกันสู้คดีอุทธรณ์

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 7 มีนาคม  ที่ห้องพิจารณา 31 ศาลแขวงพระนครเหนือ ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดพร้อมคู่ความ คดีหมายเลขคดีดำ ที่ อ.1116/2558 ที่พนักงานอัยการฝ่าคดีศาลแขวง(พระนครเหนือ) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายภัทรศักดิ์ เทียมประเสริฐ หรือ ดีเจเก่ง อายุ 35 ปี อดีตดีเจคลื่นวิทยุ 89.5 สวีทเอฟเอ็ม  ในความผิดฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น,ทำร้ายร่างกายไม่เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายทางร่างกายและจิตใจ และทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจ จากกรณีเมื่อวันที่ 8 มกราคม จำเลยถอยรถกระบะโตโยต้าไฮลักซ์ชนกับรถเก๋งโตโยต้ายาริส คู่กรณี

ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ศาลได้สอบคำให้การจำเลยแล้วให้การปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา ศาลจึ่งนัดพร้อมในวันที่ 7 มีนาคมเพื่อตรวจพยานหลักฐาน แต่ก่อนที่ศาลจะเริ่มกระบวนการพิจารณา จำเลยหรือดีเจเก่ง ได้แถลงต่อศาลขอกลับให้การรับสารภาพ ตามฟ้องโจทก์ โดยศาลสอบถามอัยการแล้วไม่คัดค้าน

 ศาลพิจารณาพยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพจำเลยแล้วเห็นว่า การกระทำเป็นความผิดตามตามฟ้องจึงพิพากษาจำคุกจำเลยเป็นเวลา 7 เดือน แต่จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุให้บรรเทาโทษเห็นควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคง 3 เดือน 15วัน

เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีศาลเห็นว่าพฤติการร้ายแรงก่อเหตุบนถนนสาธารณะในเวลากลางวัน จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ โดยศาลให้เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีวิต พร้อมริบรถคันดังกล่าว และให้ชดใช้ค่าเสียหาย 1.7 แสนบาท พร้อมทั้งค่าเสียเวลา 250 บาท นาน 45 วันแก่คู่กรณี

ภายหลังนายภัทรศักดิ์ ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 15,000 บาทเพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี ศาลพิจารณาคำร้องและหลักทรัพย์จำเลยอนุญาตให้ปล่อบช่วคราวจำเลยโดยตีราคาประกัน 15,000 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายครั้งศาลมีคำสั่งอนุญาตปลาอยชั่วคราวนายภัทรศักดิ์ ได้หลบเลี่ยงผู้สื่อข่าวโดยเดินทางออกจากศาลทันที

เรื่องนี้  นายภัทรศักดิ์ หรือ เก่ง เทียมประเสริฐ อายุ 35 ปี อดีตดีเจคลื่นวิทยุ 89.5 สวีทเอฟเอ็ม ขับรถกระบะโตโยต้าไฮลักซ์ สีดำสีประตู ถอยหลังชนกับรถเก๋งโตโยต้ายาริสของคู่กรณี ที่บริเวณทางเข้าสนามไทยญี่ปุ่น-ดินแดง เมื่อวันที่ 8 ม.ค. และถูกฟ้องรวม 3 ข้อหา ประกอบด้วย ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น ทำร้ายร่างกายไม่เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายทางร่างกายและจิตใจ และทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจ 

ต่อมาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ นายภัทรศักดิ์ จำเลยได้ให้การปฏิเสธขอต่อสู้คดี ศาลจึงนัดพร้อมคู่ความทั้งสองฝ่าย ในวันที่ 7 มีนาคมเวลา 09.00 น.

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 08 มีนาคม 2559    
Last Update : 8 มีนาคม 2559 10:03:20 น.
Counter : 280 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.