'ดีเอสไอ' ปราบผู้บุกรุกป่าสงวน จ.เพชรบูรณ์ 700 ไร่ สั่งดำเนินคดี 15 ราย 6 เจ้าหน้าที่รัฐ

'ดีเอสไอ' แถลงผลปราบปรามผู้บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ เข้าค้อ จ.เพชรบูรณ์ รวมเนื้อที่กว่า 700 ไร่ ดำเนินคดีผู้ต้องหา 21 รายรวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ มูลค่าความเสียหายราว 32 ล้านบาท

       วันที่ 24 มีนาคม 2559  เมื่อเวลา 10.00 น. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.ศูนย์บริหารคดีพิเศษ ในฐานะรองโฆษกดีเอสไอ พร้อมด้วย พ.ต.ท.ศักกพล สุขปาน รอง ผบ.สำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ร่วมแถลงผลการปราบปรามผู้บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ เนื้อที่กว่า 700 ไร่ ใน จ.เพชรบูรณ์ พร้อมดำเนินคดีผู้กระทำผิดทั้งหมด 21 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 32 ล้านบาท

       พ.ต.ต.วรณันเปิดเผยว่า จากนโยบายการป้องกันปราบปรามการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนของรัฐบาลและกระทรวงยุติธรรมที่ต้องการทวงคืนผืนป่ากลับมาเป็นของรัฐ จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานอย่างเข้มงวด โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 คดีในพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ สำหรับคดีแรก เจ้าหน้าที่ดีเอสไอร่วมกับกรมป่าไม้ตรวจสอบพบว่าเมื่อปี 2548 มีกลุ่มนายทุนจากทางภาคใต้ทั้งหมด 8 คนสนใจที่ดินทางภาคเหนือ หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อต้องการปลูกยางพารา จากนั้นได้รู้จักกับอดีตกำนันในพื้นที่ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ นายหน้าติดต่อขอซื้อที่ดินมือเปล่าที่มีหลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภบท.5) จากราษฎรในพื้นที่ ต.ศิลา อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ต่อมาได้มีการซื้อขายที่ดินให้กับกลุ่มนายทุนเข้าครอบครองโฉนดที่ดิน 25 แปลง เนื้อที่ประมาณ 700 ไร่เศษ      

       พ.ต.ต.วรณันกล่าวอีกว่า ทั้งนี้ จ.เพชรบูรณ์ได้ออกประกาศลงวันที่ 19 พ.ย. 2548 เรื่องกำหนดท้องที่ที่จะทำการและวันที่เริ่มต้นเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน โดยเจ้าหน้าที่รัฐได้รับคำสั่งจากกรมที่ดินให้เดินสำรวจในโครงการดังกล่าวและออกโฉนดที่ดินทับซ้อนพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าภูเปือย ป่าภูขี้เถ้า และป่าภูเรือ” ต.ศิลา อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ให้แก่กลุ่มนายทุน ทางดีเอสไอจึงรับเป็นคดีพิเศษและได้สรุปสำนวนการสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องผู้กระทำผิดจำนวน 14 ราย แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 6 ราย ส่วนผู้ครอบครองที่ดิน 8 ราย ทั้งนี้ ในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐ สำนักงาน ป.ป.ช.ได้ส่งเรื่องคืนให้ดีเอสไอเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายเสร็จสิ้นเรียบร้อย มูลค่าความเสียหายประมาณ 29 ล้านบาทเศษ

       “สำหรับผลการสอบสวนโฉนดที่ดินทั้ง 25 แปลง พบว่ามีการออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากภาพและสถานะของที่ดินอยู่ในหลักเกณฑ์ต้องห้ามตามกฎหมาย ดังนี้ 1. อยู่ในพื้นที่เขตภูเขา หรือปริมณฑลรอบภูเขา 40 เมตร ทุกแปลง และอยู่บนพื้นที่ที่มีความลาดชันเกิน 35 เปอร์เซ็นต์ ห้ามออกเอกสารสิทธิเด็ดขาด ยกเว้นโฉนดที่ดินเลขที่ 27430 2. โฉนดที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติบางส่วน และ 3. ตามกฎหมายก่อนปี พ.ศ. 2497 การทำมาหากินต้องมีร่องรอยการทำประโยชน์ในพื้นที่ แต่จากผลการวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศ ก่อนปี พ.ศ. 2497 พบว่ามีสภาพเป็นป่าผลัดใบทั้งแปลง เท่ากับเป็นการออกโฉนดทับลำห้วยและทางสาธารณเกินกว่าพื้นที่ทำประโยชน์” พ.ต.ต.วรณันกล่าว 

        พ.ต.ต.วรณันกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเรื่องที่ 2 จากกรณีมีผู้ร้องเรียนว่ามีการปลูกสร้างรีสอร์ทในพื้นที่โครงการพัฒนาลุ่มน้ำเข็ก ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาปางก่อ และป่าวังชมภู อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ โดยพื้นที่ดังกล่าวเกิดขึ้นนื่องมาจากความขัดแย้งด้านอุดมการณ์ทางการเมืองในช่วงปี 2508 ต่อมาเมื่อเหตุการณ์สงบลงรัฐบาลได้จัด เป็นกองอำนวยการโครงการพัฒนาลุ่มน้ำเข็ก ซึ่งมีงานหลักก่อสร้างนนลาดยาง และมีการกำหนดเปิดพื้นที่ป่าข้างทางข้างละ 1 กิโลเมตร เป็นพื้นที่ที่เข้ามาใช้ประโยชน์ของกลุ่มที่เห็นต่างและต่อมาก็ได้เข้ามาใช้ประโยชน์ร่วมกัน แต่พื้นที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่จัดสรรดังกล่าว

