นายกฯ ประยุทธ์ ปลื้ม IMF ประเมินเศรษฐกิจไทยบวก เติบโต 3% สั่งเดินหน้าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายกฯ ปลื้ม IMF ประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยปี 59 เติบโต 3% สอดคล้องผลการคาดการณ์ของหน่วยงานภายในประเทศ ชี้ยอดส่งออกสองเดือนแรกเป็นบวกช่วยหนุนความมั่นใจเศรษฐกิจภาพรวม สั่งเดินหน้าทุกโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ สินค้าในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรมีการขยายตัวสูงสุด

 

       พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ได้ออกรายงานผลการประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยประจำปี 2559 ว่าจะขยายตัวร้อยละ 3 และจะขยายตัวต่อเนื่องในปี 2560 ที่ร้อยละ 3.2 เนื่องจากความเชื่อมั่นในด้านการค้าการลงทุนปรับตัวดีขึ้น และนโยบายการลงทุนของภาครัฐที่ผลักดันให้เกิดแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้รับทราบรายงานดังกล่าวแล้ว และรู้สึกยินดีที่ IMF มีมุมมองที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของหน่วยงานภายในประเทศหลายแห่ง อาทิ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ร้อยละ 2.8-3.5 ขณะที่ธนาคารแห่งประทศไทยคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.1

       ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งการก่อนเดินทางไปร่วมประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ครั้งที่ 4 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ว่าให้ทุกหน่วยงานเดินหน้าทุกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการลงทุนภาครัฐ การสานความสัมพันธ์คู่ค้าหาตลาดใหม่เพื่อการส่งออก การสนับสนุนเงินทุนและการปรับปรุงนวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ SME รวมถึงนโยบายกองทุนชุมชน และการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ โดยทุกโครงการต้องมีความคืบหน้าในระยะเวลาที่วางไว้ หากโครงการใดจำต้องคลาดเคลื่อนออกไปจากแผนดำเนินการ ผู้รับผิดชอบต้องมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล ขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างดีที่สุดเพื่อประเทศไทยของทุกคน 

       พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า นายกฯ ฝากให้กำลังใจทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และเอกชนที่ทำงานอย่างหนักจนทำให้ตัวเลขการส่งออกไทยในช่วง 2 เดือนแรกของปีเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดหวังว่าตัวเลขการค้าของไทยจะสดใสตลอดทั้งปีแม้เศรษฐกิจโลกในภาพรวมจะมีแนวโน้มชะลอตัว แต่เศรษฐกิจไทยยังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและเชื่อมั่นว่าจะขยายตัวต่อไป ซึ่งจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ช่วยหนุนให้เกิดความมั่นใจได้ว่า เศรษฐกิจไทยในภาพรวมจะเติบโตไม่น้อยกว่า ร้อยละ 3 ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ ทั้งนี้ ท่านนายกฯ รู้สึกปลื้มใจเป็นพิเศษที่สินค้าในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเป็นกลุ่มที่มีการขยายตัวสูงสุดเพราะเกี่ยวเนื่องและส่งผลประโยชน์ถึงพี่น้องเกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศด้วย

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 31 มีนาคม 2559    
Last Update : 31 มีนาคม 2559 14:52:48 น.
Counter : 416 Pageviews.  

จวนตัวก็ร้องว่า...'อาตมาไม่รู้นี่' โดย เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน เขียนไว้ในนส.ไทยโพสต์ฉบับวันที่ 31 มีนาคม 2559 เมื่อรถเบนซ์เป็นรถเถื่อนจวนตัวก็บอกว่ามีคนถวายก็รับไว้ กรณียักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น ครั้นจนมุมก็บอกเมื่อมีคนบริจาคก็รับไว้ เปลวเชื่อว่าหมายเรียกธัมมชโยไปพบ DSI วันที่ 8 เมษายนนี้ธัมมชโยไม่ไปพบเพราะมีเวลา ชิตัง เม...คุก, ชิตัง เม...คุก อีก 2 นัด ก่อนจะถึง“หมายจับ”การรับเช็คที่เป็นตัวแทนของเงินทำให้ธัมมชโยอาบัติปาราชิกพ้นจากความเป็นภิกขุแล้ว ดังนั้น “รายการนี้ท่านรัฐมนตรีไพบูลย์และดีเอสไอจัดเต็มไปเลยครับ! ดังนี้......

