ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

20 เหตุผลที่แสดงว่า เมา



1.คุณชอบมีปากเสียงกับสิ่งไม่มีชีวิตเช่น...ป้ายรถเมล์ เสาไฟฟ้าถังขยะ ฯลฯ

2.ผลการตรวจเลือดของคุณแพทย์ระบุว่าพบปริมาณเลือดเจือจางในกระแสเหล้า

3.คุณเข้าใจผิดว่าอาหาร5หมู่ประกอบด้วย โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามินและเหล้า

4.คำพูดที่บ่อยที่สุดเวลานั่งคนเดียวคือ...เบียร์อีกแก้ว...เบียร์อีกแก้ว...เบียร์อีกแก้ว...และเบียร์อีกแก้ว

5.คุณต้องเกาะสนามหญ้าไว้แน่นเพราะกลัวตกจากโลก

6. ศีรษะของคุณเป็นแผลบ่อยที่บริเวณท้ายทอยและหน้าผากโดยไม่ทราบสาเหตุแพทย์สันนิษฐานว่ามันอาจกระแทกกับขอบโถส้วม

7.คุณมองเห็นภาพชัดกว่า...ถ้าหลับตาข้างหนึ่ง...และจะเห็นชัดมากขึ้นถ้าคุณ...หลับตาทั้ง2ข้าง

8.รูกุญแจสตาร์รถเคลื่อนที่หนีคุณได้และถนนนั้นส่ายไปมาเหมือนงู...ทำให้คุณขับรถด้วยความยากลำบาก

9.คุณคิดปัญหาเพียงอย่างเดียวของการดื่มเหล้าคือ "ไม่มีเหล้าดื่ม"

10.ผู้หญิงทุกคนที่คุณเห็นจะมีฝาแฝดคู่เหมือนยืนอยู่ข้างๆ

11.คุณตั้งชื่อสุนัขสองตัวโปรดที่บ้านว่า"วิสกี้"และ"โซดา"

12. คุณค้นพบว่าเบียร์5แก้วให้พลังงานคิดเป็นแคลอรี่เท่ากับข้าวแกงจานโตดังนั้นเพื่อเห็
นกับสุขภาพคุณจึงควรงดข้าวเย็น

13.ทุกครั้งที่คิดหาคำสนทนาที่เหมาะสมไม่ทันคุณไม่คั่นจังหวะด้วย"..เอ่อ.."แต่จะพูด"..เอิ๊ก.."

14.คุณมักหาปากไม่เจอ...บ่อยครั้งที่ดื่มโดยใช้จมูก

15.ยุงที่กัดคุณเป็นต้องตีลังกาตกท่อทุกตัวไป

16.คุณเดินอย่างมีจังหวะจะโคนอันเป็นรูปแบบเฉพาะตัวคือ...ก้าวไปซ้ายย้ายไปขวาเดินไปหน้าและถอยหลัง

17. คุณเห็นเสื้อตัวเองถอดไว้ที่เตียงกางเกงอยู่ในอ่างอาบน้ำแต่ปราการด่านสุดท้ายกลับตกอยู่นอกบ้าน

18.คุณพบว่าสาวงามที่คุณกอดไว้ในวงแขนและพากลับบ้านที่แท้คือกรวยยางจราจร

19.เพื่อนคุณไล่คุณกลับบ้านคุณจำเป็นต้องบอกให้เค้ารู้บ่อยๆว่า.."เรา...ไม่....มาว..."

20.ไม่ผ่าน กบว. (ข้อนี้ขอตัดออกนะครับ ไม่เอาไม่พูด อิๆ)




 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2553 19:37:42 น.
Counter : 1283 Pageviews.  