      พ.ต.ต.วรณัน กล่าวด้วยว่า แต่เป็นพื้นที่ที่อยู่ในพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งมีมติคณะรัฐมนตรีอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ มีเนื้อที่ประมาณ 150 ไร่ ซึ่งคำว่าใช้ประโยชน์ร่วมกันได้หมายความว่าต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ร่วมกัน แต่ข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบของดีเอสไอพบว่า บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่นำมาสร้างเป็นรีสอร์ท ซึ่งเป็นประโยชน์ส่วนตัว จึงเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

      ดังนั้น ดีเอสไอจึงได้สอบสวนดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง 7 ราย ท้ังนี้ ดีเอสไอได้รับเป็นคดีพิเศษ 7 คดี เนื้อที่รวมประมาณ 20 ไร่ ปัจจุบันได้ดำเนินการเสร็จแล้ว 5 คดี โดยมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทุกราย นอกจากนี้ สำหรับการดำเนินการกับผู้กระทำผิดที่มีการปลูกสร้างรีสอร์ทนั้น ดีเอสไอจส่งเรื่องให้กรมป่าไม้พิจารณารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต่อไป ส่วนเนื้อที่อีก 130 ไร่ จะได้ร้องทุกข์กล่าวโทษกับ สภ.เขาค้อ ให้ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 24 มีนาคม 2559    
Last Update : 24 มีนาคม 2559 18:48:12 น.
Counter : 317 Pageviews.  

รมว.ยุติธรรมนำแถลงผลสอบอุทยานราชภักดิ์ไม่พบผิดเผย“เซียนอุ๊”เรียกหัวคิวเอกชนจ่ายกันเอง-อุดมเดชฉุนไม่ย

พล.อ.ไพบูลย์พร้อมสตง.- ป.ป.ท. แถลงผลสอบอุทยานราชภักดิ์ระบุ “เซียนอุ๊”เรียกเงินจาก 5 โรงหล่อรวม 20 ล้านจริง แต่เป็นการจ่ายกันเองระหว่างเอกชนกับเอกชน เพื่อตอบแทนทางธุรกิจไม่ถือว่าผิดปกติ เจ้าตัวนำเงินบริจาคคืนแล้ว การจัดซื้อจัดจ้างหล่อองค์พระถูกต้องราคาตามท้องตลาด อุดมเดชฉุนไม่ยอมรับคำว่าหัวคิว

 

เมื่อ เวลา 16.00 น. วันที่ 23 มีนาคม 2559 ที่ชั้น 2 ห้องรับรอง กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) พร้อมด้วย นายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ในฐานะเลขานุการ ศอตช. นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) นายยงยุทธ มะลิทอง รองเลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร่วมแถลงผลการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลังให้มีการตรวจสอบเพิ่มบางประเด็น

ก่อนการแถลงข่าว นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย เดินทางมาเข้าร่วมรับฟังด้วย

พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการแถลงสรุปผลการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ 3 ประเด็นหลัก คือ 1. ค่าหัวคิว 2. การจัดซื้อจัดจ้าง และ 3. การใช้งบประมาณ โดยใน 3 ประเด็นหลักจะมีประเด็นปลีกย่อย เกี่ยวกับค่าหัวคิวซึ่งมีคนมาร้องเรียนก็เริ่มตรวจสอบตั้งแต่เริ่มต้นว่ามีหัวคิวตรงไหนอย่างไร ต่อมาก็มีเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง และ การใช้งบประมาณ จึงสั่งให้ตรวจสอบและยึดตามกฎหมาย

ค่าหัวคิวเป็นเรื่องของเอกชนกับเอกชน

นายประยงค์ กล่าวว่า ป.ป.ท. เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการตรวจสอบเฉพาะเรื่องการหักค่าหัวคิว จึงได้ดำเนินการรวบรวมหลักฐาน พร้อมทั้งสอบปากคำจากภาครัฐและภาคเอกชน เท่าที่ได้เอกสารหลักฐานทั้งหมดสรุปได้ว่า มีการจ่ายเงินจริงระหว่างภาคเอกชนกับภาคเอกชน ทั้งสองฝ่ายระบุว่าเป็นการให้ค่าตอบแทนการให้งานกัน เมื่อ ป.ป.ท. ดำเนินการตรวจสอบในเชิงลึกไปถึงจำนวนเงิน ซึ่งมีวงเงิน 6 - 7 เปอร์เซ็นต์ของค่าจ้าง เมื่อไปดูงานค่าจ้างของแต่ละราย ราคาก็เป็นไปตามท้องตลาด เบื้องต้นไม่พบข้อพิรุธอะไร เพราะสามารถจ่ายค่าตอบแทนได้ กรณีที่มีคนหางานมาให้

สตง.ตรวจสอบ 5 ประเด็น-จัดซื้อจัดจ้าง

ทางด้านนายพิศิษฐ์ กล่าวว่า ในส่วนของ สตง. ได้ตรวจสอบประเด็นการจัดซื้อจัดจ้างและการใช้งบประมาณ ซึ่งพบปัญหา 5 ประเด็น คือ