"อาจารย์ฉันใด ศิษย์ก็ฉันนั้น" จริงๆ!

กรณีเบนซ์เถื่อน เมื่อจวนตัว-จนแต้ม อาจารย์ก็ปฏิเสธว่า...ไม่รู้ว่าเถื่อน เขาเอามาถวายก็รับไว้

กรณีเงินยักยอก "สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น" ก็เหมือนกัน

เช็คหลักฐานเช็คยัน ฝ่ายศิษย์ก็ปฏิเสธว่า ไม่รู้ว่ายักยอกมา...เขาบริจาคก็รับไว้!

ช่างสมกันแท้!

เห็น "หมายเรียกผู้ต้องหา" ของ DSI ลงวันที่ ๒๙ มี.ค.๕๙ ที่มีไปถึง "ผู้ต้องหา" นามว่า พระเทพญาณมหามุนี (พระไชยบูลย์ สุทธิผล) กันแล้วใช่มั้ย?

ในหมายระบุ...ด้วยเหตุที่ท่านต้องหาว่า

"กระทำความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร"

ดูให้ดีนะ เป็นความผิด ๓ ฐาน คือฐานสมคบฟอก, ฐานร่วมกันฟอก และฐานร่วมกันรับของโจร

คือ DSI ตรวจสอบเส้นทางการเงินจากเช็ค ๘๗๘ ฉบับ ที่ "นายศุภชัย ศรีศุภอักษร" สั่งจ่าย เป็นเช็คระบุว่า

“บริจาค” ไปยังวัดพระธรรมกาย พระลูกวัด พันกว่าล้าน เข้าบัญชีธัมมชโย ๘๐๐ กว่าล้าน รวมแล้วประมาณ ๒,๐๐๐ ล้าน

แบบนี้ ธัมมชโยจะแก้ตัวอย่างไร ๘ เม.ย.ก็ไปแก้กับ "พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล" ที่ดีเอสไอ

เรื่องเงิน เป็นเช็ค เหมือน "ลายแทง" แจ้งถึง ที่มา-ที่ไป-ที่ให้-ที่รับ ดิ้นได้... แต่ดิ้นแบบ "ดิ้นกระแด่วๆ"

ฉะนั้น พนันมื้อเพลกันคนละมื้อ วันที่ ๘ เมษา ธัมมชโยจะยังไม่ไปตามนัด

ถ้าไป ก็ต้องถูกคุมตัว ถึงจะประกันได้ ก็เหงื่อแตกล้น "ชาร์ม" ที่อุตส่าห์ไปสลักเสลากระบาลให้เหมือนพระพุทธรูป

มีเวลา ชิตัง เม...คุก, ชิตัง เม...คุก อีก ๒ นัด ถ้านัดที่ ๓ ไม่ไปพบพนักงานสอบสวน ตานี้แหละ

"หมายเรียก" เปลี่ยนเป็น "หมายจับ" ทันที!

นอกจากธัมมชโย ยังมีอีกคน ที่ถูกหมายเรียกในฐานะผู้ต้องหาด้วย คือ "น.ส.ศศิธร โชคประสิทธิ์"

รายนี้ มีชื่อปรากฏสลักหลังเช็คกว่า ๑๐๐ ล้าน ที่โอนให้ธัมมชโย เลยถูกข้อหา "ช่วยปกปิดซ่อนเร้นอำพราง"

คดีนี้ สมาชิกสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น "นายธรรมนูญ อัตโชติ" เป็นเจ้าภาพ แจ้งความ DSI ไว้

เหตุที่ผมต้องจาระไนซ้ำๆ ซากๆ ก็เพราะ เมื่อวาน (๓๐ มี.ค.) ทางวัดพระธรรมกายเขามีหนังสือชี้แจงต่อสาธารณะ

ถ้าผมไม่เท้าความ บางท่านอ่านคำชี้แจงแล้วอาจ "มาไม่ได้-ไปไม่เป็น"

หนังสือชี้แจงหรือแก้ตัวแทนธัมมชโยมีความว่า.........