25 พฤศจิกายน วันวชิราวุธ

รัชกาลที่ 6



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก wjd.ac.th , maechai.ac.th , navi.mi.th , thaisamkok.com


เหล่า ข้าราชการ และลูกเสือ ย่อมจะไม่ลืมวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี เพราะวันดังกล่าวนี้ตรงกับวันวชิราวุธ ซึ่งกำหนดขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ผู้ทรงริเริ่มกิจการลูกเสือในประเทศไทย วันนี้กระปุกจึงนำเกร็ดความรู้ในวันสำคัญนี้มาฝากกันค่ะ

ความเป็นมาของวันวชิราวุธ

วันวชิราวุธ ตรงกับวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี สาเหตุที่กำหนดให้เป็นวันนี้ เนื่องจากตรงกับวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งทรงประกอบพระราชกรณียกิจที่เป็นประโยชน์
อย่างมากมายมหาศาลต่อประเทศ ชาติ ทั้งในด้านการคมนาคม การปกครอง กิจการเสือป่าและลูกเสือ รวมทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม และด้านวรรณคดี เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต ทางการจึงกำหนดให้วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันวชิราวุธ เพื่อเทิดพระเกียรติและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ทั้งนี้ภายหลังมีหลักฐานยืนยันว่า วันสวรรคตจริงตรงกับเช้ามืดช่วงตี 1 ของวันที่ 26 พฤศจิกายน แต่ทางราชการยังคงถือว่าวันที่ 25 พฤศจิกายน เป็นวันวชิราวุธ

พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 6
แห่ง ราชวงศ์จักรี ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง (สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี) พระราชสมภพเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423 มีพระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วมพระมารดารวม 8 พระองค์ ซึ่งมีพระอนุชาองค์เล็กคือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

เมื่อพระชนมพรรษาเจริญครบเดือน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ" ในปี พ.ศ.2431 เมื่อมีพระชนมพรรษา 8 พรรษา ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าฟ้า "กรมขุนเทพทวาราวดี" ให้ทรงมีพระเกียรติยศเป็นชั้นที่ 2 รองจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร และได้มีพระราชพิธีโสกันต์ในเดือนธันวาคม พุทธศักราช 2435

ขณะ ทรงพระเยาว์ พระองค์ได้ทรงศึกษาความรู้จาก พระศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) พระยาอิศรพันธ์โสภณ (หนู อิศรางกูร ณ อยุธยา) และหม่อมเจ้าประภากร ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ ทั้งในพระบรมมหาราชวัง และโรงเรียนสวนกุหลาบ จนเมื่อมีพระชนมพรรษา 12 พรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ นับเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ

ระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่ ณ ประเทศอังกฤษ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารได้สวรรคตเมื่อวันที่ 4 มกราคม พุทธศักราช 2437 พระองค์จึงได้รับการสถาปนาเฉลิมพระอิสริยยศขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สืบแทน และได้ประกอบพระราชพิธีขึ้นเมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ.2437 ที่ประเทศไทย และที่สถานทูตไทยในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2437 พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสอันเป็นพระวาทะอมตะว่า "ข้าพเจ้ากลับไปยังประเทศสยามเมื่อใด ข้าพเจ้าจะเป็นไทยให้ยิ่งกว่าวันที่ออกเดินทางมา"

พระองค์ทรงศึกษาสรรพวิชาหลายแขนง ทั้งการทหารบกที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกแซนเฮิสต์, วิชาประวัติศาสตร์และกฎหมายที่วิทยาลัยไครสต์ เซิช มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด และทรงพระราชนิพนธ์วิทยานิพนธ์ทางประวัติศาสตร์เรื่อง The War of the Polish Succession แต่ระหว่างที่ศึกษาอยู่ ทรงพระประชวรด้วยพระโรคพระอันตะ (ไส้ติ่ง) อักเสบ ทำให้ต้องทรงรับการผ่าตัดทันที จึงทรงพลาดโอกาสที่จะได้รับปริญญา

ปี พ.ศ.2447 พระองค์เสด็จออกพระผนวชตามราชประเพณี ประทับอยู่ประจำวัดบวรนิเวศวิหาร ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินยุโรปครั้งที่ 2 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานอำนาจในราชกิจไว้แด่พระองค์ในฐานะทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน

สมเด็จ พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 ซึ่งตรงกับวันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในครานั้นพระองค์ยังทรงโทมนัส และไม่มีพระราชประสงค์ที่จะแลกสิริราชสมบัติของพระองค์กับการสูญเสียพระชนม ชีพของสมเด็จพระบรมชนกนาถ จนกระทั่งเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี ข้าราชการชั้นต่างๆ มาเข้าเฝ้าเพื่อกราบถวายบังคมอัญเชิญเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชเป็นพระเจ้าแผ่น ดินสืบต่อสมเด็จพระบรมชนกนาถ เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 6 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระ บาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียว คือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงเพชรรัตนราชสุดาสิริโสภาพรรณวดี ประสูติแต่พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.2468 แต่หลังจากนั้นเพียง 1 วันคือวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2468 เวลา 1 นาฬิกา 45 นาที พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จสวรรคตด้วยพระโรคพระโลหิตเป็นพิษในพระอุทร รวมพระชนมพรรษาได้ 45 พรรษา รวมเสด็จดำรงสิริราชสมบัติได้ 15 พรรษา


รัชกาลที่ 6



พระราชกรณียกิจที่สำคัญ

ใน รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจที่สำคัญหลายด้าน ไม่ว่าจะด้านการปกครอง การศึกษา กิจการกองเสือป่า ด้านวรรณกรรม ฯลฯ อันเป็นสิ่งที่ยังให้เกิดความวัฒนาต่อสยามประเทศ ซึ่งจะยกมาเฉพาะพระราชกรณียกิจด้านสำคัญๆ ดังนี้

ด้านการศึกษา

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา จึงมีพระ
ราชกรณียกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษามากมาย เช่น

ทรงโปรดให้สร้างโรงเรียนมหาดเล็กหลวงขึ้นเป็นโรงเรียนในพระองค์ แทนการสร้างวัดประจำรัชกาล ที่เป็นไปตามโบราณราชประเพณีเมื่อพระมหากษัตริย์เสด็จขึ้นครองราชย์ จะต้องสร้างวัดประจำรัชกาลไว้เป็นอนุสรณ์ แต่พระองค์ทรงเห็นว่า ในสมัยก่อนการสร้างวัดมีขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานศึกษา จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสถานศึกษาขึ้นโดยตรง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ หัว รัชกาลที่ 7 ได้โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเป็นโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย เมื่อ ปี พ.ศ.2469

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


พ.ศ.2459 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกฐานะโรงเรียนข้าราชการพลเรือนในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็น "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" นับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย

พ.ศ.2464 ทรงตราพระราชบัญญัติประถมศึกษาเป็นครั้งแรก โดยกำหนดการศึกษาภาคบังคับให้เด็กทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปีบริบูรณ์ต้องเรียนหนังสือในโรงเรียนจนกระทั่งอายุครบ 14 ปีบริบูรณ์

ด้านเศรษฐกิจ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติคลังออมสินพุทธศักราช 2456 ขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักการออม จนเมื่อปี พ.ศ.2458 จึงจัดตั้งธนาคารออมสิน นอกจากนั้นแล้วพระองค์ยังทรงเห็นการณ์ไกล ว่า ในภายภาคหน้าจะต้องมีการสร้างบ้านเรือนและอาคารต่างๆ มากขึ้น เพื่อให้สอดรับกับการพัฒนาประเทศและเป็นไปตามแบบอารยประเทศ ดังนั้นพระองค์จึงทรงริเริ่มก่อตั้งบริษัทปูนซิเมนต์ไทยขึ้น เมื่อ ปี พ.ศ.2459

ด้านการคมนาคม

ในปี พ.ศ.2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้รวมกรมรถไฟที่เคยแยกกัน เป็น "กรมรถไฟหลวง" และเริ่มเปิดการเดินรถไฟสายกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ อีกทั้งรถด่วนระหว่างประเทศจากธนบุรีเชื่อมไปถึงปีนังและสิงคโปร์ และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานพระราม 6 เพื่อเชื่อมทางรถไฟไปยังภูมิภาคอื่น

ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข

ในปี พ.ศ.2455 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งวชิรพยาบาลและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ขึ้น อีกทั้งทรงเปิดสถานเสาวภา ในปี พ.ศ.2465 เพื่อรักษาคนที่ถูกสัตว์ร้ายกัด

ด้านการปกครอง

เมืองจำลอง ดุสิตธานี


พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนแปลงคำเรียกชื่อ "เมือง" เป็น "จังหวัด" แทน นอกจากนี้ในด้านการปกครอง เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นแม่แบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ประกอบกับในรัชสมัยของพระองค์ได้เกิดกบฏ ร.ศ.130 ขึ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง พระองค์ทรงคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเมืองไทยจะต้องมีการเปลี่ยนระบอบการ ปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างแน่นอน จึงมีพระราชดำริให้ทำการทดลองระบอบประชาธิปไตย โดยจัดตั้งเมืองจำลอง "ดุสิตธานี" ขึ้น ภายในพระราชวังดุสิต ในปี พ.ศ.2461 ก่อนจะย้ายมาที่พระราชวังพญาไทในปีถัดมา

จุด ประสงค์เพื่อทดลองการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยจัดให้มีพรรคการเมือง 2 พรรค มีหนังสือพิมพ์รายวันที่วิพากษ์ วิจารณ์การเมือง 3 ฉบับ ได้แก่ ดุสิตสมิตรายปักษ์ ดุสิตสมัย และดุสิตสักขี และทดลองให้มีการเลือกตั้งขึ้น แต่ดุสิตธานีได้สิ้นสุดลงหลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้า อยู่หัว

ด้านกิจการเสือป่าและลูกเสือ

รัชกาลที่ 6



พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดตั้งกองเสือป่าขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2454 มีจุดมุ่ง
หมาย เพื่อฝึกอบรมข้าราชการ พ่อค้า คหบดี ให้ได้รับการฝึกหัดอย่างทหาร เพื่อให้เป็นราษฎรที่เข้มแข็ง มีคุณภาพ และส่งเสริมความสามัคคี โดยเหล่าเสือป่าจะมีหน้าที่ในการรักษาความสงบทั่วไปในเมือง

ขณะเดียวกันก็ได้ทรงก่อตั้งกองลูกเสือขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง เพื่อฝึกให้เยาวชนมีความเข้มแข็ง อดทน เสียสละ สามัคคี ดังที่ได้พระราชทานคติพจน์ให้แก่คณะลูกเสือว่า "เสียชีพอย่าเสียสัตย์" และดังพระราชนิพนธ์บทละครพูดเรื่อง หัวใจนักรบ และ ความดีมีไชย ที่แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับบทบาทและหน้าที่ของลูกเสือ

ด้านการต่างประเทศ

ใน สมัยของพระองค์ ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้นในทวีปยุโรป ประเทศไทยได้ประกาศวางตัวเป็นกลาง แต่ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระบรมราชโองการ ประกาศสงครามกับประเทศฝ่ายเยอรมันเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 และได้เข้าร่วมกับประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อรักษาสิทธิของประเทศ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส่งทหารไทยอาสาสมัครไปร่วมรบในสมรภูมิในยุโรปด้วย จนเมื่อสงครามสิ้นสุดด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร ประเทศ ไทยจึงมีโอกาสเจรจากับประเทศมหาอำนาจหลายประเทศเพื่อแก้สนธิสัญญาที่ไม่เป็น ธรรม จนเป็นผลสำเร็จในปี พ.ศ.2469 ทำให้ไทยได้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตกลับคืนมา และสามารถเก็บภาษีอากรได้ตามกฎหมายไทย

การประกาศเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกการใช้ธงช้างเดิม เปลี่ยนมาใช้ธงไตรรงค์แทน ตามลักษณะสีธงชาติของประเทศที่เป็นสัมพันธมิตรกับประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2460 มาประเทศไทยจึงใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติ ทั้งนี้การไปร่วมรบในฐานะฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ทหารหลายนายเสียชีวิต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอนุสาวรีย์ทหารอาสาสงครามโลก ครั้งที่ 1 ไว้เป็นอนุสรณ์สถานที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของท้องสนามหลวง เมื่อ ปี พ.ศ.2462 เพื่อสดุดีวีรกรรมของบุคคลเหล่านั้น

ด้านศิลปวัฒนธรรมไทย

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงส่งเสริมและฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมในหลายๆ สาขา คือ

ด้านนาฏศิลป์ เนื่องจากพระองค์ทรงโปรดการแสดงโขนละคร จึงได้พระราชนิพนธ์บทละครไว้หลายเรื่อง และยังเคยทรงแสดงละครเวทีด้วยพระองค์เอง ต่อมาในปี พ.ศ.2454 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกรมมหรสพขึ้น เพื่อรวมเอากรมต่างๆ ในด้านมหรสพมารวมกันไว้ในที่เดียว และยังได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงละครหลวงไว้ในพระราชวังทุกแห่ง เพื่อใช้แสดงละคร

ด้านสถาปัตยกรรม พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งแบบไทยหลังแรก คือพระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์ขึ้นที่พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม เพื่อเป็นพระที่นั่งท้องพระโรงสำหรับเสด็จออก ใช้แสดงโขน และเป็นที่อบรมเสือป่า อีกทั้งทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างตึกอักษรศาสตร์ซึ่งเป็นอาคารเรียนหลักแรกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ด้านวัฒนธรรมไทย ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น เมื่อ พ.ศ.2456 ถือเป็นครั้งแรกที่คนไทยมีนามสกุลใช้สืบเชื้อสายวงศ์ตระกูล นอกจากนี้พระองค์ได้พระราชทานนามสกุลให้บุคคลต่างๆไว้ทั้งหมดประมาณ 6,432 นามสกุล ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้สตรีโสดให้ใช้คำว่า "นางสาว" นำหน้าชื่อ หากแต่งงานแล้วให้ใช้ "นาง" เพื่อสอดคล้องกับ "นาย" ของฝ่ายชาย รวมทั้งคำว่า "เด็กหญิง เด็กชาย" ด้วย

ด้านวรรณกรรมและหนังสือพิมพ์

พระ บาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระอัจฉริยภาพในด้านวรรณกรรมเป็นอย่างมาก พระองค์ได้พระราชนิพนธ์ชิ้นงานหลายประเภท ทั้งโขน ละคร พระราชดำรัส พระบรมราโชวาท พระบรมราชานุศาสนีย์ เทศนาปลุกใจเสือป่า นิทานชวนหัว คำประพันธ์ ร้อยกรอง สารคดี และบทความในหนังสือพิมพ์ ซึ่งมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยทรงใช้พระนามแฝงอยู่หลายชื่อ เช่น ศรีอยุธยา รามจิตติ พันแหลม อัศวพาหุ เป็นต้น

พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ส่งเสริมการแต่งหนังสือเพื่อฟื้นฟูวรรณกรรม โดยให้ตราพระราชบัญญัติวรรณคดีสโมสรขึ้นเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พุทธศักราช 2457 เพื่อพิจารณายกย่องหนังสือไทยประเภทต่างๆ ที่แต่งได้ดีเยี่ยม ซึ่งพระราชนิพนธ์ของพระองค์ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรได้แก่ บทละครพูดเรื่องหัวใจนักรบ ,บทละครพูดคำฉันท์เรื่องมัทนะพาธา และพระนลคำหลวง นอกจากนี้ในรัชสมัยของพระองค์ ยังได้เกิดนักกวีสำคัญๆ หลายคน เช่น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี พระยาอนุมานราชธน นายชิต บุรทัต เป็นต้น

