กรมวิทยาศาสตร์บริการ เปิดสมัครสอบเข้ารับราชการ 6 อัตรา รับสมัครวันที่ 11 - 31 มีนาคม 2559

กรมวิทยาศาสตร์บริการเปิดรับสมัครสอบเพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ จำนวน 6 อัตรา 4 ตำแหน่ง รับสมัครด้วยตนเอง ตั้งแต่วันที่ 11 - 31 มีนาคม 2559 อัตราเงินเดือน 17,500-19,250 บาท

 

ประกาศกรมวิทยาศาสตร์บริการ เรื่อง รับสมัครคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ

ตำแหน่งที่เปิดรับสมัครสอบ
1. ตำแหน่ง นักวิทยาศาสตร์ปฏิบัติการ (ด้านเคมีวิเคราะห์)
อัตราเงินเดือน 17,500-19,250 บาท
จำนวนตำแหน่งว่าง 3 อัตรา
คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง : ได้รับปริญญาโท สาขาวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ ทางเคมีวิเคราะห์

2. ตำแหน่ง นักวิทยาศาสตร์ปฏิบัติการ (ด้านจุลชีววิทยา)
อัตราเงินเดือน 17,500-19,250 บาท
จำนวนตำแหน่งว่าง 1 อัตรา
คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง : ได้รับปริญญาโทสาขาวิชาใดสาขาวิชาหนึ่ง ทางจุลชีววิทยา

3. ตำแหน่ง นักวิทยาศาสตร์ปฏิบัติการ (ด้านวัสดุศาสตร์)
อัตราเงินเดือน 17,500-19,250 บาท
จำนวนตำแหน่งว่าง 1 อัตรา
คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง : ได้รับปริญญาโท สาขาวิชาใดวิชาหนึ่ง ทางวัสดุศาสตร์

4. ตำแหน่ง นักวิทยาศาสตร์ปฏิบัติการ (ด้านฟิสิกส์)
อัตราเงินเดือน 17,500-19,250 บาท
จำนวนตำแหน่งว่าง 1 อัตรา
คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง : ได้รับปริญญาโท สาขาวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ ทางฟิสิกส์

การรับสมัครสอบ
ให้ ผู้ประสงค์จะสมัครสอบขอและยื่นใบสมัครด้วยตนเองได้ที่ กรมวิทยาศาสตร์บริการ อาคารสำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น 1 ถนนพระราม 6 เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 11 - 31 มีนาคม 2559 ในวันและเวลาราชการ

รายละเอียดเพิ่มเติม

//www.ประกาศผลสอบ.com/pdf/082557/1457311366.pdf

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 11 มีนาคม 2559    
Last Update : 11 มีนาคม 2559 13:15:48 น.
Counter : 287 Pageviews.  

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดรับสมัครสอบเป็นพนักงานราชการ 7 อัตรา รับสมัครวันที่ 10 - 16 มีนาคม 2559

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เปิดรับสมัครสอบเพื่อเลือกสรรเป็นพนักงานราชการ จำนวน 7 อัตรา 4 ตำแหน่ง รับสมัครทางอินเทอร์เน็ต ตั้งแต่วันที่ 10 - 16 มีนาคม 2559 อัตราเงินเดือน 18,000-19,500 บาท

 

ประกาศกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เรื่อง รับสมัครบุคคลเพื่อเลือกสรรเป็นพนักงานราชการทั่วไป

ตำแหน่งที่เปิดรับสมัครสอบ
1. ตำแหน่ง นักวิชาการเงินและบัญชี
อัตราเงินเดือน 18,000 บาท
จำนวนตำแหน่งว่าง 3 อัตรา
คุณสมบัติ เฉพาะสำหรับตำแหน่ง : ได้รับปริญญาตรีหรือคุณวุฒิอย่างอื่นที่เทียบได้ในระดับเดียวกัน ในสาขาวิชาการบัญชี หรือสาขาวิชาบริหารธุรกิจ ทางการเงิน

2. ตำแหน่ง นักฟิสิกส์รังสี
อัตราเงินเดือน 19,500 บาท
จำนวนตำแหน่งว่าง 2 อัตรา
คุณสมบัติ เฉพาะสำหรับตำแหน่ง : ได้รับปริญญาตรีหรือคุณวุฒิอย่างอื่นที่เทียบได้ในระดับเดียวกัน ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพทางฟิสิกส์ และสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทางรังสีเทคนิค

3. ตำแหน่ง นักวิทยาศาสตร์การแพทย์
อัตราเงินเดือน 18,000 บาท
จำนวนตำแหน่งว่าง 1 อัตรา
คุณสมบัติ เฉพาะสำหรับตำแหน่ง : ได้รับปริญญาตรีหรือคุณวุฒิอย่างอื่นที่เทียบได้ในระดับเดียวกัน ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพทางจุลชีววิทยา

4. ตำแหน่ง นักเทคนิคการแพทย์
อัตราเงินเดือน 19,500 บาท
จำนวนตำแหน่งว่าง 1 อัตรา
คุณสมบัติ เฉพาะสำหรับตำแหน่ง : ได้รับปริญญาตรีหรือคุณวุฒิอย่างอื่นที่เทียบได้ในระดับเดียวกัน ในสาขาวิชาเทคนิคการแพทย์ และได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาเทคนิคการแพทย์ หรือได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเทคนิคการแพทย์ของสภาเทคนิคการแพทย์

การรับสมัครสอบ
ผู้ ประสงค์จะสมัครสอบ สามารถสมัครได้ทางอินเทอร์เน็ต ตั้งแต่วันที่ 10 - 16 มีนาคม 2559 ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ ที่เว็บไซต์ //www.dmsc.moph.go.th/ หัวข้อ "รับสมัครบุคคลเพื่อเลือกสรรเป็นพนักงานราชการทั่วไป"

รายละเอียดเพิ่มเติม

//www.ประกาศผลสอบ.com/pdf/082557/1457074454.pdf

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 11 มีนาคม 2559    
Last Update : 11 มีนาคม 2559 12:13:10 น.
Counter : 278 Pageviews.  

ธาริตโวยป.ป.ช.ยึดทรัพย์ 346 ล้านชี้คำนวณเงินไม่เป็นธรรมตั้ง 3 คำถามและตั้งทนายสู้คดี

ธาริต เพ็งดิษฐ์ ส่งจดหมายถามป.ป.ช.คำนวณเงินไม่เป็นธรรมตั้ง 3 คำถามคำนวณทรัพย์สินเป็นไปตามหลักการทางบัญชีที่คนปกติใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวันหรือไม่ การปฏิบัติต่อตนเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ และได้ปฏิบัติกับตนเท่าเทียมกับปฏิบัติต่อบุคคลอื่นๆหรือไม่ เตรียมตั้งทนายต่อสู้ ชี้หากศาลตัดสินไม่ผิด ป.ป.ช.จะรับผิดชอบอย่างไร

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2559 มีรายงานว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ส่งจดหมายออนไลน์ชี้เเจงต่อสื่อมวลชนหลังถูก ป.ป.ช.ชี้มูลว่าร่ำรวยผิดปกติ เเละให้นายกรัฐมนตรีสอบวินัยว่า “ข้าพเจ้าขอแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนดังต่อไปนี้

ข้อ 1. อนุกรรมการไต่สวนฯ ได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อข้าพเจ้าถึง 2 ครั้ง ทั้งนี้ อนุกรรมการได้นำเอาเงินฝากหมุนเวียน ผ่านบัญชีของข้าพเจ้าและภรรยา ที่เปิดไว้กับธนาคารต่างๆ ซึ่งเป็นการฝากและใช้จ่ายตามปกติทุกรายการที่ปรากฏในบัญชีธนาคาร ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าดำรงตาแหน่งอธิบดีฯ (พ.ศ. 2552-2557) และย้อนหลังไปก่อนดำรงตำแหน่งหลายปีบวกทบๆ กัน โดยไม่ได้พิจารณาว่าเป็นเงินทุนหมุนเวียนและเป็นการคิดคำนวณที่ไม่เป็นตามหลักบัญชี รวมทั้งทรัพย์สินอื่นมาบวกรวมกันให้เห็นว่า ข้าพเจ้ามีทรัพย์สินที่มากเกินความเป็นจริง แล้วกล่าวหา ข้าพเจ้าว่าร่ำรวยผิดปกติ

ทั้งทรัพย์สินส่วนใหญ่ก็ไม่มีอยู่จริงและทุกรายการก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า การมีหรือได้มาทรัพย์สินตามที่กล่าวหานั้น เป็นการไม่ชอบหรือไม่มีเหตุอันควรหรือมีพฤติการณ์ ที่ร่ารวยผิดปกติอย่างไร