1. เงินบริจาค ที่มีคนเป็นห่วงว่าจะเป็นการใช้จ่ายไม่ถูกต้องหรือไม่

2. การจัดซื้อจัดจ้าง ว่าเป็นไปตามระเบียบราชการหรือไม่

3. เนื้องาน ว่าครบด้านบริหารและเป็นไปตามลักษณะเนื้อโลหะที่นำมาใช้ถูกต้องหรือไม่

4. ตรวจสอบว่ามีการหักหัวคิวหรือไม่ และ

5. เงินกองทุนมีการบริหารจัดการอย่างไร

ทั้งนี้ หลังจากตรวจสอบได้ข้อสรุปว่าเรื่องรับเงินบริจาคใช้บัญชีกองทุนสวัสดิการกองทัพบก แต่จำนวนเงินที่เข้าบัญชีแยกออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนเงินบริจาคอยู่ในบัญชีต่างหากไม่ได้ปะปนกับเงินสวัสดิการกองทัพบก ซึ่งมี 6 ธนาคารที่เปิดรับเงินบริจาคเข้าบัญชี แต่ปัจจุบันได้ปิดเหลือเพียง1 บัญชีแล้ว จึงไม่น่าจะมีปัญหาเพราะมีการบันทึกรายรับรายจ่ายอย่างถูกครบถ้วนมาตลอด

ปัจจุบันเมื่อเกิดประเด็นขึ้นมาทางกองทัพได้ปิดบัญชีและสรุปตัวเลขที่บริจาคมาทั้งหมด ซึ่ง สตง. ได้ถอดเทปว่าใครมีการแสดงตัวในการบริจาคบ้าง ตัวเลขทั้งหมดมีการรับผ่านบัญชีเป็นจังหวะเวลาที่มีปัญหาได้ตัวเลขทั้งหมด 733 ล้านบาทรวมดอกเบี้ย

จากนั้นพบว่ามีการเบิกจ่ายไปแล้ว 458 ล้านบาท โดยมีทั้งค่าองค์พระประมาณ 318 ล้านบาท และค่าจัดทำเหรียญ 105 ล้านบาท ซึ่งมียอดเงินคงเหลือ 140 ล้านบาทเศษ และยืนยันว่า มีหลักฐานสามารถตรวจสอบได้

ส่วนงบประมาณกลางอีก 63 ล้านบาท ทำเกี่ยวกับ 5 โครงการซึ่งทำไปแล้ว 4 โครงการ เหลือ 9ล้านบาท อีก 1 โครงการ ยังไม่ได้มีการนำไปใช้ นอกจากนี้ ยังมีเงินของกองทัพบกที่นำมาใช้ทำรั้วในพื้นที่อุทยานทั้งหมด 27 ล้านบาท

 “ยังมีผู้บริจาคเป็นสิ่งของ เช่น วัสดุก่อสร้าง กองทัพได้เบิกเงินในส่วนนี้มาใช้เป็นค่าแรง ค่าน้ำมัน และค่าเครื่องจักร ซึ่งเป็นรายได้ที่มาจากผู้มีจิตศรัทธา ส่วนกรณีที่มีการระบุว่ามีการซื้อต้นไม้ในราคาที่แพงเกินจริง ซึ่งจากการตรวจสอบก็ไม่พบ เป็นแต่เพียงต้นไม้ที่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคมา มีการคิดเพียงแค่ค่าแรงกับค่าน้ำมัน เป็นเงิน 4 ล้านบาท ส่วนการโยกย้ายต้นไม้เข้ามาปลูกยังพื้นที่ของอุทยาน ทางผู้บริจาคเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด และก็มีการนำต้นไม้ไปขาย เพื่อจะได้หารายได้เพิ่มเติม” นายพิศิษฐ์ กล่าว

นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า เราตรวจสอบในข้อเท็จจริงและการจัดซื้อจัดจ้างถูกต้องหรือไม่ โดย 2 สัญญาไม่พบว่ามีการกระทำผิดระเบียบราชการ และเนื้องานหรือเนื้อโลหะอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ 95เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะสมบูรณ์ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ที่จะต้องมีผิวขรุขระบ้าง จึงไม่ตั้งข้อสังเกตอะไรในประเด็นนี้

ส่วนวัสดุจากตัวองค์พระ ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด รวมถึงมีเอกสารการนำเข้าอย่างถูกต้อง และราคากลางก็ยังเป็นไปตามท้องตลาด โดย สตง. ได้ขอขมาองค์พระทั้ง 7 ก่อนจะตัดชิ้นส่วนโลหะที่องค์พระ เพื่อส่งไปจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยดำเนินการตรวจสอบ ซึ่งผลการตรวจสอบทราบว่าเป็นไปตามเอกสารหลักฐานทั้งหมด และมีคุณภาพ จึงยืนยันว่าไม่มีข้อสงสัย

ตรวจสอบอุ๊ กรุงสยาม-บริจาคคืน 20 ล้านบาท

ทั้งนี้ การหักค่าหัวคิวทั้งจากหลักฐานทางการเงินและสอบปากคำของ 5 โรงหล่อ ที่มีค่าใช้จ่ายเป็นค่าที่ปรึกษา เพื่อให้ได้งานนั้น ซึ่งข้อเท็จจริงตรงกันว่า มีการจ่ายค่าจ้างให้กับ นายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ หรือ “อุ๊ กรุงสยาม” 7 เปอร์เซ็นต์ ในฐานะที่ปรึกษา และจากการตรวจสอบประวัติทราบว่าเป็นเจ้าของโรงหล่อและมีฐานะทางสังคม