"กรณีปรากฏข่าวในสื่อมวลชนบางฉบับ ในวันที่ ๒๙-๓๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๙ ที่มีหมายเรียกโดยระบุชื่อ พระเทพญาณมหามุนี โดยมีผู้กล่าวหา คือนายธรรมนูญ อัตโชติ สมาชิกสหกรณ์ฯ คลองจั่นนั้น

ทางวัดพระธรรมกาย ขอยืนยันในความบริสุทธิ์ของพระเทพญาณมหามุนี และขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และขอชี้แจงว่า

๑.หลวงพ่อธัมมชโย รับบริจาคเหมือนพระสงฆ์ทั่วไป ไม่ทราบถึงที่มาของเงินบริจาค

๒.ปัจจัยที่ได้มานำไปสร้างศาสนสถานตามประกาศไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การบริจาคโดยมีวัตถุประสงค์และการรับบริจาคเป็นนิติกรรมสัญญา ซึ่งมีมูลหนี้ที่มีผลผูกพันตามกฎหมาย

๓.ที่ผ่านมา เพื่อให้ยุติข้อกล่าวหาที่ใส่ร้ายบิดเบือนต่อวัด หลวงพ่อธัมมชโย และพระพุทธศาสนา ทางกลุ่มลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย จึงได้รวมตัวกันลงขันระดมเงิน 'กองทุนเยียวยาช่วยเหลือ' ให้สหกรณ์ ต้องคืนเงินเยียวยากลับให้กลุ่มลูกศิษย์

โดยทางสหกรณ์ได้ทำจดหมายขอบคุณ และมีความเข้าใจอันดีของทุกฝ่าย จึงไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงมีหมายเรียกออกมาในลักษณะนี้

ซึ่งทางวัดจักได้ทำการตรวจสอบข้อแท้จริง และจะแจ้งความคืบหน้าในโอกาสต่อไป"

เนี่ย...ผมก็อยากบอกว่า..........

บริสุทธิ์-ไม่บริสุทธ์ "เป็นเรื่องเฉพาะตัว" ใครทำแทนไม่ได้ ไปพบพนักงานสอบสวน แล้ว "พนักงานสอบสวน-อัยการ-ศาล"

จะบอกเองว่า ธัมมชโย บริสุทธิ์ หรือ ไม่บริสุทธิ์?

อ้าง รับบริจาคเหมือนพระสงฆ์ทั่วไป ไม่ทราบถึงที่มาของเงินบริจาค

หมายความว่า ใครเอาอะไรมาถวาย พระก็หลับหู-หลับตารับตะพึด-ตะพือ อย่างนั้นหรือ?

แล้วที่ว่า "รับบริจาคเหมือนพระสงฆ์ทั่วไป" นั้น สงฆ์ที่ไหนล่ะ ญาติโยมบริจาคทีละตั้งเป็นพันๆ ล้านโดยไม่มีเหตุผลที่รับฟังได้?

อ้าง...เอาไปสร้างศาสนสถานหมดแล้ว.........

การสร้างบังหน้า นั่นเรื่องหนึ่ง การร่วมกันฟอกเงิน รับของโจร นั่นอีกเรื่องหนึ่ง

เรื่องบุญ กับ บาป, นรก กับ สวรรค์ เอามาหักลบกลบกันไม่ได้หรอก ถ้าอ้างบริจาค แล้วไปลงขันคืนเขาทำไมตั้ง ๖๐๐ กว่าล้าน?

