ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

ฝึกสมองให้ฉลาดโดยการ "อ่านให้เร็ว"



โดยปกติแล้วโดยเฉลี่ยคน เรามีความสามารถในการอ่านได้ประมาณ 125-250 คำต่อนาที แต่เราสามารถพัฒนาความสามารถในการอ่านของเราได้ถึง 500-1000 คำ ต่อนาที หากเรามีความสามารถในการอ่านเร็ว นั่นหมายความว่าใน 5 นาที เราอ่านคำต่างๆได้ถึง 2,500 คำ ซึ่งจะช่วยให้เราประหยัดทั้งเวลาและพัฒนาความรู้ให้กว้างไกลยิ่งขึ้น การอ่านหนังสือเร็วและจับใจความได้เป็นขั้นตอนของการใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับ สิ่งนั้น


โดยเทคนิค 3 ข้อนี้จะช่วยให้เรามีสมาธิในการอ่านดีขึ้น

1. กำจัดสิ่งที่รบกวนออกไป ทุกสิ่งที่ทำให้เราขาดสมาธิในการอ่านไม่ว่าจะเป็น เช่น เสียงทีวี เสียงวิทยุ กลิ่น ยุง หรือบรรยากาศอื่นๆที่ทำให้เราคิดฟุ้งซ่านไม่สามารถมีสมาธิจดจ่อต่อสิ่งที่ เราจะอ่านได้นั้น ควรกำจัดออกไป

2. หาเหตุผลในการอ่านและสร้างจุดสนใจ ถามตัวเองว่าทำไมต้องอ่าน สร้างแรงจูงใจ จะช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนในการอ่านได้ ทำให้รู้สึกอยากอ่านและมีใจจดจ่อ หากเราอ่านธรรมดาและไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้นจะทำให้ไม่อยากอ่าน หากไม่สามารถทำได้ให้ออกไปทำกิจกรรมอย่างอื่นก่อน แล้วกลับมาคิดถึงจุดสนใจของสิ่งที่จะอ่านใหม่จะช่วยให้มีสมาธิในการอ่านได้

3. หยุดพักเป็นระยะ หยุดพักการอ่านเมื่อจบบท เพื่อทบทวนสิ่งที่เราอ่านไปแล้ว อาจจดบันทึกไว้ด้วย เพื่อว่าเมื่อเรากลับมาอ่านใหม่สมองจะเปิดรับสิ่งที่จะอ่านต่อไปได้ดีขึ้น มากกว่าการทนอ่านไปเรื่อยๆ เพราะจะทำให้สมองล้า และการหยุดพักในการอ่านบ้างจะช่วยให้จับใจความได้ดีขึ้น ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยพัฒนาการอ่านให้ดีขึ้นคือการกำขัดสิ่งที่รบกวนออกไป หาเหตุผลและความสนใจในการอ่านและหยุดพักสายตาบ้าง จะช่วยให้เรามีสมาธิในการอ่านดีขึ้น


คราวนี้ลองมาดูเทคนิคในการอ่านเร็วกันบ้าง

1. ลองหยิบหนังสือเล่มเก่ามาอ่านใหม่ ฝึกการอ่านเร็วโดยการหยิบ หนังสือที่เคยอ่านมาแล้วมาอ่านอีกครั้ง เพราะเราทราบแล้วว่าเรื่องราวในหนังสือเป็นอย่างไร จะทำให้ง่ายขึ้น จับเวลาอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วลองแข่งกับเวลาดู การอ่านโดยรู้เรื่องราวมาก่อนแล้วจะทำให้เรามีสมาธิ อ่านได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ความเร็วในการอ่านจะค่อยๆดีขึ้นและเราจะพัฒนาการอ่านหนังสือ

2. ทำความคุ้นเคยกับสิ่งที่จะอ่าน เช่น สังเกตโครงสร้างของหนังสือ รู้จักปกหน้า ปกหลัง สารบัญ ดัชนี บรรณานุกรม