“ผลงานที่ผ่านมามีการสร้างหลวงปู่ทวด ขนาดหน้าตักกว้าง 24 เมตร บนถนนสายเอเชีย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้เงินจากการเป็นที่ปรึกษาของ 5 โรงหล่อ ทยอยจ่ายเป็นเงิน 20 ล้านบาท โดยเจ้าตัวยืนยันว่ามีสิทธิ เนื่องจากมีหน้าที่คอยแก้ปัญหาหน้างาน ต่อมา เซียนอุ๊ได้นำเงิน 20ล้านบาท มาบริจาคคืนเป็นเช็ค 5 ฉบับจำนวน 20 ล้านบาท ให้มูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ในพระราชูปถัมภ์ฯ ในนาม 5 โรงหล่อ ซึ่งมีเอกสารการออกใบเสร็จว่าเซียนอุ๊ได้มาบริจาคจริง” ผู้ว่าการ สตง.กล่าว

นายพิศิษฐ์เปิดเผยเพิ่มเติมว่า มูลนิธิสวัสดิการอุทยานราชภักดิ์มีเงินในบัญชี ณ ขณะนี้ 108 ล้านบาท ซึ่งยังไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ สตง.ได้ตรวจสอบภาพรวมทั้งหมดแล้วเท่าที่ดูไม่มีการตกแต่งบัญชี ยืนยันว่าไม่มีการทุจริตที่เอาเงินบริจาคมาคืนหน่วยงานราชการ แต่เป็นการเงินมาบริจาคด้วยความสมัครใจ กรณีนี้เอกชนจึงไม่ผิด

ส่วนประเด็นที่ระบุว่าเงินกองทุนสวัสดิการกองทัพบก เนื่องจากตามระเบียบกองทัพมีการตรวจสอบบัญชี และภายในขั้นตอนอยู่แล้ว ทั้งนี้ทรัพย์สินอุทยานยังเป็นของทรัพย์สมบัติของราชการ ยังไม่ได้โอนให้กับมูลนิธิ

ปัญหาหัวคิวปัญหาคำพูด

ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวเสริมว่า ประเด็นนี้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ยืนยันมาตลอดว่าไม่ผิด และเคยต่อว่าตนด้วยซ้ำ ดังนั้นจึง ม่เข้าใจว่าคำถามของนายจตุพรว่าต้องการสื่ออะไร จากข้อสรุปที่ไปสอบถาม พล.อ.อุดมเดช มีการยอมรับว่าพลาด พูดออกไปเพราะไม่เข้าใจ จึงใช้คำว่าหัวคิว

“ผมไม่พูดกับท่านมานานมาก จนการตรวจสอบจบลงจึงไปเรียนให้ทราบว่า ป.ป.ท. ก็ไปสอบถามท่าน เพราะท่านเป็นคนพูดคำนี้ออกมา ที่ท่านพูดว่าหัวคิว มันผิด เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีเจตนา แต่เกิดจากผู้สื่อข่าวซักถามและมีการตอบคำถามกันไปมา จึงหลุดคำว่าหัวคิวออกไป โดยไม่เข้าใจเนื้อหาและวิธีการ ส่วนเรื่องเซียนอุ๊ถ้าเป็นข้าราชการก็ส่งให้ ป.ป.ท. ตรวจสอบไป”พล.อ.ไพบูลย์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า สรุปแล้วยืนยันว่าโครงการนี้ไม่มีการทุจริตทุกประเด็น แล้วจะกระทบต่อภาพลักษณ์ คสช.หรือไม่ เพราะสังคมจับตามองว่า คสช.จะคลี่คลายไปในแนวทางใด พล.อ.ไพบูลย์ ตอบว่า บนพื้นฐานข้อเท็จจริง และการสอบไม่สร้างศรัทธาสังคม ตนไม่มีขีดสามารถทำให้ชาวบ้านเชื่อหรือไม่เชื่อได้ ใครมีข้อมูลเพิ่มก็ให้ส่งมา

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่ตรวจสอบหากไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริงก็จะถูกตรวจสอบเหมือนกัน ก็ขอขอบคุณนายจตุพรที่ห่วงใยบ้านเมือง หากมีข้อมูลอะไรก็ส่งมา การตรวจสอบเรื่องนี้ยังไม่เสร็จ ยังมีหน่วยงานรัฐตรวจสอบประเด็นอื่น ๆ ต่อไปอีก

จตุพรบอกมีข้อมูลเพิ่มเติมให้ตรวจสอบ

ด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวหลังการแถลงเสร็จสิ้นว่า จากการฟังแถลงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ในวันนี้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร อดีต ผบ.ทบ. เคยแถลงมาเป็นเดือนแล้ว ก่อนทาง นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มาแถลงซ้ำครั้งที่สอง เท่ากับวันนี้เป็นครั้งที่สาม เรื่องก็ยังไม่จบ แต่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้ว

หลังจากนี้ ป.ป.ช. จะรับเรื่องดำเนินการต่อ และตนมีข้อมูลบางส่วนยื่นให้ตรวจสอบด้วย ซึ่งหากเรื่องนี้โปร่งใสจะห้ามประชาชนไม่ให้เดินทางไปตรวจสอบเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงทำไม

“การสอบสวนข้อเท็จจริงต้องนำมารายงานเสนอต่อประชาชน ไม่ใช่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ทำให้สร้างความเคลือบแคลงสงสัยในสังคม ซึ่งอยากให้ โครงการอุทยานราชภักดิ์ มีความโปร่งใสเนื่องจากเป็นสถานที่สำคัญของคนไทยทั้งประเทศ”นายจตุพร กล่าว

