ปฏิรูปตำรวจแบบ 1 ปี, 5 ปี, 20 ปีหรือจะปฏิรูปไปถึงชาติหน้าก็ต้องปฏิรูป
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวในหน้าแรกของหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับและเป็นข่าวหลักในเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ทุกสำนักถึงการปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติจริง ๆแล้ว ก็เป็นข่าวที่ไม่น่าจะมีใครรู้สึกตื่นเต้นอะไรแล้ว เพราะข่าวทำนองนี้ มีมานานนักหนาแล้ว สมัยโน้น นานมาแล้วสังคมนินทาว่าร้ายกันว่าการสอบสวนความผิดที่มีโทษทางอาญาอยู่กับเจ้าพนักงานตำรวจแต่ฝ่ายเดียว คือกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา เฉพาะเจาะจงไว้ชัดเจนว่า ข้าราชการตำรวจที่มียศตั้งแต่ร้อยตำรวจตรีขึ้นไปเป็นพนักงานสอบสวนที่มีอำนาจหน้าที่ในการสอบสวนคดีอาญาทั้งปวงเพราะประชาชนเห็นและเชื่อว่า เจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจทั้งจับกุม ทั้งควบคุม และทั้งสอบสวน จนกระทั่งทำสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการเพื่อฟ้องคดี นั่นเท่ากับรวบอำนาจไว้ตามลำพังประเภทชงเอง-กินเอง ถึงอย่างไรก็มีโอกาสเอนเอียง สมัยนั้นมีการตั้งคณะกรรมการพิจารณากันอย่างจริงจัง ในที่สุดก็มีความเห็นว่า ให้ฝ่ายปกครองมีอำนาจสอบสวน ส่วนเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ในการจับกุมเท่านั้น ผลในที่สุด รัฐบาลในยุคนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามที่ได้ตั้งคณะกรรมการได้ศึกษาและมีความเห็น ต่อมา นักการเมืองพรรครัฐบาลเห็นว่า องค์กรกรมตำรวจโตมากเกินไปแล้ว จนในยุคนั้นเหมือนกันสื่อมวลชนต้องตั้งฉายาว่าเป็นรัฐตำรวจน่าจะปรับเปลี่ยนองค์กรให้เล็กลง ประเภทจิ๋วแต่แจ๋ว ผลที่สุดก็ปรับเปลี่ยนชื่อองค์กรใหม่ เป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคณะกรรมการตำรวจคอยกำหนดทิศทางในการบริหารงานบุคคล แต่ก็ไม่ได้ผลในทางปฏิบัติ เพราะมีนักวิ่งเต้นจำนวนมากดาหน้ากันวิ่งเต้นกรรมการเสียเอง ต่อมา นักการเมืองของพรรคการเมืองเก่าแก่ รวมกันเสนอความคิดจากการศึกษาว่า ข้าราชการตำรวจที่มีหน้าที่สืบสวนสอบสวนความผิดอาญาทั้งปวง ปกป้องผองภัยให้ประชาชนนั้นควรจะเป็นเจ้าพนักงานของเมืองหรือของจังหวัดทุกจังหวัด อยู่ในสายการบังคับบัญชาสูงสุดของจังหวัดนั้นหรือผู้ว่าราชการจังหวัด การบริหารงานของตำรวจท้องถิ่นน่าจะไม่สลับซับซ้อนเหมือนในปัจจุบัน การบริหารงานบุคคลก็สามารถทำกันได้ในระดับท้องถิ่น ส่วนใครจะวิ่งเต้นหาเส้นสายอย่างไร ก็พอจะมองเห็นกันได้ว่าเหมาะหรือไม่เหมาะสม คงไม่อาจทำอะไรที่ขัดสายตาประชาชนในท้องถิ่นได้อย่างสะดวก เหมือนการรวมศูนย์อยู่หน่วยบัญชาการเช่นปัจจุบัน ส่วนเจ้าพนักงานตำรวจที่สามารถปฏิบัติงานได้ทั่วราชอาณาจักรนั้น ก็เป็นหน่วยเฉพาะเช่นกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถ้าทำได้อย่างนี้ หน่วยบังคับบัญชาที่มีอยู่มากมาย ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรมากนัก เพราะตำรวจท้องถิ่นก็สามารถที่จะดำเนินการเสร็จสิ้นได้ในระดับจังหวัด