มีที่ไหน คนบริจาคแล้วต้องลงขันคืน การคืนก็ต้องเหตุผลเดียว คือยอมรับว่า สมรู้-ร่วมคิด จับได้ จำคืน

การลงขันคืน นั่นไม่ใช่การปลดเปลื้องความผิด

ตรงกันข้าม เท่ากับ "ยอมรับความจริง"....ที่รับมาจากนายศุภชัยนั้น คือเงินโจร มีเจตนาร่วมกันฟอก!

ที่อ้าง คืนแล้ว คดีจบไปแล้ว จะมาอะไรกันอีกนั้น คงนึกว่าจะเหมือนคดียักยอกเงิน-ที่ดินวัดแล้วขยอกคืน เมื่อปี ๔๒ กระมัง?

มันคนละฐานความผิดกัน และอีกอย่าง ที่พ้นคดี เพราะอัยการถูกนักการเมืองยุคทักษิณบีบ ไปขอถอนคดีจากศาลก่อนตัดสินหรอก

ไม่งั้น ธัมมชโยหัวโตไปแล้ว!

แต่กรณีนี้ เป็นข้อหา "ฟอกเงิน-รับของโจร" โทษหนัก ยอมความกันไม่ได้

อีกอย่าง ธัมมชโย ยังทึกทักตนเป็นพระ ก็ต้องทราบ โทษทางโลก กับโทษทางพระวินัย ไม่เหมือนกัน

ทางโลก การยักยอก มีความผิด แต่ยอมความได้ เพราะโทษไม่เกิน ๓ ปี

แต่ทางพระวินัย ไม่มีการยอมความ.......

อาบัติทันทีที่ "จิตคิดถือเอา" จะคืน-ไม่คืน ต้องอาบัติสถานเดียว!

แค่ ๕ มาสก ก็ปาราชิก พ้นจากความเป็นพระแล้ว แต่นี่...เงินเป็นร้อยล้าน-พันล้าน ปาราชิกไปกี่รอบแล้วก็ไม่รู้?

อยู่ได้เพราะ "วัดน้อง" ถวาย "วัดพี่" หนักนั่นแหละ!

ทำชี้แจงดีไปเถอะ จะกลายเป็นหลักฐานให้ "พุทธอิสระ" นำไปยันถึงความเป็นพระของธัมมชโย "สิ้นแล้ว" อีกชิ้นจนได้

ตรงที่บอก "คืนเงินสหกรณ์ฯ" นั่นเท่ากับสารภาพ ธัมมชโยยักยอก-ฟอกทรัพย์-รับของโจร....."จริง"

ก็เสร็จน่ะซี!

ที่อ้างแบบถูไถว่า "ธัมมชโยไม่ทราบที่มาของเงินบริจาค เขาถวายก็รับไว้" นั้น

งั้น...ดีล่ะ ผมจะนำ "หลักเกณฑ์การประเคนของแด่ "พระภิกษุ-วัดพระธรรมกาย" ที่วัดพระธรรมกายเผยแพร่ไว้มาย้อนถาม

วัดพระธรรมกาย ประกาศกฎว่า.........

สิ่งของที่ไม่สมควรประเคนถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ คือ เงิน และวัตถุที่ใช้แทนเงิน เช่น ธนบัตร ไม่สมควรประเคนพระภิกษุสงฆ์โดยตรง ...ฯลฯ...

เช็คเงินสด เป็นวัตถุใช้แทนเงินใช่มั้ย ธัมมชโยและพระวัดธรรมกายรับได้อย่างไร?

ยังมีอีกข้อ ที่วัดพระธรรมกายประกาศเป็นกฎ........

"วัตถุอนามาส" สิ่งของที่พระพุทธองค์ ทรงห้ามพระภิกษุสงฆ์จับต้องเรียกว่า วัตถุอนามาส

มี ๖ ชนิด ห้ามนำมาประเคนถวายพระภิกษุสงฆ์ หนึ่งในนั้น เช่น รัตนะ ๑๐ ประการ

คือ ทอง เงิน แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วประพาฬ ทับทิม บุษราคัม สังข์เลี่ยมทอง ศิลา เช่นหยก และโมรา ฯลฯ

รวมทั้งเครื่องดนตรี

แต่วัดธรรมกาย-ธัมมชโย เป็นแหล่งผลิตเครื่องประดับด้วยรัตนะเหล่านั้นขายโจ๋งครึ่ม

และเครื่องดนตรี ใครหว่า...แต่งเหลืองกรุยกรายเหมือนหญิง ดีดพิณ?