ด้าน การหนังสือพิมพ์ พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติการพิมพ์ฉบับแรกขึ้นเรียกว่า พระราชบัญญัติสมุดเอกสารและหนังสือพิมพ์ พุทธศักราช 2465 และพระองค์ได้พระราชนิพนธ์บทความสำคัญๆ จำนวนมากลงในหนังสือพิมพ์ เช่น ยิวแห่งบูรพทิศ ลงในหนังสือพิมพ์ สยามออบเซอร์เวอร์ และ โคลนติดล้อ ลงในหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย งานพระราชนิพนธ์ของพระองค์เรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจนถึงกับมี ประชาชนเขียนล้อเลียนโต้ตอบลงในหนังสือพิมพ์กรุงเทพเดลิเมล์ ในชื่อ "ล้อติดโคลน"

พระเกียรติคุณ

ด้วยพระราชกรณียกิจที่ทรงสร้างให้กับประชาชนชาวไทยอย่างมากมายมหาศาล ปวงชนชาวไทยจึงรวมใจกันถวายพระราชสมัญญาว่า "พระมหาธีรราชเจ้า" อันหมายถึงมหาราชผู้ทรงเป็นจอมปราชญ์ เพื่อเป็นการยกย่องและเทิดพระเกียรติคุณแด่พระองค์

ทั้งนี้ในวาระครบรอบ 100 ปี วันพระบรมราชสมภพ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2524 องค์การศึกษาวิทยา
ศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) จึงได้ยกย่องพระองค์ท่านให้เป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลก
พร้อมกับได้มีพระราชพิธีเปิดอาคารหอวชิราวุธานุสรณ์ ซึ่งสร้างขึ้นในบริเวณหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี เพื่อเก็บรวบรวมพระราชนิพนธ์เรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ท่านไว้ให้ประชาชนได้ ค้นคว้าศึกษา อีกทั้งยังใช้เป็นสถานที่จัดแสดงละครพระราชนิพนธ์

คุณูปการ ในหลายๆ ด้านที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีต่อประเทศไทย ทำให้เหล่าข้าราชการ ตลอดจนพสกนิกรทั้งหลายสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้ร่วมกันบริจาคทรัพย์เพื่อจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ขึ้นบริเวณหน้า สวนลุมพินี โดยเป็นพระบรมรูปยืนขนาดใหญ่ในฉลองพระองค์จอมทัพบก มีศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี เป็นผู้ออกแบบ และได้ทำพิธีเปิดไปเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.2485 ก่อนที่จะมีการกำหนดให้วันที่ 25 พฤศจิกายน เป็นวันถวายบังคมพระบรมรูปเป็นประจำทุกปี

กิจกรรมในวันวชิราวุธ


วันวชิราวุธ


ทุกปี เหล่าผู้บังคับบัญชาลูกเสือ ลูกเสือ และเนตรนารี จะจัดพิธีวางพวงมาลาและถวายราชสดุดี เพื่อน้อมรำลึกถึงวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ได้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทยขึ้น


ดังจะเห็นว่า พระราชกรณียกิจที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพัฒนาไว้ ล้วนแต่
เป็น รากฐานที่นำไปสู่ความเจริญของประเทศไทย เราคนไทยจึงควรรำลึกถึงวันวชิราวุธซึ่งตรงกับวันคล้ายวันสวรรคตของพระองค์ เพื่อเทิดพระเกียรติและตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณสืบไป



ขอขอบคุณข้อมูลจาก




 

Create Date : 25 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2553 21:31:12 น.
Counter : 2018 Pageviews.  

การผูกเชือกรองเท้า--ไม่ให้หลุดออกมาได้อย่างง่าย ๆ




 

Create Date : 24 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2553 21:24:26 น.
Counter : 2937 Pageviews.  