นอกจากนี้ ตนยังติดใจคำว่า“ค่าจ้างที่ปรึกษา”นับเป็นวาทกรรมเกิดขึ้นหลังคำว่า “หัวคิว” โดยเสนอราคาบวกค่าหัวคิวเกินราคาจริงหรือไม่ ซึ่งกรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบ องค์กรรัฐต้องควบคุมดูแล ขั้นตอนมีพิรุธพบว่า “เซียนอุ๊” ที่หายหน้าไปหลายเดือนกลับนำเงินมาบริจาคคืนทั้งหมด สุดท้ายตนมองว่า พล.อ.อุดมเดช ทราบผลมาเป็นเดือนเกี่ยวกับผลสอบพบสุจริต ก่อน สตง. มาแถลงเท่ากับเป็นการชี้นำผลลัพธ์ล่วงหน้าเป็นเดือน

อุดมเดชบอกไม่เคยยอมรับเรื่องหัวคิว

ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ระบุถึงผลการตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ไม่พบการทุจริตว่า สิ่งที่ พล.อ.ไพบูลย์ พูดในเรื่องที่ว่าตนเคยยอมรับเกี่ยวกับประเด็นเรื่องค่าหัวคิว อยากตอบว่าตนไม่เคยยอมรับ

“ครั้งแรกที่ทำเนียบรัฐบาล มีสื่อมวลชนได้สอบถามก่อนที่จะเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถือว่ามีเวลาน้อยจึงได้ตอบเพียงสั้นๆว่า อาจจะมีความจริงบางส่วน คำนี้อาจจะผิดพลาดไปหน่อย”พล.อ.อุดมเดชกล่าวและว่าแต่ความจริงแล้วได้อธิบายเพิ่มเติมว่า เป็นเรื่องที่บริษัทเอกชนไปหาคนที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับโรงหล่อ เสร็จแล้วหลังจากนั้นก็มีการจ่ายค่าปรึกษาหารือกัน ส่วนจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งทางสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เรียกว่า ค่าตอบแทนที่ปรึกษา ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะไม่ใช่เรื่องหักค่าหัวคิว

“ผมอยากถาม พล.อ.ไพบูลย์ ว่า ไปเอาเทปมาดูว่า ผมยอมรับอะไร เพียงแต่พลาดไปนิดหนึ่ง ว่า มีความจริงบางส่วน ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ผมยอมรับหรือ เพราะหลังจากนั้นผมก็ได้อธิบายไปชัดเจนแล้ว ผมรังเกียจกับคำว่าหักหัวคิว ซึ่งยังงมงายอยู่ในคำเดิม ไม่ยอมฟังอะไร แต่จะด้วยอะไรหรือไม่ ผมไม่แน่ใจ ผมเห็นว่า สตง.เป็นองค์กรที่มีมาตรฐาน ในเมื่อตรวจสอบแล้วไม่พบความผิด ยังจะเอาอะไรอีก แต่มาบอกว่า ผมยอมรับว่ามีหักหัวคิว ซึ่งผมไม่เคยยอมรับ ผมรังเกียจมากกับคำนี้ และแปลกใจเหมือนกันว่า เมื่อแถลงแล้วทำไมยังไม่จบ หรือว่าไม่ตรงใจจึงไม่จบ ผมก็ไม่ทราบ ผมรักและเคารพทุกคน ไม่ได้มีปัญหากับใคร แต่ความจริงเป็นอย่างไร ขอให้ฟังบ้าง” พล.อ.อุดมเดช กล่าว

มั่นใจสตง.ตรวจสอบแล้วไม่มีก็ไม่มี

รมช.กลาโหม กล่าวต่ออีกว่า สตง.ถือเป็นองค์กรอิสระที่มีมาตรฐานสูงสุด และไม่เข้าใครออกใคร เมื่อตรวจสอบแล้วว่า ไม่มีก็ต้องไม่มี กองทัพบกได้ดำเนินการรับเงินบริจาค จึงยอมให้มีการตรวจสอบทั้งที่บางหน่วยไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบ แต่ยังให้เข้ามาพูดคุยเพราะไม่ได้ถือสาอะไร ดังนั้น อยากให้เข้าใจ สตง.ได้พูดออกมาแล้วว่า ปกติตนพอใจแล้ว

เมื่อถามว่า หลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อไป พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า อีกระยะหนึ่งจะเดินหน้าโครงการอุทยานราชภักดิ์ต่อ หลังจากที่ชะลอมา 5-6 เดือน โดยเฉพาะการสร้างแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ ที่จะต้องมีห้องประวัติศาสตร์และจัดนิทรรศการ เพื่อเชิดชูบูรพกษัตริย์และคนที่บริจาคเงินก็เรียกร้องอยากให้ดำเนินการต่อให้สมบูรณ์ คนที่มีใจจะทำคงรู้สึกเบื่อแล้ว เพราะมัวแต่ถูกเล่นงานแบบไร้เหตุผลอย่างนี้ คนที่พยายามไม่เข้าใจ ก็จะติดลบกันไปเอง เรื่องทั้งหมดจบตั้งแต่การตรวจสอบของ สตง. เพราะเคลียร์หมดทุกอย่าง ว่า ไม่มีสิ่งผิดปกติและไม่มีหักหัวคิว เพียงแต่ใช้คำว่า ค่าตอบแทนที่ปรึกษา

“เรื่องไม่เป็นเรื่องก็พยายามทำให้เป็นเรื่อง ผมพอใจกับสิ่งที่ สตง.ตรวจสอบ แต่ถ้ายังปรักปรำกันอีกก็อาจจะฟ้องดำเนินคดีสำหรับคนที่กล่าวให้ร้าย เพราะเรื่องนี้เชื่อมั่นว่า ต้องถึงกระบวนการยุติธรรมโดยแท้จริง ไม่เกี่ยวกับการหักค่าหัวคิวแต่อย่างใด ยืนยันว่าไม่ใช่” พล.อ.อุดมเดช กล่าว

เมื่อถามว่า จะมีปัญหาการทำงานกับ ครม.หรือไม่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ไม่มีอะไร เพราะเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ต่างคนต่างทำงาน ทำตามหน้าที่ไม่มีปัญหา พล.อ.ไพบูลย์ ก็ดีกับตนในเรื่องทั่วไป เจอกันก็คุยกัน ยืนยันไม่มีอะไรกับใคร เชื่อว่า จะไม่เกิดปัญหาช่องว่างในการทำงานของรัฐบาล ทั้งนี้คิดว่านายกรัฐมนตรีก็อยากให้พิสูจน์ข้อเท็จจริง และไม่ได้หนักใจอะไร.