3. ใช้เทคนิค scanning (แบบค้นหา) ก่อนเริ่มการ อ่าน พูดง่ายๆคือหาประเด็นสำคัญในการอ่านให้พบ เป็น scanning คือการกวาดตาอย่างรวดเร็วเพื่อหาเป้าหมายหรือข้อมูลสำคัญ เราต้องรู้ว่าเราอ่านเพื่อค้นหาอะไรอยู่ เหมือนเวลาเราตรวจสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือการตรวจผลรางวัลรายชื่อการจับฉลาก เป็นต้น

4. ใช้เทคนิค skimming (กวาดสายตาในการอ่าน) เราควรกวาดสายตาคร่าวๆ หาคำสำคัญ หรือประเด็นสำคัญอีกครั้งหลังการอ่าน skimming (กวาดสายตาในการอ่าน)จะช่วยให้เข้าใจสิ่งที่อ่านมากขึ้น การจับประเด็นสำคัญได้ จะทำให้เราทราบว่าผู้เขียนต้องการอะไร และทำให้การอ่านของเรามีชัยไปกว่าครึ่ง

5. ทำเครื่องหมายในขณะที่อ่านไปด้วย ขีดเส้นใต้หรือทำเครื่องหมายกำกับไว้เมื่อเห็นข้อความสำคัญ สิ่งนี้จะช่วยในการจับใจความ และทำให้การอ่านของเราเร็วขึ้น อย่าทำเครื่องหมายไว้ทั้งหน้า เอาแค่ประเด็นสำคัญเท่านั้น ทำเครื่องหมายไว้ประมาณ 10%ของทั้งหมด ส่วนอีก 90%เป็นรายละเอียดของเนื้อหาซึ่งต้องอ่านให้เข้าใจ การทำเครื่องหมายจับประเด็นสำคัญๆเอาไว้จะทำให้การอ่านของเราง่ายขึ้นและรวด เร็วขึ้นในเวลาเดียวกัน

6. การอ่านหนังสือที่ถูกต้องไม่จำเป็นต้องออกเสียงออกมาด้วย และไม่ต้องสะกดที่ละคำ เพราะจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Cambridge สหรัฐอเมริกาค้นพบว่าสมองของเราถูกออกแบบมาให้อ่านโดยภาพรวม เช่น ฉัรนกัธเอ ก็สามารถอ่านออกได้ทันทีว่า ฉันรักเธอ ดังนั้นการอ่านออกเสียงจะทำให้สมองต้องทำงานหลายขั้นตอน

7. อ่านแล้วสร้างภาพขึ้นในสมองด้วย จะทำให้การทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น เช่น ฉันเห็นนกสีแดงเล็กๆบินสูงบนท้องฟ้าสีคราม

8. ปัจจัยที่ทำให้การอ่านช้าลง คือ ความเหนื่อยล้า การขาดแรงจูงใจ การค่อยๆ อ่านไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมาย และการอ่านแบบต้องการความเข้าใจแบบ 100%รวดในครั้งเดียว

จากหนังสือ Speed Reading Manual ทำให้ทราบว่าหากเราฝึกความสามารถในการอ่านเร็วได้ นอกจากจะเป็นการพัฒนาให้เรามีความรู้ที่กว้างไกลแล้ว การอ่านเร็วนั้นเป็นพัฒนาสมองของเราให้ฉลาดขึ้นโดยไม่รู้ตัวด้วย ขอเป็นกำลังใจให้ผู้อ่านทุกคนค่ะ




ที่มา //www.vcharkarn.com/







 

Create Date : 05 สิงหาคม 2554    
Last Update : 5 สิงหาคม 2554 8:30:14 น.
Counter : 1925 Pageviews.  