ยกตัวอย่างเช่น บัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง ภรรยาของข้าพเจ้าใช้ฝากเงินเพื่อหมุนเวียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 6 ล้านบาท ตลอดเวลา 5 ปี ที่ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่ง ย่อมมีการถอนออกแล้วฝากเข้าเป็นปกติของการซื้อขายหุ้น แต่อนุกรรมการ ป.ป.ช.ใช้วิธีนำเอาเฉพาะรายการฝากทุกๆครั้งบวกทบๆ กัน จึงทให้ยอดบัญชีสูงถึง 86 ล้านบาท ทั้งที่ตัวเงินจริงมีเพียง 6 ล้านบาทที่หมุนเวียน เป็นต้น

การกล่าวหาว่าข้าพเจ้าร่ำรวยผิดปกติ จึงมีความคลุมเครือไม่ชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้เข้าใจข้อกล่าวหาได้ดี และไม่อยู่ในวิสัยที่วิญญูชนจะสามารถจดจำนำหลักฐานมาชี้แจงข้อกล่าวหาได้ ซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยระเบียบตามข้อ 37 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 47 และมาตรา 125”

ประการสำคัญ อนุกรรมการ ป.ป.ช.ใช้วิธีคิดคำนวณรายได้จากเงินเดือน และค่าตอบแทนเฉพาะการรับราชการของข้าพเจ้าและภรรยาเท่านั้น ไม่ได้ตรวจสอบถึงรายได้จากการทำธุรกิจ เช่น การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ การซื้อขายที่ดิน และการลงทุนในทรัพย์สินอื่นๆ เช่น ทองคำ และอัญมณี ซึ่งในปัจจุบันการมีรายได้จากธุรกิจต่างๆของข้าราชการเป็นเรื่องปกติ ที่กระทำได้โดยชอบ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีพยานหลักฐานหรือพฤติการณ์ใดๆเลยที่แสดงว่า ข้าพเจ้า มีทรัพย์สินเหล่านั้นหรือได้มาจากการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบหรือโดยไม่ถูกต้อง

ข้อ 2. ข้าพเจ้าขอตั้งคำถามต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ดังต่อไปนี้ (1) วิธีคิดคำนวณทรัพย์สินของข้าพเจ้าเป็นไปตามหลักการทางบัญชีที่คนปกติเขาใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวันหรือไม่ (2) การปฏิบัติต่อข้าพเจ้าเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ (3) ได้ปฏิบัติต่อข้าพเจ้าเท่าเทียมกับปฏิบัติต่อบุคคลอื่นๆ หรือไม่

ข้อ 3. ข้าพเจ้าจะได้แต่งตั้งทนายความขึ้นต่อสู้ในชั้นศาลยุติธรรมต่อไป และหากในที่สุดศาลตัดสินว่า ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำผิดตามที่ ป.ป.ช.มีมติแล้ว ถึงตอนนั้น ป.ป.ช.จะรับผิดชอบต่อความไม่เป็นธรรมที่ได้กระทำกับข้าพเจ้าหรือไม่ อย่างไร”

ทั้งนี้นายธาริตถูกชี้มูลว่ามีความร่ำรวยผิดปกติดโยป.ป.ช.เสนอเรื่องไปยังำสนักงานอัยการสูงสุดเพื่อให้ฟ้องริบทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดินจำนวน 346 ล้านบาท

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 11 มีนาคม 2559    
Last Update : 11 มีนาคม 2559 11:14:29 น.
Counter : 258 Pageviews.  

สิ่งดีๆจากคดี “สรยุทธ” โดย สุนันท์ ศรีจันทรา

สุนันท์ ศรีจันทรา เขียนไว้ในนสพ. ASTV ผู้จัดการ คอลัมน์ “จันทราท่าพระอาทิตย์”วันที่ 9 มีนาคม 2559 โดยชี้ว่าคดีสรยุทธ สุทัศนะจินดา ฉ้อโกงโฆษณา อสมท.และถูกศาลสั่งจำคุก 13 ปี 4 เดือนนั้นเขาได้แบ่งคนออกเป็นกลุ่มเทพกับกลุ่มมาร ทำให้เห็นว่าพลังทางสังคมออกมากดดันอย่างได้ผล ประชาชนที่ไม่เอากับการทุจริตลุกขึ้นมาเอง ส่วนคนที่ออกมาสนับสนุนสรยุทธ เป็นกลุ่มคนที่มีต้นทุนทางสังคมต่ำ มาตรฐานทางจริยธรรมต่ำ และเป็นคนหน้าเดิมๆ ที่เคย เคลื่อนไหวปกป้องนายทักษิณ ชินวัตร ดังนี้......