เนี่ย...ตัวอย่างยืนยันชัดๆ ที่อ้างว่า "ไม่รู้ เขาบริจาคก็รับไว้" กับที่ทำเพชร-ทำทอง ทำเครื่องประดับอัญมณีขายเอง มันฟ้องด้วยตัวมันเองโต้งๆ

ขืนอ้าง..ไม่รู้นี่ เขาถวาย อาตมาก็รับ งั้นญาติโยมเอายาบ้ามาบริจาคซักกระสอบ เอาเอ็ม ๑๖ ใส่บาตรซักกระบอก

เขาถวาย ก็รับส่งเดชไปงั้นหรือ?

รายการนี้ ท่านรัฐมนตรีไพบูลย์ และดีเอสไอ

"จัดเต็ม" ไปเลยครับ!

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 31 มีนาคม 2559    
Last Update : 31 มีนาคม 2559 14:02:07 น.
Counter : 226 Pageviews.  

ในหลวงมีพระราชสาส์นแสดงความยินดีประธานาธิบดีเมียนมาร์คนใหม่

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแสดงความยินดีไปยัง อูทีนจอในโอกาสเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์คนใหม่

 

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2559  สำนักราชเลขาธิการ พระบรมมหาราชวัง ได้เผยแพร่พระราชสาส์นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แสดงความยินดีไปยัง 'อูทีนจอ' ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์คนใหม่ โดยมีข้อความว่า

“ในโอกาสที่ท่านเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ข้าพเจ้ามีความยินดีขอส่งคำอำนวยพรและความปรารถนาดีอย่างจริงใจมา เพื่อท่านประสบความสำเร็จและความสุขสวัสดิ์ ทั้งเพื่อความผาสุกและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศและประชาชนชาวเมียนมาร์

ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ความสัมพันธ์ฉันมิตรและความร่วมมือที่มีอยู่ระหว่างประเทศและประชาชนของเราทั้งสองจะกระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปในภายภาคหน้า

(พระปรมาภิไธย) ภูมิพลอดุลยเดช ปร. "

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 31 มีนาคม 2559    
Last Update : 31 มีนาคม 2559 12:54:01 น.
Counter : 236 Pageviews.  

ประธานกกต.เปิดเผยแผนรณรงค์ลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญให้ไปใช้สิทธิ 80 % ในยุทธการ“ดอกไม้ 65 ล้านบานสะพร

ประธานกกต.แจงแผนรณรงค์ให้ใช้สิทธิ 80% แบ่ง 3 ระยะ ผุดยุทธศาสตร์ “ดอกไม้ 65 ล้านบานสะพรั่ง” ใช้เทคโนโลยีช่วยรณรงค์ทั้งแอปพลิเคชั่นดาวเหนือ-ตาสับปะรด-ฉลาดรู้ เชื่อ 3 ชั่วโมงหลังใช้สิทธิได้ผลไม่เป็นทางการ

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2559 นายศุภชัย สมเจริญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวตอนหนึ่งระหว่างต้อนรับนักศึกษาหลักสูตรนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 4 ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญที่มาศึกษาดูงานของสำนักงาน กกต. ถึงแนวทางการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญหลัง ครม. ส่งร่างรัฐธรรมนูญมาให้ กกต.ดำเนินการว่า จะใช้แผนณรงค์เพื่อให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิให้ได้ร้อยละ 80 โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ

ระยะตื่นตัวตั้งแต่เดือนมกราคมถึงวันที่ ครม.ส่งร่างรัฐธรรมนูญให้ กกต. ระยะที่ 2 ระยะติดตาม จะเป็นช่วงหลัง กกต.ได้รับร่างรัฐธรรมนูญแล้วไปจนถึงวันที่ กกต.ประกาศกำหนดวันออกเสียงประชามติ และระยะที่สามเป็นระยะตัดสินใจ นับตั้งแต่วันที่กกต.ประกาศกำหนดวันออกเสียงจนถึงวันออกเสียงประชามติ ซึ่งการรณรงค์จะยึดหลักในเรื่องความสะดวก เที่ยงธรรม และประชาธิปไตยคุณภาพ และมียุทธศาสตร์ “ดอกไม้ 65 ล้านบานสะพรั่ง”

ประธานกกต.เปิดเผยว่าจะมีการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาช่วยในการรณรงค์จัดการเลือกตั้ง และการตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ที่จะมีแอปพลิเคชันดาวเหนือให้รายละเอียดหน่วยลงคะแนนของผู้มีสิทธิออกเสียง แอปพลิเคชันตาสับปะรด ใช้แจ้งเบาะแสทุจริต และแอปพลิเคชันฉลาดรู้ ที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ แต่ทั้งนี้มั่นใจว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้จะสามารถทำให้ทราบผลการออกเสียงประชามติอย่างไม่เป็นทางการได้ภายใน 3 ชั่วโมงหลังปิดการออกเสียง

นายศุภชัยยืนยันว่าการใช้งบประมาณออกเสียงลงประชามติครั้งนี้ กกต.ได้พิจารณาโครงการต่างให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ สถานการณ์ และนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้การใช้งบมีประสิทธิภาพ

นายศุภชัยยังให้สัมภาษณ์กรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคเพื่อไทยร้องนายกรัฐมนตรีขอให้สั่ง กกต.คืนเงินเหลือจากการเลือกตั้ง 2 ก.พ.ว่า นายเรืองไกรเข้าใจผิด เพราะตามกฎหมายงบที่รัฐบาลจัดสรรให้ กกต.เป็นการให้ขาดเลย หากเหลือจ่ายก็สามารถเก็บสะสมไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินได้ เช่น กกต.นำไปสร้างสำนักงาน กกต.จังหวัด แต่เงินหลวงตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ใครนำไปใช้ผิดประเภท บาทเดียวก็มีความผิด

“ที่ผ่านมา กกต.ก็ประสานงานกับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินอยู่ตลอด และในการประชามติครั้งนี้รัฐบาลก็ขอให้มีการใช้งบอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งก็ได้กำชับกับสำนักงาน กกต.แล้ว”นายศุภชัยกล่าว

ทางด้านนายประวิช รัตนเพียร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวว่า ขณะนี้ กกต.มีความฟิตมากที่จะทำงานเพราะซ้อมมาตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ. 2557 ซึ่งการทำประชามติที่ผ่านมาเมื่อปี 2550 มีผู้ออกมาใช้สิทธิร้อยละ 57 ขณะนั้นมีผู้มีสิทธิประมาณ 40 ล้านคน แต่ปัจจุบันมีการแก้ไขให้ผู้ที่มีอายุ 18 ปีในวันออกเสียงประชามติ เป็นผู้มีสิทธิออกเสียงด้วยทำให้มียอดผู้มีสิทธิเพิ่มขึ้นอีก 8 แสนคน รวมจะมีผู้มีสิทธิในการออกเสียงครั้งนี้ 50 ล้านคน

ดังนั้น หากมียอดผู้มาใช้สิทธิเกินกว่าร้อยละ 57 ก็ถือว่าใช้ได้ ทั้งนี้ที่มั่นใจว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิมากกว่าเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาเพราะ กกต.ได้เปลี่ยนวิธีในการรณรงค์จากเดิมที่ใช้วิธีรณรงค์ผ่านสื่อเพียงอย่างเดียวก็จะหันมาใช้การสร้างเครือข่าย ขณะนี้ก็มีการดำเนินการจนพร้อมทั้งหมดแล้ว

สำหรับการลงประชามติกำหนดไว้ในวันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม 2559

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

//www.ect.go.th/th/

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 31 มีนาคม 2559    
Last Update : 31 มีนาคม 2559 12:03:15 น.
Counter : 230 Pageviews.  