เรื่องน่ารู้ของ "หิ่งห้อย"



"หิ่งห้อย" แมลงตัวน้อย สามารถผลิตแสงได้ด้วยตนเอง ดูสวยงามในเวลากลางคืน มาทำความรู้จักเจ้าพวกนี้เพิ่มขึ้นกันเถอะ


"หิ่งห้อย" หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ทิ้งถ่วง" เป็นแมลงปีกแข็งชนิดหนึ่ง มีแสงเรือง ๆ ที่ก้น ถ้าตัวโตเต็มวัยเพศผู้จะมีปีก ส่วนเพศเมียมีทั้งมีปีกและไม่มี หรือไม่ก็สั้นมาก มีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 3-12 เดือน แล้วแต่ประเภท หิ่งห้อยสามารถสร้างแสงได้ทุกช่วงเวลาของชีวิต ทั้งระยะหนอน ดักแด้ และตัวโตเต็มวัย ส่วนระยะไข่ทำแสงได้เฉพาะบางชนิดเท่านั้น เหตุผลในการกะพริบแสงก็เพื่อหาคู่ผสมพันธุ์ อวัยวะที่ทำให้เกิดแสงของหิ่งห้อย อยู่ด้านใต้ของปล้องท้องสองปล้องสุดท้ายในตัวผู้ และสามปล้องสุดท้ายในตัวเมีย


แสงของหิ่งห้อยเกิดจากกระบวนการทางเคมี คือสารลูวิเฟอรินทำปฏิกิริยากับออกซิเจนและได้รับพลังงาน เอทีพี ซึ่งเป็นโปรตีนที่ให้พลังงานในเซลล์ มีความเชื่อว่าแสงจากหิ่งห้อยตัวโตเต็มวัย 7 ตัว สามารถให้แสงเพียงพอต่อการอ่านหนังสือในเวลากลางคืนได้ หิ่งห้อยที่บินว่อนตามพุ่มไม้เป็นหิ่งห้อยตัวผู้ ส่วนตัวเมียชอบเกาะนิ่งตามกิ่งไม้


ระยะที่เป็นหนอน หิ่งห้อยจะกินอาหารจำพวก หอยฝาเดียว ไส้เดือน กิ้งกือ และแมลงตัวเล็ก ๆ หิ่งห้อยตัวเต็มวัยไม่กินอาหาร กินแต่น้ำหรือน้ำค้าง ต้นลำพูเป็นพืชที่มีขนที่ใบจึงมีน้ำค้างเกาะอยู่เป็นจำนวนมาก จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หิ่งห้อยชอบไปเกาะ ในอดีตบริเวณปากคลองบางลำพู เคยมีหิ่งห้อยเป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันก็ลดลงไปในที่สุด เมื่อวิถีชีวิตของผู้คนแถบนั้นเปลี่ยนไป


สถานที่ชมหิ่งห้อยที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน
เช่น ที่ริมคลองตลาดน้ำอัมพวา อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เกาะลัด อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีมากในช่วงฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ตุลาคม ควรเลือกชมในคืนเดือนมืด เพราะสามารถเห็นแสงของหิ่งห้อยได้อย่างชัดเจน.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 

Create Date : 04 สิงหาคม 2554    
Last Update : 4 สิงหาคม 2554 7:36:48 น.
Counter : 1571 Pageviews.  

วิธีทำความสะอาดเครื่องหนีบผมไฟฟ้า แบบง่ายๆ



วิธีทำความสะอาดเครื่องหนีบผมไฟฟ้า แบบง่ายๆ

สาวๆ ทั้งหลายที่มีเครื่องหนีบผมไฟ้ฟ้าอยู่ต้องฟังทางนี้เลยนะค่ะ เพราะว่าวันนี้เราได้นำเอาวิธีทำความสะอาดเครื่องหนีบผมไฟฟ้ามาบอก ให้รู้กันค่ะ หลายๆ ครั้งที่เราเริ่มใชเครื่องหนีบผมไฟฟ้าคุณรู้ไหมว่าเครื่องหนีบผมไฟฟ้ามักจะ ค่อยๆ หมักคราบสเปรย์ที่เราใช้ในการแต่งเส้นผม