เปิดเส้นทางเงินพันล้าน “อุทยานราชภักดิ์” พบ ทบ. โชว์รายการใช้จ่ายไม่ถึงครึ่ง – มีชื่อผู้บริจาค 468 ล้านบาท

//thaipublica.org/2015/11/uttayan-rajabhadi-26-11-2558/

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 24 มีนาคม 2559    
Last Update : 24 มีนาคม 2559 18:22:42 น.
Counter : 321 Pageviews.  

กรณีศึกษาการประมูลคลื่นความถี่ ในต่างประเทศ โดย พันเอก ดร. เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ประธานกรรมการกิจการโ

สหราชอาณาจักร หน่วยงานกำกับดูแลของสหราชอาณาจักร ได้เคยจัดประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz ในเดือนมีนาคม 2000 มีผู้ชนะการประมูล 5 ราย ได้แก่ BT Cellnet, Orange, One2One (O2), Vodafone ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายเดิม และ TIW หรือ 3UK ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ มีมูลค่าการประมูลสูงถึง 22.47 พันล้านปอนด์ หรือ 35.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ

เนื่องจากมูลค่าการประมูลที่สูงเกินไป ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่อย่าง 3UK ต้องพยายามดิ้นรนแข่งขันในตลาด แต่ไม่สามารถทำกำไรได้ในช่วง 10 ปีหลังจากการประมูล ต่อมาจึงได้มีการควบรวมกิจการเกิดขึ้นในตลาด เนื่องจากผู้ประกอบการบางรายไม่สามารถประกอบการได้ โดย T-mobile ควบรวมกับกิจการกับ Orange ในปี 2010 กลายเป็น บริษัท Everything Everywhere

แสดงให้เห็นว่า แม้ว่ารัฐบาลอังกฤษจะได้เงินจำนวนมากจากการประมูลคลื่นความถี่ แต่ในระยะเวลาภายหลังที่ผู้ประกอบการไม่สามารถดำเนินการสร้างโครงข่ายได้ครอบคลุมหรือมีปัญหาการดำเนินธุรกิจต่อไปทำให้สภาพการลงทุนในตลาดโทรคมนาคมมีผลกระทบเป็นอย่างมาก จึงทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนจากหลายกรณีศึกษาว่า การจัดสรรคลื่นความถี่ด้วยวิธีการประมูล ถึงแม้ว่าเป็นวิธีการที่เป็นที่ยอมรับในหลายประเทศ แต่ก็มิได้หมายความว่า จะส่งผลดีได้ในทุกกรณี ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยและเงื่อนไขของอุตสาหกรรมในแต่ละประเทศ ยากยิ่งที่จะคาดการณ์ได้

Reference

Analysis group, “Spectrum Auctions Around the World: An Assessment of International Experiences with Auction Restrictions,” July 2013.

24 มีนาคม 2559

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 24 มีนาคม 2559    
Last Update : 24 มีนาคม 2559 14:48:21 น.
Counter : 291 Pageviews.  

ในหลวงและพระราชินีทรงโปรดเกล้าฯส่งพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยถึงกษัตริย์และชาวเบลเยียม

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ส่งพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัย ไปยังสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งชาวเบลเยียม กรณีเหตุการณ์ก่อการร้ายที่กรุงบรัสเซลส์ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2559 ความว่า

 

สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งชาวเบลเยียม

กรุงบรัสเซลส์

หม่อมฉันและพระราชินีเศร้าสลดใจอย่างยิ่งที่ได้รับทราบข่าวเหตุการณ์ก่อการร้าย ที่กรุงบรัสเซลส์ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก หม่อมฉันและพระราชินี ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งมายังฝ่าพระบาทและประชาชนชาวเบลเยียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวของผู้ประสบความสูญเสยจากเหตุการณ์ร้ายแรงครั้งนี้

 (พระปรมาภิไธย) ภูมิพลอดุลยเดช ปร.

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 24 มีนาคม 2559    
Last Update : 24 มีนาคม 2559 14:13:24 น.
Counter : 259 Pageviews.  