ใบมะลิลบรอยแผลเป็น



บ้าน ใครปลูกมะลิจนออกดอกหอมฟุ้งให้ได้เก็บมาลอยน้ำดื่มให้ชื่นใจ ค่ำนี้ตอนเก็บดอกหอมๆ อย่าลืมชำเลืองดูใบสีเขียวสดของเขาสักหน่อย เพราะใบมะลิก็มีดีไม่แพ้กันค่ะ

โบราณใช้ใบมะลิเป็นสมุนไพรในการรักษาแผล เช่น แผลพุพอง ฝีดาษ นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณรักษาแผลเป็นได้เป็นอย่างดี ทั้งแผลเป็นจากอีสุกอีใส จากสิว ตลอดจนบาดแผลที่เกิดจากรอยขีดข่วน การบาดจากของมีคม แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

สำหรับ วัยรุ่นที่ร้อยทั้งร้อยยังชอบการผจญภัย บ่อยครั้งที่ความโลดโผนก็ทิ้งแผลเป็นไว้เป็นของฝากตามแขนขา ลองใช้สมุนไพรไทยแท้แบบใบมะลิดูค่ะ

ก่อนอื่นต้องตามหานางเอกใจดีอย่างแม่มะลิให้ได้เสียก่อน เมื่อได้มาแล้ว หาก เกิดบาดแผล เช่น แผลจากรอยขีดข่วน จากการบาดของมีด แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก เมื่อรักษาจนแผลเริ่มแห้งตกสะเก็ดและสะเก็ดลอกหลุดออกแล้ว ให้เลือกใบมะลิจะเป็นมะลิลาหรือมะลิซ้อนก็ได้ โดยเลือกจากต้นที่ไม่ได้ฉีดยา ฆ่าแมลง หรือใช้สารเคมี สัก 2-3 ใบ ล้างให้สะอาด นำมาตำหรือบดพอละเอียด คั้นเอาแต่น้ำ นำมาทาบริเวณแผลเป็นวันละ 3-4 ครั้ง

เมื่อแผลเป็นเริ่มจาง และไม่มีอาการเจ็บ สามารถนำใบมะลิมาถูเบาๆ บริเวณรอยแผลเป็นได้โดยตรง วันละ 3-4 ครั้ง เช่นเดียวกัน

สำหรับ รอยแผลเป็นจากสิวที่มีทีท่าว่าจะหายช้า ให้ผสมน้ำคั้นใบมะลิ น้ำมะนาว และดินสอพองลงเข้าด้วยกัน ทาบริเวณรอยแผลเป็น จะช่วยสมานผิวและผลัดเซลล์ผิวให้รอยแผลเป็นจางหายไปเร็วยิ่งขึ้น

สมุนไพรสูตรนี้ใช้ได้กับทุกคนในครอบครัว ปลอดภัยไม่ต้องกลัวอาการแพ้ค่ะ




ที่มา Cheewajit.com




 

Create Date : 23 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2553 22:33:52 น.
Counter : 1589 Pageviews.  

เคล็ดลับประหยัด ไม่ให้บิลค่าไฟเพิ่มขึ้น



ยุค นี้นับว่าเป็นยุคที่เราควรประหยัดค่าใช้จ่าย ที่สำคัญควรจะหันมาตื่นตัวเรื่องการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด และมีประสิทธิภาพกันอย่างเต็มที่ คนส่วนใหญ่รู้หลักการใช้เครื่องไฟฟ้าเพียงการ " ปิด-เปิด " แต่ไม่รู้ถึงวิธีการใช้งานอย่างถูกต้องเพื่อให้เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นๆ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีอายุยืนนาน และที่สำคัญที่สุดคือสามารถประหยัดไฟได้ ต่อไปนี้คือ กลวิธีในการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ


แสงสว่าง หันมาใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ หรือหลอดนีออนแทนหลอดไส้ เนื่องจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ให้แสงสว่างมากกว่าถึง 4 เท่า และมีอายุการใช้งานนานกว่า 8 เท่า และควรหมั่นทำความสะอาดหลอดไฟและโคมไฟอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ได้แสงสว่างเต็ม ที่

วิทยุโทรทัศน์ ปิดสวิทช์ที่เครื่องและถอดปลั๊กทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน เพราะแม้ปิดสวิทช์แล้วก็ยังคงมีกระแสไฟฟ้าส่วนหนึ่งมาเลี้ยงที่ระบบเครื่อง อยู่ตลอดเวลา จึงควรถอดปลั๊กด้วยนั่นเอง

