การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ โดย สิริอัญญา



เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2559 สิริอัญญา เขียนไว้ถึงการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเรื่องวิวัฒนาการรัฐธรรมนูญ หลังพฤษภาทมิฬ จนมาถึงร่างปี 2540 เริ่มเข้าสู่ระบบโคตรโกงและโกงทั้งโคตร,การริบและลิดรอนพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์อย่างเป็นขั้นเป็นตอน,สถานการณ์หนักหนาสาหัสกว่าเดิม ถึงขั้นตั้งกองกำลังอาวุธเพื่อต่อสู้กับกองทัพไทย ประกาศตั้งรัฐไทยใหม่ ประชาชนออกมารวมตัวประท้วงอย่างยาวนานถูกเข่นฆ่าเรื่อยมา จนมาถึงการยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 และก็ร่างรัฐธรรมนูญกันอีก ดังนี้....

 

นับตั้งแต่ประเทศไทยมีการยึดอำนาจเป็นต้นมา ต้องถือว่าการยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 มีปรากฏการณ์พิเศษที่พิลึกพิลั่นมากขึ้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา และมีข้อควรต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้น มิฉะนั้นอาจทำให้สถานการณ์บ้านเมืองยิ่งย่ำแย่ลงไป

จึงต้องบอกกล่าวเล่าเตือนกันเพื่อจะได้เตรียมการทั้งหลายให้พรั่งพร้อม และทำการป้องกันแก้ไขเสียให้ทันท่วงที

ก่อนอื่นต้องบอกว่า แต่ไหนแต่ไรมาเมื่อมีการยึดอำนาจกันครั้งหนึ่ง เขาต้องมุ่งแก้ไขปัญหาอันเป็นเหตุให้ยึดอำนาจนั้นเสียก่อน จนปัญหาเสร็จสิ้นไปแล้ว จึงค่อยพูดถึงเรื่องการเลือกตั้ง

และในระหว่างนั้นก็มีการเตรียมการร่างรัฐธรรมนูญกันไปพลาง โดยตั้งคณะทำงานร่างรัฐธรรมนูญในรูปกรรมการหรืออื่นๆ ตามความเหมาะสมและจำเป็น

ทว่าหลังเกิดเหตุพฤษภาทมิฬ กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญก็เปลี่ยนแปลงไป มีการสร้างกรรมวิธีปลุกเสกจนพิสดารพันลึก ประหนึ่งต้องการทำให้กระบวนการร่างศักดิ์สิทธิ์ ราวกับเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของประเทศชาติ ทำให้หลงผิดคิดไปได้ว่ายึดอำนาจทั้งทีก็เพื่อร่างรัฐธรรมนูญกันนั่นเอง

และนับแต่มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 เป็นต้นมา กระบวนการและแบบแผนก็ชักจะแข็งตัวขึ้นราวกับเป็นคอนกรีตเมื่อเทปูนซีเมนต์แล้ว ก็ยิ่งแข็งตัวมากขึ้น จนปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรแทบไม่ได้

และแล้วรัฐธรรมนูญปี 2540 ก็ให้บทพิสูจน์ชัดเจนว่าเป็นมูลเหตุสำคัญทำให้การเมืองของประเทศเข้าสู่ระบบโคตรโกงและโกงทั้งโคตร โดยเฉพาะการปกครองบ้านเมืองกลายเป็นมูลเหตุสำคัญที่จะปรับเปลี่ยนการปกครองของประเทศจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สู่ระบอบประชาธิปไตยที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข เช่น เริ่มให้เลือกตั้ง สว. เป็นต้น

รวมทั้งการริบและลิดรอนพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์อย่างเป็นขั้นเป็นตอน แม้กระทั่งหากจะทรงเขียนจดหมายฉบับหนึ่งก็บังคับว่า ต้องมีรัฐมนตรีรับสนอง

ใครโกงก็โกงกันไป และยังคงลอยนวลได้หน้าตาเฉย เพราะกระบวนการทั้งหลายในการปราบโกงถูกทำให้เป็นอัมพาตจนหมดสิ้น ในที่สุดนักการเมืองก็เข้ายึดอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กลายเป็นระบอบเผด็จการโดยรัฐสภาที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติการเมืองของประเทศ

เพราะเหตุที่การเมืองเข้าสู่ระบบโคตรโกงและเป็นเผด็จการรัฐสภาเต็มรูปแบบ ประชาชนชาวไทยจึงลุกฮือต่อสู้และมีการใช้อำนาจรัฐอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตปราบปรามประชาชนทั้งเข่นฆ่าสังหารทุกรูปแบบ จนในที่สุดประชาชนก็ลุกฮือขึ้นชุมนุมเดินขบวนครั้งใหญ่ที่สุดและยาวนานที่สุด

และนำไปสู่การยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549!