เปิดหมดข้อมูล 5 บริษัทล็อบบี้ยิสต์ 'ทักษิณ' จ้างวิ่งเต้นการเมืองในสหรัฐฯ-แฉปี 2553 นปช.ถูกสลายตาย 23

เปิดรายละเอียดล็อบบี้ยิสต์ 5 บริษัทที่ทักษิณ ชินวัตร ว่าจ้างให้ทำงานให้เพื่อวิ่งเต้นการเมืองในสภาคองเกรสสหรัฐ กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรมและกระทรวงการคลังสหรัฐฯระหว่างปี 2549-2558 บางบริษัท เผยเจ้าหน้าที่ขอคืนพื้นที่คนเสื้อแดงปี 2553 นปช.ตายทั้งหมด 23 คน

สำนักข่าวอิศรารายงานเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2559 ว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรับมนตรี ได้ว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ในสหรัฐฯ ให้เป็นตัวแทนในการวิ่งเต้นทางการเมืองในรัฐสภา กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม และการทรวงการคลังของสหรัฐฯ จำนวนทั้งหมด 5 บริษัท ตั้งแต่ พ.ศ. 2549 ต่อเนื่องมาจนถึง พ.ศ. 2558

ทั้งนี้ ในช่วงเวลานับสิบปีที่ผ่านมา กระแสข่าวที่ว่า นายทักษิณ ชินวัตร จ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ให้วิ่งเต้นทางการเมืองต่อรัฐบาล และรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา ปรากฎเป็นข่าวดังมาเป็นระยะๆ แต่ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่ปรากฎหลักฐานยืนยันข้อมูลเรื่องนี้

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบหลักฐานยืนยันข้อเท็จจริงเรื่องนี้อย่างชัดเจน โดยฐานข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลและองค์กรทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ให้เข้าวิ่งเต้นทางการเมืองต่อรัฐบาลและรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา ที่เปิดเผยในเว็บไซต์ Lobbying Disclosure จัดทำโดย Office of the Clerk ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ

รายงานระบุว่า นายทักษิณ ชินวัตร ได้ว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ในสหรัฐฯ ให้เป็นตัวแทนในการวิ่งเต้นทางการเมืองในรัฐสภา กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม และการทรวงการคลังของสหรัฐฯ จำนวนทั้งหมด 5 บริษัท ตั้งแต่ พ.ศ. 2549 ต่อเนื่องมาจนถึง พ.ศ. 2558 ตามข้อมูลล่าสุดที่ปรากฏในเว็บไซต์

เว็บไซต์ดังกล่าวตีพิมพ์แบบฟอร์มรายงานรายไตรมาส ซึ่งบริษัทล็อบบี้ยิสต์ต่างๆ ต้องยื่นต่อทางการ (ดูเอกสารประกอบ) มีการยืนยันข้อมูลว่า นายทักษิณได้ว่าจ้างบริษัททั้ง 5 บริษัท มีสำนักงานอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ในช่วงเวลาที่ต่างกัน บางบริษัทมีระยะเวลาการทำงานเพียงไม่กี่ปี โดยมีเพียงบริษัทเดียวที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. 2549 จนถึง พ.ศ. 2558 ตามข้อมูลล่าสุดที่ปรากฏในเว็บไซต์ ดังต่อไปนี้

1. บริษัท Baker Botts L.L.P ตั้งอยู่ที่ The Warner, 1299 Pennsyvania Ave., NW, Washington DC ได้รับการว่าจ้างในปี 2549 และ 2550 โดยในแบบฟอร์มรายงานของบริษัทระบุประเด็นเฉพาะของการล็อบบี้ว่า เพื่อคิดค้นวิธีการทางยุทธศาสตร์เพื่อนำไปใช้สำหรับปัญหาด้านกฎหมายและการเมืองระหว่างประเทศที่ นายทักษิณ ชินวัตร เผชิญหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน โดยทางบริษัทจะทำการติดตามและประเมินนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีต่อรัฐบาลชั่วคราวของประเทศไทย

บริษัท Baker Botts L.L.P ระบุรายได้จากค่าจ้างรายไตรมาสว่าต่ำกว่า 10,000 เหรียญสหรัฐฯ

2. บริษัท Barbour Griffith & Rogers,LLC d/b/a BGR Holding (เปลี่ยนชื่อจาก Barbour Griffith & Rogers,LLC เมื่อ พ.ศ. 2551) ตั้งอยู่ที่ Tenth floor, 1275 Pennsyvania Ave., NW, Washington DC ได้รับการว่าจ้างในปี 2549 ต่อเนื่องถึงปี 2558 ตามรายงานล่าสุดในเว็บไซต์ ระบุประเด็นการทำงานว่าเพื่อนำเสนอแนวทางและให้คำแนะนำ (ต่อนายทักษิณ) ในประเด็นเรื่องผลประโยชน์ของนายทักษิณในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และต่างประเทศ

ในรายงานปลายปี 2549 บริษัท Barbour Griffith & Rogers,LLC d/b/a BGR Holding ระบุรายได้จากการว่าจ้างโดยนายทักษิณเป็นเงิน 160,000 เหรียญสหรัฐฯ หลังจากนั้นรายได้ลดลงเหลือไตรมาสละต่ำกว่า 5,000 เหรียญสหรัฐฯ

3. บริษัท Amsterdam & Peroff LLP ตั้งอยู่ที่ 601 13th Street NW, 11th Floor South, Washington DC โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงโตรอนโต ประเทศแคนาดา ได้รับการว่าจ้างจากนายทักษิณใน ปี 2553, 2554 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2555 โดยระบุชื่อ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม (Robert Amsterdam) และนาย แอนดรูว์ ดร์โควิค (Robert Darkovic) เป็นผู้รับผิดชอบ โดยระบุประเด็นการทำงานว่าเพื่อนำเสนอแนวทางและให้คำแนะนำ (ต่อนายทักษิณ) ในประเด็นเรื่องผลประโยชน์ของนายทักษิณในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และต่างประเทศ

บริษัทนี้อธิบาย “ลูกค้า” ซึ่งหมายถึง นายทักษิณ ชินวัตร ในแบบฟอร์มจดทะเบียนกิจกรรมในปี 2553 ว่าเป็น “อดีตนายกรัฐมนตรีและนักธุรกิจด้านโทรคมนาคม” โดยกลุ่มเป้าหมายของการวิ่งเต้นทางการเมืองตามที่ระบุในเอกสารรายงานไตรมาที่ 4 ของปีเดียวกันคือ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการคลัง สหรัฐฯ