หัวหน้าคสช.ใช้ม.44 ตั้ง“ทหาร”มีอำนาจลุยปราบ“มาเฟีย”ทั่วราชอาณาจักรเริ่ม 29 มีนาคมเป็นต้นไป

หัวหน้าคสช.ตั้งทหารมีอำนาจปราบมาเฟียทั่วราชอาณาจักรเผยเหตุการปราบปรามโดยปกติเจ้าหน้าที่ไม่กล้า เป็นกลุ่มที่อันตรายบ่อนทำลายเศรษฐกิจสังคมค้ายาเสพติด,เจ้ามือพนัน,ซ่องสุมอาวุธ,จ้างงานข่มขู่และทำร้ายผู้อื่นให้อำนาจยึดหรืออยัดทรัพย์ได้ ส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดีแถมเข้าไปร่วมสอบได้ด้วย

 

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2559 ราชกิจจานุเบกษาได้ออกประกาศคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 13/2559 เรื่อง การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดบางประการที่เป็นภยันตราย ต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ระบุว่า

ด้วยปรากฏว่าได้มีบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์กระทำความผิดอาญาบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยการข่มเหง ขู่เข็ญ รังแก หรือแสดงตน อันเป็นเหตุให้บุคคลอื่นเกรงกลัว ไม่กล้าขัดขืน หรือร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพราะเกรงภัยจะเกิดแก่ตน

นอกจากนี้ ยังปรากฏว่ามีบุคคลที่ดำรงชีพด้วยการกระทำผิดกฎหมาย เช่น ค้ายาเสพติด เป็นเจ้ามือพนัน มีพฤติการณ์ซ่องสุมอาวุธ เพื่อให้สามารถได้รับประโยชน์ต่างๆที่มิชอบด้วยกฎหมาย การที่จะนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีจึงมีความยุ่งยาก ซับซ้อน หรืออาจเกิดความเสี่ยงภัยต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน จึงจำเป็นต้องกำหนดกระบวนการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาญาที่มีลักษณะดังกล่าวเป็นพิเศษ เพื่อเป็นมาตรการเสริมกระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน อันจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาญา

รวมทั้งคุ้มครองความสงบเรียบร้อย และระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ตลอดจนเป็นการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพให้แก่สุจริตชน

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ในคำสั่งนี้“เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปราม” หมายความว่า ข้าราชการทหาร ซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นร้อยตรี เรือตรี หรือเรืออากาศตรี ขึ้นไป ซึ่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามคำสั่งนี้ “ผู้ช่วยเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปราม” หมายความว่า ข้าราชการทหารซึ่งมียศต่ำกว่าชั้นร้อยตรี เรือตรี หรือเรืออากาศตรี ลงมา และให้หมายความรวมถึง ทหารประจำการ ทหารกองประจำการ และอาสาสมัครทหารพราน ซึ่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามคำสั่งนี้

ข้อ 2 ให้เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามดำเนินการป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นความผิดตามที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายคำสั่งนี้บุคคลซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ากระทำความผิดตามวรรคหนึ่งซึ่งจะอยู่ในบังคับตามคำสั่งนี้ ต้องเป็นผู้มีพฤติการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิชอบด้วยกฎหมาย ดังต่อไปนี้

(1) กระทำความผิดโดยการข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น

(2) แสดงตนให้บุคคลอื่นเกรงกลัว ไม่กล้าขัดขืนหรือร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการเพราะเกรงภัยจะเกิดแก่ตน

(3) ดำรงชีพด้วยการกระทำผิดกฎหมายการกระทำตามวรรคหนึ่ง ให้หมายความรวมถึงการใช้ จ้างวาน หรือสนับสนุนการกระทำใดๆที่เป็นการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งด้วย

ข้อ 3 ในการดำเนินการตามข้อ ๒ ให้เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(1) ออกคำสั่งเรียกให้บุคคลใดมารายงานตัวต่อเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปราม หรือมาให้ถ้อยคำ หรือส่งมอบเอกสารหรือหลักฐานใดที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามข้อ ๒