ตู้เย็น ควร เลือกซื้อที่ได้รับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เนื่องจากใช้ไฟน้อยกว่าตู้เย็นที่ได้รับฉลากเบอร์ต่ำกว่า ทั้งนี้ตำแหน่งที่วางตู้เย็นต้องห่างจากผนังอย่างน้อย 30 ซม.เพื่อให้ตู้เย็นระบายความร้อนได้สะดวก ตู้เย็นที่มีการใช้งานต้องตรวจสอบระบบยางขอบตู้อยู่เป็นประจำว่า ระบบแม่เหล็กนั้นยังทำงานสมบูรณ์หรือไม่ ซึ่งทำได้ง่ายๆ โดยการทำความสะอาดขอบยางตู้เย็นด้วยน้ำสบู่และเช็ดให้แห้ง หลังจากนั้นนำแผ่นกระดาษมาสอดระหว่างขอบยางกับขอบตู้เย็นแล้วปิดประตูตู้ เย็นหากกระดาษหล่นหรือสามารถดึงกระดาษออกได้ง่าย แสดงว่าขอบยางตู้เย็นเสื่อมสภาพ ควรเปลี่ยนขอบยางใหม่

เครื่องปรับอากาศ ให้ เลือกซื้อเครื่องปรับอากาศที่ได้รับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ทั้งนี้ ในแต่ละฤดูจะต่างกันคือเมื่อเปิดเครื่องปรับอากาศโดยตั้งอุณหภูมิที่ 25 องศา จะมีส่วนต่างของอุณหภูมิแค่ 2 องศา อุณหภูมิ 1 องศาที่เปลี่ยนไป จะใช้ไฟเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% และในฤดูร้อนเครื่องปรับอากาศจะทำงานเกือบตลอดเวลา ทำให้การใช้ไฟเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ นอกจากนั้นควรหมั่นทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ หลีกเลี่ยงการตั้งอุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศา หรือการติดตั้งฉากกั้นชนิดชั่วคราวเพื่อจำกัดพื้นที่ที่ต้องการความเย็น ก็จะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าจากเครื่องปรับอากาศลงได้

เตาไฟฟ้า ให้ เลือกชนิดที่เป็นแผ่นความร้อนมองไม่เห็นขดลวด เพราะจะสูญเสียความร้อนน้อยกว่า และเวลาใช้งานควรใช้งานอย่างต่อเนื่อง ไม่เปิด ๆ ปิด ๆ บ่อย ๆ

เครื่องซักผ้า ควร รวบรวมผ้าตามน้ำหนักคู่มือที่กำหนดไว้ ให้เหลือช่องว่างภายในเครื่องขนาดเท่าฝ่ามือหนุนพลิกได้ ในระหว่างซักหากเครื่องสั่นผิดปกติแสดงว่าน้ำหนักผ้าเกิน ซึ่งเครื่องจะทำงานหนัก และหากไม่จำเป็นไม่ควรใช้ระบบซักน้ำร้อน เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองพลังงาน

หม้อหุงข้าว กาต้มน้ำร้อน หม้อหุงข้าว เมื่อข้าวสุกแล้วให้ดึงปลั๊กออก ความร้อนจะยังคงอยู่ได้หลายชั่วโมง ส่วนกาต้มน้ำร้อนเมื่อน้ำร้อนเดือดแล้วให้ถอดปลั๊กและถ่ายน้ำร้อนใส่กระติก น้ำร้อนโดยเฉพาะ เพื่อนจะได้เก็บความร้อนได้ดีและนาน

เครื่องทำน้ำอุ่น เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟมากที่สุด ฉะนั้น ควรปรับระดับความร้อนให้พอดี และปิดทันทีเมื่อเลิกใช้งาน

รู้แบบนี้แล้วก็ย่าลืมทำตามคำแนะนำกันนะคะ จะได้เป็นการช่วยกันประหยัดพลังงาน ลดโลกร้อนได้ด้วย




 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2553 20:53:37 น.
Counter : 1301 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.