 

การขับเคลื่อนกดดันนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา จบลงแล้ว หลังการประกาศยุติบทบาทผู้ดำเนินรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้”ทางช่อง 3 เหลือไว้แต่บทโต้แย้งทางด้านจริยธรรม ระหว่างกลุ่มคนที่มีต้นทุนทางสังคมต่ำกับภาคประชาสังคมที่ออกมารณรงค์ต่อต้านคนโกงเท่านั้น

ข้อเรียกร้องให้นายสรยุทธ ยุติบทบาทการทำหน้าที่สื่อ เมื่อถูกศาลตัดสินจำคุก 13 ปี 4 เดือน คดีทุจริตค่าโฆษณา อสมท นำไปสู่การโต้แย้งในวงกว้าง เพราะมีทั้งฝ่ายที่กดดันให้นายสรยุทธหยุดทำหน้าที่สื่อและฝ่ายที่สนับสนุนให้สรยุทธจ้อข่าวหน้าจอต่อไป

คดีนายสรยุทธแบ่งทัศนะผู้คนออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งเป็นเทพ เพราะชูความเป็นคุณธรรม ยึดมั่นบรรทัดฐานด้านจริยธรรม ส่วนอีกฝ่ายเข้าข่ายเป็นมาร เพราะพยายามปกป้องยกย่องคนโกง

กลุ่มคนที่ออกมาตะโกนโหวกเหวก แสดงทัศนะเหมือนคนด้อยปัญญา ประกาศตัวสนับสนุนให้นายสรยุทธดำเนินรายการต่อไป โดยอ้างว่า คดียังไม่สิ้นสุด เพราะเพิ่งมีคำตัดสินของศาลชั้นต้นเท่านั้น ยังต้องอุทธรณ์ฎีกาต่อไป จึงถือว่านายสรยุทธเป็นผู้บริสุทธิ์

บางคนอ้างว่า นายสรยุทธไม่ผิด เพราะคืนเงินให้ อสมท แล้ว บางคนความคิดบ้าสุดโต่ง ด่ากราดไปทั่ว กล่าวหาว่า การดำเนินคดีนายสรุยทธ มีเป้าหมายทำลายคนเก่งและคนรวย แถมยังถือว่า เงินค่าโฆษณาของ อสมท 138 ล้านบาทที่นายสรยุทธโกงไป เป็นความชอบธรรมอีกต่างหาก

กลุ่มคนที่โหนกระแสเชียร์นายสรยุทธ เป็นคนมีชื่อเสียง มีการศึกษา มีความรู้ บางคนเป็นถึงครูบาอาจารย์ บางคนเป็นนักวิชาการ บางคนเป็นสื่อ แต่ภาพโดยรวมคือกลุ่มคนที่มีต้นทุนทางสังคมต่ำ มาตรฐานทางจริยธรรมต่ำ และเป็นคนหน้าเดิมๆ ที่เคยเคลื่อนไหวปกป้องนายทักษิณ ชินวัตร

เป็นพวกที่ต่อต้านหลักคุณธรรม มักแสดงทัศนะเชิงลบกับความดีงาม มีพฤติกรรมทำลายคนดี และปกป้องคนโกง

การออกมาแก้ต่างแทนนายสรยุทธ อาจเป็นยุทธศาสตร์ในการชักนำให้สังคมเปลี่ยนค่านิยมหันไปชื่นชมคนโกง เพื่อปูทางการลบล้างมลทินให้ “ทักษิณ” ก็ได้

เพราะพฤติกรรมของนายสรยุทธไม่ได้แตกต่างจาก “ทักษิณ” เท่าไหร่นัก ถ้าบิดเบือนหลักคุณธรรมได้ ถ้าทำลายบรรทัดฐานด้านจริยธรรมลง เปลี่ยนผิดให้เป็นถูก สร้างลัทธิบูชาคนเก่ง โดยไม่ต้องคำนึงว่า เป็นคนโกง และช่วยให้นายสรยุทธพ้นจากบทลงโทษทางสังคมได้ การฟอกตัว “ทักษิณ” จะง่ายขึ้น โดยยกกรณีนายสรยุทธเป็นบรรทัดฐาน

แต่การเป็นกลุ่มคนที่มีต้นทุนทางสังคมต่ำ ความพยายามช่วยนายสรยุทธ จึงล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะสังคมไม่ได้ให้ความสำคัญกับแนวคิดที่วิปริตของคนกลุ่มนี้