เว้นแต่มีเหตุผลความจำเป็นก็อาจใช้ตำรวจส่วนกลางไปดำเนินการได้เป็นครั้งคราวตามความเหมาะสมแก่เหตุการณ์ แนวทางการคิดอย่างนี้ไม่ใช่ของใหม่ เป็นทั้งของนักการเมือง,พรรคการเมือง,และนักวิชาการที่เคยเสนอมาแล้วทั้งนั้น แต่ผู้มีอำนาจในรัฐบาลของยุคที่ผ่านมา ไม่อาจตัดสินใจเสนอให้เป็นกฏหมายในการปฏิรูปได้ ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะยังไม่เหมาะสม ยังไม่ถึงเวลาหรืออาจมีปัญหาอื่นๆตามมา ในที่สุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ยังเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ เหมือนอย่างที่เดินหน้ามาตั้งนานแล้ว รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นักประชาสัมพันธ์ที่จะเกษียณในอีก2 เดือนข้างหน้า ออกสื่อทุกประเภทว่าคราวนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติเอาจริงแล้วนะ ที่จะปฏิรูปตำรวจใน 10 ด้านให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 3 ช่วง คือระยะเวลา 1 ปี, 5 ปีและ 20 ปี การปฏิรูป 10 ด้าน มีการบริหารงานบุคคล, การกระจานอำนาจ,การพัฒนางานสอบสวน,ค่าตอบแทนสวัสดิการ,การจัดหาอุปกรณ์ประจำกาย,การป้องกันการทุจริตคอรับชั่น, การมีส่วนร่วมของประชาชน,การจัดระบบนิติศาสตร์,การฝึกอบรมและการถ่ายโอนภารกิจที่ไม่ใช่หน้าที่หลักของตำรวจ ในชั้นต้นนี้ สามารถจัดการได้เลยภายในระยะเวลาสั้นๆ 1 ปี นั้นจะใช้สถานีตำรวจ 500 สถานี หรือ 1 ใน 3 ของสถานีตำรวจทั่วประเทศเป็นสถานีต้นแบบดำเนินการได้เลย เริ่มต้นจะปฏิรูปในการอำนวยการยุติธรรมของการสอบสวนคดีอาญา โดยมีแนวคิดวันสตอป-เซอร์วิส ให้จบสิ้นในจุดๆ เดียว การปฏิรูปวันสตอปเซอร์วิสเคยทำและใช้กันมาแล้วในกองบัญชาการตำรวจนครบาลเมื่อประมาณ 15-20 ปี ที่ผ่านมาแล้ว โดยใช้สถานีตำรวจพญาไท,บางซื่อ และปทุมวัน เป็นต้นแบบ แล้วกระจายไปทุกสถานีตำรวจของนครบาล การบริการดีขึ้นจริงช่วงระยะสั้นๆ แต่ไม่อาจที่จะจบในจุดเดียวได้ การรวบรวมพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนมีหน้าที่นั้น ไม่อาจทำได้เพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยเจ้าพนักงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องทั้งทางด้านธุรการและด้านวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ภายใต้กระแสที่รุมเร้าตำรวจไปในทางเสียหายหลายครั้งหลายหนติดต่อกันเป็นระยะๆนั้น ก็ยังน่าชื่นชมที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงเข้ามาตรวจสอบอย่างจริงจังเพื่อให้องค์กรตำรวจยังคงเป็นที่พึ่งในการอำนวยความยุติธรรมให้ได้ ความพยายามในการรับนโยบายจากรัฐบาลที่จะปฏิรูปตำรวจนั้น ดูท่าทางกระฉับกระเฉง จริงจังตั้งใจ เหมือนเป็นนโยบายใหม่เอี่ยมที่ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน ก็ได้แต่รอดูกัน อีก 1 ปีเท่านั้นดูกันว่าวันเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆใน 1 ปีข้างหน้า จะยังคงเหมือนกับวันนี้ หรือวันเวลาอันยาวนานที่ได้ผ่านไปแล้ว ที่มา thaitribune
Create Date : 25 กรกฎาคม 2559 | | |
Last Update : 25 กรกฎาคม 2559 3:04:01 น. |
Counter : 277 Pageviews. |
| |
|
|
|