(2) จับกุมตัวบุคคลที่กระทำความผิดซึ่งหน้า และควบคุมตัวผู้ถูกจับนำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินการต่อไป

(3) ช่วยเหลือ สนับสนุน หรือเข้าร่วมในการสอบสวนกับพนักงานสอบสวนในความผิด ตามข้อ ๒ โดยในการเข้าร่วมดังกล่าวให้ถือว่าเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามเป็นพนักงานสอบสวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

(4) เข้าไปในเคหสถานหรือสถานที่ใด ๆ เพื่อตรวจค้น รวมตลอดทั้งค้นบุคคลหรือยานพาหนะใด ๆ ทั้งนี้ เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยโดยมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลซึ่งกระทำความผิด ตามข้อ ๒ หลบซ่อนอยู่ หรือมีทรัพย์สินซึ่งมีไว้เป็นความผิด หรือได้มาโดยการกระทำความผิด หรือได้ใช้หรือจะใช้ในการกระทำความผิดตามข้อ ๒ หรือซึ่งอาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ ประกอบกับมีเหตุอันควรเชื่อว่า เนื่องจากการเนิ่นช้ากว่า จะเอาหมายค้นมาได้ บุคคลนั้นจะหลบหนีไป หรือทรัพย์สินนั้นจะถูกโยกย้าย ซุกซ่อน ทำลาย หรือทำให้ เปลี่ยนสภาพไปจากเดิม

(5) ยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่ค้นพบตาม (4)

(6) กระทำการอื่นใดตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมอบหมาย

ข้อ 4 ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยโดยมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด ตามข้อ 2 ให้เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามมีอำนาจเรียกตัวบุคคลนั้นมาเพื่อสอบถามข้อมูล หรือให้ถ้อยคำอันจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการตามข้อ 2 และในกรณีที่ยังสอบถามไม่แล้วเสร็จจะควบคุมตัวบุคคลนั้นไว้ก็ได้แต่ต้องไม่เกินเจ็ดวัน แต่การควบคุมตัวดังกล่าวต้องควบคุมไว้ในสถานที่อื่น ที่มิใช่สถานีตำรวจ ที่คุมขัง ทัณฑสถาน หรือเรือนจำ และจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นในลักษณะเป็นผู้ต้องหามิได้ เมื่อมีเหตุอันจะต้องดำเนินคดีต่อบุคคลที่กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งในฐานะเป็นผู้ต้องหา ให้เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามในฐานะเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจดำเนินการต่อไป ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ข้อ 5 ในกรณีที่บุคคลใดถูกควบคุมตัวตามข้อ 4 วรรคหนึ่ง เนื่องจากการกระทำความผิด ตามข้อ 2 เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามอาจปล่อยตัวไปโดยมีหรือไม่มีเงื่อนไขก็ได้  เงื่อนไขในการปล่อยตัวตามวรรคหนึ่ง หมายถึงการกำหนดวิธีการเพื่อความปลอดภัย ตามมาตรา 39 (2) ถึง (5) แห่งประมวลกฎหมายอาญา การห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย หรือการสั่ง ระงับธุรกรรมทางการเงิน ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการปล่อยตัว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ข้อ 6 ให้ผู้ช่วยเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามมีหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ตามที่เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามสั่งการหรือมอบหมาย

ข้อ 7 ในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ ให้เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามและผู้ช่วยเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และเป็นพนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ข้อ 8 การกระทำตามคำสั่งนี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง

ข้อ 9 เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามและผู้ช่วยเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปราม ที่กระทำการไปตามอำนาจหน้าที่โดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินกว่า กรณีจำเป็น ย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมาย ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่

ข้อ 10 คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

คำสั่ง ณ วันที่ 29 มีนาคม พุทธศักราช 2559

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 31 มีนาคม 2559    
Last Update : 31 มีนาคม 2559 11:13:06 น.
Counter : 441 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.