สัปดาห์ของ“นักเล่าข่าว”และสถานีทีวี.ไม่ได้มีความรับผิดชอบต่อสังคม

แม้"นักเล่าข่าว"คนดัง สรยุทธ สุทัศนะจินดา จะผละจากจอโทรทัศน์ไปอย่างจำใจแล้ว เรื่องของเขาและผู้ประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์ ยังคงเป็น"ประเด็นร้อน"ที่จะต้องจับตาดูกันต่อไป สถานีโทรทัศน์ที่รองรับรายการของ"นักเล่าข่าว"คนนี้ ไม่ได้มีความรับผิดชอบต่อสังคมเหมือนอย่างที่เคยประกาศไว้

 

เมื่อต้นสัปดาห์  ข่าวที่ไม่ได้เกินความคาดหมายของสังคมก็คือศาลอาญาได้พิพากษาจำคุกนักเล่าข่าวชื่อดัง พร้อมพนักงานของบริษัท ไร่ส้ม คนละ 20 ปี ฐานทุจริตค่าโฆษณาในรายการ "คุยคุ้ยข่าว" กว่า 138 ล้านบาท และปรับบริษัทไร่ส้ม 120,000.- บาท. คำให้การถือว่าเป็นประโยชน์ในารพิจารณา ลดโทษเหลือจำคุกคนละ 13 ปี 4 เดือน ส่วนพนักงานสาวอีก 1 คน ที่จดทำคิวโฆษณาของ อสมท. จำคุก 30 ปี ลดเหลือ 20 ปี

เรื่องนี้มีพฤติการณ์ว่า  ตั้งแต่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 ถึง 28 เมษายน 2549    พนักงานจัดทำคิวโฆษณา ของ อสมท. ได้นัดทำคิวโฆษณารวมในรายการ"คุยคุ้ยข่าว" ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต

ไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลาเพื่อเรียกเก็บค่าโฆษณาเกินเวลาจากบริษัทไร่ส้ม จำนวน 17 ครั้ง

ทำให้ อสมท.เสียหาย 138 ล้านเศษและยังได้เรียกรับเงินกว่า 6 แสนบาท จากนักเล่าข่าวกับพวกเป็นการตอบแทน ไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลานั้น

ศาลเห็นว่าเป็นความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การฯ จึงพิพากษาลงโทษข้างต้นและอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว

ก่อนหน้านี้  ปปช.ได้ชี้มูลความผิดไปเมื่อ 20 กันยายน 2555 เมื่อส่งอัยการสูงสุดเพื่อฟ้องต่อศาลได้รับแจ้งว่ายังมีข้อไม่สมบูรณ์ จึงตั้งคณะทำงานร่วมพิจารณาอีกครั้ง จนกระทั่งมีคำพิพากษาข้างต้น

หลังจากมีคำพิพากษาสังคมคาดหวังกันว่านักเล่าข่าวคนดังคงหยุดพักสงบเสงี่ยมรอดูท่าทีหรือสถานการณ์ของสังคมรอบด้าน ว่าจะสะท้อนกลับในแง่มุมใดบ้าง กลับปรากฏว่า รายการทั้งเช้าและเย็นก็ยังปรากฏว่านักเล่าข่าวคนนี้ออกอากาศเหมือนไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น จึงเป็นที่กังขาอย่างมาก

สถานีโทรทัศน์ ช่อง 3 ก็ประชุมผูบริหารเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างขมักเขม้น แล้วออกมาบอกว่าเคยร่วมงานกับนักเล่าข่าวคนนี้มานาน 12 ปี ต้องให้ทำงานร่วมกับช่อง 3 ต่อไป เพราะกรณีที่เกดขึ้นนั้นเป็นเหตุการณ์ก่อนมาร่วมงาน และคดีนี้ก็ยังไม่สิ้นสุด

หลังจากนั้นเพียงวันเดียว ได้มีองค์กรของรัฐ อาทิ กสทช. และองค์กรวิชาชีพสื่อ อาทิ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ฯ ออกมาเคลื่อนไหวชี้ให้สังคมเห็นว่าพฤติการณ์และการกระทำของนักเล่าข่าวรายนีจะต้องทบทวนบทบาทของตนเองได้แล้ว และกล้าที่จะรับผิดชอบถอนตัวออกมาจากวงการสื่อที่อาจถูกโจมตีไปในทางเสียหาย

คณะกรรมการกจการกระจายเสียง กจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.ระบุว่าประเด็นของนักเล่าข่าวต้องให้ความเป็นธรรมเพราะคดียังไม่สิ้นสุด แต่ดานผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์  ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสม,เรื่องจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม

เพราะผู้ประกาศข่าวหรือผู้ดำเนินรายการ ถือเป็นตัวอย่างของสังคม ต้องคัดเลือกคนที่เหมาะสมและเป็นตัวย่างได้ ส่วนการตัดสินใจใดๆ เป็นของผู้ประกอบกิจการที่จะใช้ดุลยพินิจ กสทช.ไม่มีอำนาจเข้าไปจัดการอะไรได้

ด้านสังคมออนไลน์ ต่างก็โพสต์ข้อความในช่องทางต่างๆ โจมตีนักเล่าคนดังว่าไม่อาจที่จะปฏิบัติหน้าที่เช่นปติได้แล้ว เพราะจะค้านกับกระแสความรู้สึกนึกคิดของประชาชนทั่วไป

สมาชิก สปท.คนหนึ่ง โพสต์ในเฟสบุคว่า ถ้าเป็นกรณีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี,นายกรัฐมนตรี,หรือข้าราชการ ก็จะต้องพ้นจากตำแหน่งทันทีตามรัฐธรรมนูญ 2550 แม้ว่าคดียังไม่ถึงที่สุด หรือแม้แต่รอลงโทษก็ตาม ซึ่งเป็นการวางคุณสมบัติไว้ ถ้าถูกกล่าวหาทุจริตต่อหน้าที่ เมื่อ ปปช.ชี้มูลความผิดก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่แล้วไม่ต้องรอจนศาลวินิจฉัยด้วยซ้ำ

แม้ว่ากฏหมายจะไม่ได้ครอบคลุมถึงเอกชนที่กระทำความผิด แต่ก็ต้องคำนึงถึงมาตรฐานจริยธรรมของแต่ละบุคคลและองค์กรที่สังกัด

อดีต สปช.เอ็นจีโอ อีกคนบอกว่า การที่ผู้ประกอบกิจการยังคงให้นักเล่าข่าวคนนีทำหน้าที่ต่อไป นับเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ของธุรกิจสื่อประเทศไทย สถานีโทรทัศน์กำลังท้าทายพลังจริยธรรมคนไทย เท่ากับดูถูกผู้ดูทีวี. เห็นกำไรที่เป็นตัวเงนมีราคามากกว่าตราบาปที่จะติดตรึงองค์กรไปตราบนานเท่านาน

อเรียกร้องให้องค์กรต่อต้านอรัปชั่น, องค์กรและสมาคมสื่อทั้งมวลเอเจนซี่โฆษณา บริษัทที่มีโฆษณา วงการสื่อออนไลน์ รวมทั้งคนไทยที่รักความเป็นธรรม ได้ปฏิบติการแข็งข้อกับสถานีโทรทัศน์ช่องที่ให้นักเล่าข่าวยังทำมาหากินอยู่เพื่อแสดงออกถึงพลังทางจริยธรรมร่วมกัน

วันต่อมารายการนันยังมีตามปกติ  มีอธิบดีกรมสรรพากรไปออกรายการวันรุ่งขึ้นสื่อมวลชน

ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันขรม ร้อนถึงนายกรัฐมนตรีออกมาใก้สัมภาษณ์ว่า ตรวจสอบแล้ว เป็นเทป

ที่เคยออกอากาศไปแล้ว น่าแปลกใจตรงที่สถานีโทรทัศน์นำเทปนี้มาออกอากาศซ้ำเพื่อประโยชน์อะไร

ล่าสุด "นักเล่าข่าว" ไม่อาจทัดทานกระแสสังคมจากทุกทิศทุกทางได้ ประกาศทางเฟบุ๊กว่า

ขอหยุดพักจากหน้าจอตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2559 เพื่อไม่ให้กระทบกับทุกฝ่าย

แม้ว่าเรื่องนี "นักเล่าข่าว" จะยุติบทบาทหน้าจอโทรทัศน์ไปแล้ว   แต่เรื่องราวทั้งหมดคงไม่ได้ยุติไปอย่างง่าย ๆด้วยและเชื่อเถอะว่า"นักเล่าข่าว" คนนี้ ก็หยุดไปชั่วคราวเท่านั้น

ถอยกลับไปเมื่อ ปปช.ชี้มูลความผิดในปี พ.ศ.2555 กระแสสังคมได้เรียกร้องให้หยุดการออกอากาศเพื่อรักษาความเป็นนักสื่อสารมวลชนที่จะต้องมีจริยธรรม จนองค์กรวิชาชีพสื่อได้ออกมาเรียกร้อง แทนที่จะปฏิบัติตามในฐานะที่เป็นสมาชิกอยู่ด้วย เขากลับเลือกวิธีลาออกจากการเป็นสมาชิกและกล้าที่จะสวนกระแสความรู้สึกของสังคมที่คาดหวังว่า บทบาทของสื่อมวลชนที่นำเสนอข้อมูลข่าวสารต่างและเป็นส่วนหนึ่งในการชี้นำสังคม และช่วยกันต่อต้านการประพฤติปฏิบัติที่ผิดทำนองคลองธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อต้านการทุจริตในทุกรูปแบบที่กัดกร่อนสังคมไทยมายาวนาน  แต่เมื่อเขาถูกกล่าวหาว่าทำผิดเสียเองแล้วจะคงอยู่เป็นผู้ชี้นำในการต่อต้านการทุจริตได้อย่างไร