รายได้ต่อไตรมาสของบริษัท Amsterdam & Peroff LLPตามที่ระบุไว้ในแบบฟอร์ม อยู่ระหว่าง ต่ำกว่า 5,000 เหรียญสหรัฐฯ และ ต่ำกว่า 10,000 เหรียญสหรัฐฯ

4. บริษัท Kobre & Kim LLP ตั้งอยู่ที่ 1919 M Street, N.W., Washington DC ได้รับการว่าจ้างในปี 2553 เพียงปีเดียว โดยระบุประเด็นการทำงานเช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆในกลุ่มคือเพื่อนำเสนอแนวทางและให้คำแนะนำ (ต่อนายทักษิณ) ในประเด็นเรื่องผลประโยชน์ของนายทักษิณในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และต่างประเทศ

เช่นเดียวกับบริษัท Amsterdam & Peroff LLP บริษัท Kobre & Kim LLP อธิบาย “ลูกค้า” ซึ่งหมายถึง นายทักษิณ ชินวัตร ในแบบฟอร์มจดทะเบียนกิจกรรมในปี 2553ว่าเป็น “อดีตนายกรัฐมนตรีและนักธุรกิจด้านโทรคมนาคม” กลุ่มเป้าหมายของการวิ่งเต้นทางการเมืองคือ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการคลัง สหรัฐฯ

รายงานในไตรมาสุดท้ายของปีชี้ว่าบริษัท Kobre & Kim LLP มีรายได้จากการให้บริการด้านการวิ่งเต้นทางการเมืองแก่นายทักษิณ เป็นเงิน 25,000 เหรียญสหรัฐฯ

5. บริษัท BGR Government Affairs ตั้งอยู่ที่ 601 13th Street NW, 11th Floor South, Washington DC ได้รับการว่าจ้างในปี 2558 โดยยื่นรายงานไตรมาสที่ 3 และ 4 ต่อทางการ

มีข้อน่าสังเกตว่า บริษัทนี้ใช้ที่อยู่เดียวกันกับบริษัท Amsterdam & Peroff LLP ซึ่งยุติการให้บริการนายทักษิณไปในปี 2555

ในขณะที่ไม่มีการระบุรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมการล็อบบี้ใดๆ บริษัท BGR Government Affairs รายงานรายได้ต่อไตรมาสว่า ต่ำกว่า 5,000 เหรียญสหรัฐฯ

จากการตรวจสอบยังพบว่า ทุกบริษัทต้องกรอกแบบฟอร์มรายงานทุกไตรมาส แต่ในแบบฟอร์มไม่มีเนื้อหาอะไรมาก จะมีคร่าวๆคือประเด็นในการล็อบบี้ ในกรณีนายทักษินในแบบฟอร์มจะบอกกว้างๆว่าเป็นเรื่อง "นโยบายต่างประเทศ" (หมายถึงของสหรัฐฯ)

ขณะที่ช่วงหลังจากปี 2012 เป็นต้นมา บริษัทล็อบบี้ต่างๆแม้จะส่งแบบฟอร์มแต่ไม่กรอกอะไรมาก แม้แต่เรื่องประเด็นการล็อบบี้

จะปล่อยว่างเอาไว้ เหมือนกับส่งแบบฟอร์มตามกฎหมายพอเป็นพิธีเพื่อรักษาไม่ให้ขาดตอน

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ในช่วงปี 2553 บริษัท อัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีรอฟฟ์ (Amsterdam & Peroff) เคยออกมาประกาศว่า บริษัทได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของนายทักษิณ ชินวัตรเพื่อช่วยในเรื่องการฟื้นฟูประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมในประเทศ

โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท อัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีรอฟฟ์ เคยกล่าวว่า "เราตั้งใจจะใช้ความรู้ทางฎหมายที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยครั้งนี้ พร้อมกันนั้นเราขอเรียกร้องให้ประชาคมโลกอย่าอดทนอดกลั้นต่อรัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ที่ชุมนุมอย่างสันติ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยซึ่งดำรงตำแหน่งในช่วงปี พ.ศ.2544-2549 ก่อนที่จะถูกรัฐประหาร ต้องเนรเทศตัวเองออกไปอยู่ต่างประเทศตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาแม้จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยหลายครั้ง ขณะที่กลุ่มผู้ประท้วงในกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เสียชีวิตไป 27 รายจากการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารในเดือนเมษายน 2553

อัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีรอฟฟ์ เป็นบริษัทที่ปรึกษากฎหมายระดับสากล ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2523 โดยโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม และ ดีน พีรอฟฟ์ บริษัทมีความเชี่ยวชาญด้านการฟ้องร้องดำเนินคดีที่ซับซ้อน อนุญาโตตุลาการพาณิชย์ และคดีความทางการเมืองในตลาดเกิดใหม่ที่มีความท้าทาย บริษัทมีสำนักงานในลอนดอน วอชิงตัน ดีซี และโทรอนโต

ก่อนที่ในช่วงปี 2555 โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม จะออกมาประกาศตัดสัมพันธ์เลิกล็อบบี้ช่วยทักษิณ พร้อมระบุว่า ในช่วงการทำงาน 2 ปีที่ผ่านมาได้ค่าจ้างไม่ถึง 5,000 เหรียญสหรัฐ

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 24 มีนาคม 2559    
Last Update : 24 มีนาคม 2559 11:50:11 น.
Counter : 428 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.