แต่ทว่ายึดอำนาจได้ไม่ถึง 10 วัน ก็ถูกปฏิวัติซ้อนโดยกระบวนการอันซับซ้อนซ่อนเงื่อน มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวและจัดตั้งรัฐบาลมะเขือเผาขึ้น เพื่อทำการเลือกตั้งภายใน 1 ปี

กลายเป็นปฏิวัติมาเพื่อการเลือกตั้ง และไม่ได้แก้ปัญหาอันเป็นเหตุให้ปฏิวัติเลยแม้แต่เรื่องเดียว ยกเว้นก็แต่เรื่องจัดตั้ง คตส. ซึ่งถ้าใช้บุคคลชุดเดิม ก็ไม่มีทางยึดทรัพย์ใครได้เหมือนการปฏิวัติทุกครั้งที่ผ่านมา แต่เดชะบุญหัวหน้า คมช.ขณะนั้น รับฟังความคิดเห็นนักกฎหมายอีกคณะหนึ่ง จึงต้องยกเลิกคำสั่งตั้ง คตส. เดิม และเปลี่ยนแปลงกรรมการ คตส. เป็นเหตุให้ยึดทรัพย์จากการทุจริตได้จำนวนมาก

เพราะปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข หญ้าพิษยังคงลุกลามอย่างโจ่งแจ้ง ก่อรูปแบบการสร้างความรุนแรงชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถึงขนาดคุกคามประธานองคมนตรีอย่างหน้าตาเฉย และลอยนวลอย่างหน้าตาเฉยอีกด้วย

หลังการเลือกตั้งทุกอย่างก็กลับเข้าที่เดิมและหนักหนาสาหัสกว่าเดิม เพราะระบอบเผด็จการรัฐสภาได้สร้างแบบแผนการครองอำนาจและการใช้อำนาจแน่นหนาขึ้น

เดชะบุญศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้รัฐบาลนั้นพ้นจากตำแหน่ง และจับผลัดจับผลูจับเผลอจนมีการจัดตั้งรัฐบาลผสม แต่รัฐบาลนั้นก็ดีแต่พูด เล่นลิเกไปวันๆ โดยไม่ได้แก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมืองแต่ประการใด

ความล้มเหลวในการบริหารบ้านเมืองถึงขั้นสูงสุดเพราะแม้กระทั่งจัดประชุมสุดยอดอาเซียนก็ล้มเหลว เกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง เกิดเหตุฆ่าทหารกลางใจพระนคร ทำให้ทหารมือเปล่าถูกฆ่าและถูกยิงบาดเจ็บเป็นใบไม้ร่วง เพราะความหน่อมแน้มที่ให้ทหารมือเปล่าไปรักษาสถานการณ์

ในที่สุดรัฐบาลนั้นก็ยุบสภา คงวาดหวังว่าจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง แต่ฝันผิดคิดพลาด การเมืองแบบเก่ากลับมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ร้ายกาจยิ่งกว่า นางยักษ์จำแลงถูกจับได้ ก็ไล่ล่ากินคนไม่หยุดหย่อน สถานการณ์หนักหนาสาหัสกว่าเดิมมาก ถึงขั้นตั้งกองกำลังอาวุธเพื่อต่อสู้กับกองทัพไทย ถึงขนาดประกาศตั้งรัฐไทยใหม่ และแบ่งแยกดินแดนเป็นส่วนๆ รวมทั้งโกงกินทุกอย่างที่ขวางหน้า

ปวงประชาชนที่รักชาติบ้านเมืองทนไม่ไหวจึงลุกฮือขึ้นต่อสู้ ชุมนุมขับไล่ด้วยความเสียสละกล้าหาญ จนถูกฆ่า บาดเจ็บล้มตายนับหมื่นคนสุดที่จะทนทาน จึงร้องขอให้ทหารเข้ามายึดอำนาจ ร้องแล้วขอเล่าก็ไม่ได้ผล