มีการตำหนิ "นักเล่าข่าว" คนดังเป็นระยะๆและหายเงียบไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง จนกระทั่งศาลมีคำพิพากษาออกมา

คาดได้ว่า "นักเล่าข่าว"คนนี้  คงจะทู่ซี้ต่อไปอีกนานนับเดือน ด้วยเหตุผลสำคัญว่า หากเขาหยุดดำเนินรายการตามกระแสที่พัดมารุนแรง หยุดแล้วก็คงได้หยุดเลย คงไม่มีโอกาสอีกแล้วที่จะผงาดในท่ามกลางความรู้สึกที่รังเกียจของประชาชน

ประการต่อไป เขาคงเสียดายอย่างมากกับธุรกิจที่ทำกำไรมหาศาลตลอดระยะนับ 10 ปีทีผ่านมา หากหยุดกลางคันแม้ว่าจะให้ผู้อื่นดำเนินรายการแทน ความมั่นใจตัวเองก็คงมีความเชื่อว่าม่อาจที่จะทำรายได้มากมายเช่นเขาได้

ประการสำคัญ "นักเล่าข่าว" คนนี้ เชื่อว่าสถานีโทรทัศน์ช่องนี้ไม่กล้าที่จะถอดรายการเงินรายการทองหรือผลักเขาออกไปจากอ้อมกอดได้ เหมือนอย่างที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้แล้ว

สถานีโทรทัศน์ ช่องนี ยอมให้สื่อทุกประเภทโจมตีโดยยืนยันว่าในเมื่อคดียังไม่สิ้นสุดจะไปตัดสินให้เขาหยุดการทำรายการได้อย่างไร

หาก "นักเล่าข่าว"ที่ทุจริตคิดมิชอบเพื่อหวังประโยชน์อันมหาศาลคนนี้จะได้สำนึกเสียแต่แรกเมื่อมีคำพิพากษา แม้จะถูกตำหนิติติงก็เป็นเรื่องที่พอจะรับได้ในความรู้สึกของผู้คน

การที่ยังดันทุรังจัดรายการต่อไปโดยไม่สนใจต่อความรู้สึกนึกคิดของกลุ่มคน,องค์กรสื่อ,ที่ออกมารุมวิจารณ์อย่างรุนแรงนั้น ขาดไร้ซึ่งจริยธรรม,ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม,ไม่มีความรู้สึกชั่วดี แยกแยะไม่ได้ถึงความถูกผิด

เขาดีดตัวเองออกไปจากจอโทรทัศน์ ก็เพราะจำนนที่ทุกสารทิศรุมประณาม  และหากว่าจะให้เวลาเนิ่นนานไปกว่านี้ความเสียหายจะเกิดมากกว่านี้ โดยเฉพาะกับสถานีทีวี.ช่องที่เขาสังกัด

ประชาชนเห็นภาพชัดเจนมาก่อนหน้านี้แล้วว่า สถานีโทรทัศน์ที่รองรับรายการของ"นักเล่าข่าว" คนนี้  ไม่ได้มีความรับผิดชอบต่อสังคมเหมือนอย่างที่เคยประกาศไว้ พยายามหาเหตุผลมาบดบังซึ่งใครก็รู้ว่า อิทธิพลของผลประโยชน์นั่นมากมายกว่าการประกอบกิจการด้านสื่อสารมวลชนที่มีธรรมาภิบาลและรับผิดชอบต่อสังคม

คนไทยยกย่องกันมาตลอดว่า"สื่อมวลชน"เป็นฐานันดร 4 นอกจากจะให้ความรอบรู้ในข่าวสารการบ้านการเมืองประเทืองปัญญา ช่วยเป็นสื่อนำทางเป็นกระจกให้ผูบริหารบ้านเมองพัฒนาประเทศให้คนในชาตได้อยู่กันอย่างสงบสุขแล้ว  ยังคงเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม,จริยธรรม ตามสมควรแก่กรณี 

นักสื่อสารมวลชนที่เห็นแก่อามิส หรือจงใจกระทำความผิดทุจริตคิดมิชอบ อย่าง"นักเล่าข่าว"คนนี้ จะมีโอกากลับเข้ามาอยู่ในวงการสื่อมวลชนได้อีกหรือ ?

ที่มา thaitribune




Create Date : 06 มีนาคม 2559
Last Update : 6 มีนาคม 2559 11:16:10 น. 0 comments
Counter : 237 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.