การรวมตัวของกลุ่มคนที่มีสำนึกด้านจริยธรรมต่ำ ซึ่งประสานเสียงตะแบงความผิดของนายสรยุทธ เป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่า สาวกที่ภักดี “ทักษิณ” พร้อมฉกฉวยโอกาส จุดชนวนความแตกแยกในสังคม พร้อมชักนำประชาชนไปสู่ลัทธิความเชื่อผิดๆ โดยการยกย่องบูชาคนโกง

คดีนายสรยุทธไม่ได้ก่อให้เกิดทัศนคติอันอุบาทว์ของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่ยังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ของการขับเคลื่อนอย่างมีเอกภาพจากภาคประชาสังคม ในการต่อต้านการทุจริตด้วย

และการขับเคลื่อนภาคประชาสังคม มีส่วนสำคัญที่กดดันให้นายสรยุทธถอดใจ หยุดทำหน้าที่เล่าข่าว มีส่วนทำให้ช่อง3 เลิกดื้อรั้น หยุดดันทุรัง เพราะทนบทลงโทษทางสังคมไม่ไหว

ปัญหาด้านจริยธรรมของนายสรยุทธ ปลุกประชาชนทุกภาคส่วนลุกฮือขึ้นมาครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

การบีบให้นายสรุยทธและช่อง 3 ต้องถอยร่น ถือเป็นชัยชนะของประชาชนที่ตระหนักถึงบรรทัดฐานด้านจริยธรรม และร่วมกันรณรงค์เคลื่อนไหวใช้มาตรการต่อต้านทางสังคม

ประชาชนตื่นแล้ว พร้อมลุกฮือขึ้นมาต่อต้านการทุจริตและคนโกง โดยสรยุทธและช่อง 3 ถูกสังเวยเป็นกรณีตัวอย่างเท่านั้น เพราะการขับเคลื่อนทางสังคมเพื่อกำจัดคนโกงเพิ่งก้าวจากจุดเริ่มต้นเท่านั้น

ไม่ต้องรอความหวังจากรัฐบาลใดปราบการทุจริตแล้ว ไม่ต้องรอผู้มีอำนาจคนใดมาจัดการคนโกง เพราะถ้ารอ ชาติหน้าปัญหาทุจริตก็คงยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่ถ้าประชาชนทุกภาคส่วนลุกฮือขึ้นมาใช้บทลงโทษทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นใคร ยิ่งใหญ่แค่ไหน เมื่อโกง เมื่อก่อพฤติกรรมชั่ว แผ่นดินไทยจะไม่มีที่ให้ยืน

ความหวังในการสร้างสังคมที่ปลอดการทุจริตเริ่มเห็นรำไรแล้ว เพราะทุกภาคส่วนทางสังคม ร่วมกันสร้างบทลงโทษคนโกง และพร้อมลุกฮือขึ้นแสดงพลังต่อต้าน

ยังมีคนโกงที่เข้าคิวรอรับบทลงโทษจากสังคมอีกมากมาย เฉพาะคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ก็มีคนโกงไม่รู้เท่าไหร่

และถ้าประเมินจากบรรทัดฐานคดี “สรยุทธ” ท่ามกลางกระแสสังคมที่ตื่นตัวต่อต้านการทุจริตอย่างเข้มข้น คนโกงคดีจำนำข้าวควรทำใจไว้ เพราะงานนี้คงจะรอดยาก

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 11 มีนาคม 2559    
Last Update : 11 มีนาคม 2559 10:43:12 น.
Counter : 255 Pageviews.  

นักวิชาการ TDRI เเนะรัฐควรจะลดขั้นตอน MOU เพื่อนำเข้าเเรงงานต่างด้าวง่ายขึ้น

นักวิชาการชี้ความต้องการเเรงงานต่างด้าวเเนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง เเนะภาครัฐวางกฎเกณฑ์ให้ชัด จดทะเบียนตามกฎหมายต้องปรับปรุงขั้นตอนตามเอ็มโอยูให้ยุ่งน้อยลง เลิกกังวลชาวพม่าหนีกลับประเทศ ตราบใดค่าจ้างยังต่ำ

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2559 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัดประชุมนำเสนอผลงานโครงการศึกษาแนวโน้มแรงงานต่างด้าวในประเทศไทยและผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวของประเทศไทย ณ โรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ

ดร.ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร นักวิชาการ มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เปิดเผยภายหลังจากการนำเสนอผลการศึกษา แนวโน้ม ความต้องการ และผลกระทบจากแรงงานต่างด้าว ถึงปัญหาว่า ความต้องการแรงงงานต่างด้าวของไทยขึ้นอยู่กับปัจจัยเชิงนโยบายเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น การเปิดจดทะเบียนแรงงานทำให้จำนวนแรงงานต่างด้าวในปีนั้น ๆ เพิ่มขึ้น หรือบางปีจำนวนแรงงานต่างด้าวลดลง เนื่องจากไม่ได้ต่ออายุใบอนุญาต ส่งผลให้จำนวนผู้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายผันผวน

อย่างไรก็ตาม ในอนาคตจำนวนแรงงานต่างด้าวที่ต้องการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะเริ่มอืด เพราะอุตสาหกรรมปรับตัว เบื่อหน่ายกับการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในประเทศ จึงย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งประมาณการณ์ตัวเลขคาดว่าจะมีผู้จดทะเบียนถูกกฎหมายประมาณ 4 ล้านคน ในปี 2563 ส่วนผู้ไม่จดทะเบียนจะมีจำนวนขึ้นลงตามสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ หากเมื่อใดที่เศรษฐกิจในประเทศไทยดีขึ้นจะมีการเข้ามาเพิ่ม

นักวิชาการ กล่าวต่อว่า แนวโน้มแรงงานต่างด้าวในประเทศจะมีจำนวนมากขึ้นหรือน้อยลง จึงขึ้นอยู่กับการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการพิสูจน์สัญชาติล่าช้า ทำให้หลายคนยังอยู่ในประเทศต่อไป จึงเสนอให้รัฐบาลเร่งสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ ปรับปรุงขั้นตอนเอ็มโอยูให้มีความยุ่งยากน้อยลง ลดค่าใช้จ่ายตามกระบวนการเอ็มโอยูให้เหมาะสมกับรายได้ของแรงงาน ขยายหรือกำหนดระยะเวลาของการจดทะเบียนให้สอดคล้องกับลักษณะงาน หรือการอนุญาตขอเปลี่ยนนายจ้างด้วยเหตุผลที่ชอบด้วยกฎหมายได้

ส่วนประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ส่งผลให้แรงงานเชื้อชาติพม่ากลับประเทศ กระทบตลาดแรงงานไทย ดร.ณัฐนันท์ระบุว่า แรงงานหลายคนอยากกลับพม่า แต่ไม่ง่ายนัก ถามว่าอีก 5 ปี พม่าจะมีการพัฒนาไปข้างหน้ามากขนาดไหน ตราบใดที่ค่าจ้างแรงงานยังต่ำอยู่ก็จะเข้ามาในประเทศไทย แต่หากค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำแตะประมาณ 200 บาทขึ้นไป มีโอกาสกลับประเทศสูง เรื่องเหล่านี้ผู้ประกอบการไทยทราบ จึงย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

“ประชากรวัยแรงงานเริ่มขาดแคลน โดยจำนวนประชากรวัยแรงงานของไทยเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.3 และประชากรกลุ่มอายุต่ำกว่า 15 ปี ลดลงถึงร้อยละ 18 ส่วนกำลังแรงงานไทยช่วงอายุ 15-30 ปี ลดลงร้อยละ 11” นักวิชาการ กล่าว และว่า ขณะที่กำลังแรงงานต่างด้าวมีจำนวนเพิ่มขึ้น 3 เท่า และแรงงานไทยยังเป็นแรงงานสูงอายุมากขึ้น เฉลี่ย 51-60 ปี เพิ่มขึ้นร้อยละ 40

ดร.ณัฐนันท์ ยังกล่าวว่า เมื่อกำลังแรงงานไทยลดลง กำลังแรงงานต่างด้าวทดแทน ปัญหา คือ หากยังมีการบริหารจัดการรูปแบบเดิม จะไม่ทราบจำนวนแรงงานต่างด้าวในประเทศที่แน่นอน มีบางรายขึ้นทะเบียนแรงงานภาคเกษตรกรรม แต่กลับไปรับใช้ในบ้าน ฉะนั้นทำอย่างไรให้คนอยู่บนดินประมาณ 3 ล้านคน อยู่ต่อไป คนอยู่ใต้ดินประมาณ 2 ล้านคน ขึ้นมาอยู่บนดิน ผ่านนโยบายที่แน่นอน

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 10 มีนาคม 2559    
Last Update : 10 มีนาคม 2559 13:41:00 น.
Counter : 219 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.