ประชาชนต้องอดทนและเสียสละชุมนุมให้เขาฆ่า ให้ยิง ทำร้าย ให้เขาถล่มตามใจชอบ จนบาดเจ็บล้มตายมากขึ้น ในที่สุดเหตุการณ์ก็ถึงขั้นเคลื่อนกองกำลังนอกกฎหมายเพื่อสังหารประชาชนครั้งใหญ่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งหากเกิดขึ้น จะกลายเป็นสงครามกลางเมืองที่แผ่นดินนี้จะไม่มีวันสงบสุขอีกต่อไป

การยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 จึงเกิดขึ้น แต่เวรกรรมยังไม่สิ้น กระบวนการทั้งหลายแบบที่เคยเกิดขึ้นยุค คมช. กลับคืนมาอีกครั้ง ไม่ทันไรและไม่ได้ทันแก้ปัญหาบ้านเมืองก็ประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว

นับแต่บัดนั้น อำนาจรัฐถูกแบ่งไปเป็นองค์กรร่างรัฐธรรมนูญบ้าง องค์กรความคิดปฏิรูปบ้าง เป็นองค์กรนิติบัญญัติบ้าง ที่เป็นผู้ถืออำนาจรัฐจากการปฏิวัติคงเหลือเพียง 2 ส่วนคือ คสช.และรัฐบาล ที่มีใครก็ไม่รู้ไม่เคยร่วมรู้ร่วมเสียสละมาขอแชร์ใช้อำนาจจนหลายครั้งสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าแก่ คสช. จนต้องแก้ไขปัญหาการบริหารและต้องแบกรับการบริหารไว้ทุกเรื่องทุกราว

แม้กระทั่งการแสดงระบำโป๊ในงานฉลองพัดยศเจ้ากูรูปหนึ่งทางภาคเหนือ ก็ไม่มีใครรับผิดชอบ พากันเกียร์ว่างทั้งสิ้น ร้อนถึงนายกรัฐมนตรีต้องว่ากล่าวตักเตือนให้ได้เห็นกันทั้งเมือง

การร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรกก่อปัญหามากมายให้กับบ้านเมือง เพราะทำให้ประเทศถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศการร่างรัฐธรรมนูญและถกเถียงกันทั้งบ้านทั้งเมือง จนทั่วทั้งประเทศมีแต่คนทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องรัฐธรรมนูญ และในที่สุดก็ถูกคว่ำไปโดยไม่ทันประกาศใช้

แล้วคณะเก่าเจ้าเดิมนั่นแหละก็ได้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้ง จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ยังถกเถียงเรื่องรัฐธรรมนูญไม่รู้จักจบสิ้น จนทะเลาะเบาะแว้งไปทุกหนแห่ง กระทั่งพรรคการเมืองและหลายองค์กรประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ

ก็ลิเกคณะเก่าจะหวังให้แต่งตัวใหม่เล่นเรื่องใหม่ ย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ดังนั้นก็ต้องทนแก้ไขปัญหากันไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และนี่คือสภาพการณ์ทั้งหมดของการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งกว่าจะจบสิ้นก็ยังไม่รู้จะออกหัว ออกก้อยประการใด

เพราะต้องลงประชามติกันอีกรอบหนึ่งว่าประชาชนจะเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่? และประชาชนต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไรบ้าง? วันนี้ก็ถกเถียงกันทั่วทั้งบ้านทั้งเมืองว่าการตั้งคำถามเป็นประชาธิปไตยหรือไม่? ซึ่งเป็นอาการบ้าประชาธิปไตยชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ก็แค่ถามความเห็นประชาชน มันจะเป็นหรือไม่เป็นประชาธิปไตยที่ตรงไหน!

การร่างรัฐธรรมนูญแบบส่งเสริมอาการบ้าให้กับบ้านเมืองเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องตระหนักและต้องเตรียมการป้องกันแก้ไข อย่าให้ถึงกับเกิดความรุนแรงแบบพฤษภาทมิฬเลยเพราะถ้าเกิดเหตุเช่นนี้ ครานี้แหละถึงไม่สิ้นชาติ ก็คงไม่ต่างจากยุคเสียกรุงครั้งที่สองดอก!

ที่มา thaitribune




Create Date : 14 เมษายน 2559
Last Update : 14 เมษายน 2559 2:10:04 น. 0 comments
Counter : 211 Pageviews.

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.