และสาเหตุที่ทำให้เกิดคราบติดที่เครื่องหนีบผมไฟฟ้าก็คือความร้อนนั่นเองค่ะ และเพื่อยืดอายุการใช้งานเครื่องหนีบผมไฟฟ้าเราก็ควรที่จะทำความสะอาด เครื่องหนีบผมไฟฟ้าบ้างนะค่ะ แต่ก็อย่างว่าค่ะสำหรับคนที่ไม่รู้ วิธีทำความสะอาดเครื่องหนีบผมไฟฟ้า อาจจะมองเป็นเรื่องยาก

วันนี้เราจึงได้นำเอา วิธีทำความสะอาดเครื่องหนีบผมไฟฟ้า แบบง่ายๆ มาบอกให้รู้กันค่ะ สำหรับ วิธีทำความสะอาดเครื่องหนีบผมไฟฟ้า เป็นวิธีที่รับรองได้เลยว่าจะสามารถช่วยขจัดคราบรอยไหม้บนเครื่องหนีบผม ไฟฟ้าได้เป็นอย่างดีแน่นอนค่ะ งั้นสาวๆ ก็เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมแล้วเข้าไปทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งผมไฟ้ฟ้ากันได้เลย ค่ะ

วิธีทำความสะอาดเครื่องหนีบผมไฟฟ้า


เช็ดเครื่องหนีบผมไฟฟ้าด้วยแอลกอฮอล์เช็ดแผลหรือผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำให้เป็นส่วนผสมข้นๆ ทาลงบนพื้นผิวโลหะในขณะที่เย็นสนิท (และอย่าลืมถอดปลั๊กออกด้วยล่ะ!) แล้วใช้ผ้าชุบน้ำพอชื้นๆ ค่อยๆ ขัดจนคราบสกปรกหลุดออก


Lisa




 

Create Date : 02 สิงหาคม 2554    
Last Update : 2 สิงหาคม 2554 8:05:49 น.
Counter : 7785 Pageviews.  

โรคซึมเศร้าในประเทศพัฒนาแล้ว



ผลการศึกษาจากหลายประเทศทั่วโลกระบุว่า ประเทศพัฒนาแล้วจะมีประชากรที่มีความหดหู่มากกว่าประเทศด้อยพัฒนา

ผลการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา พบว่าในหมู่ประเทศต่างๆทั่วโลก ประเทศที่มีความเจริญแล้ว จะมีจำนวนประชากรที่มีโรคซึมเศร้ามากกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา

การศึกษานี้ สำรวจจาก 18 ประเทศทั่วโลก โดยตั้งข้อสังเกตว่าในช่วงชีวิตของคนใน 10 ประเทศที่มั่งคั่งมีคนเป็นโรคซึมเศร้าถึง 14.6% โดยเฉพาะในฝรั่งเศสมีเปอร์เซนต์ประชากรที่เป็นโรคซึมเศร้าถึง 21% และในสหรัฐอเมริกามี 19.2% ซึ่งอายุโดยเฉลี่ยของผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าในประเทศที่พัฒนาแล้วอยู่ที่ 25-26 ปี

ตัวอย่างประเทศพัฒนาแล้วที่มีประชากรเป็นโรคซึมเศร้าสูง นอกจากฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ (17.9%) นิวซีแลนด์ (17.8%) เบลเยี่ยม (14.1%)

ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา มีเปอร์เซนต์คนเป็นโรคซึมเศร้าน้อยกว่า เช่น ประเทศจีน (6.5%) เม็กซิโก (8%) อินเดีย (9%) เลบานอน (10.9) ฯลฯ

ผลการศึกษานี้ มาจากการสำรวจด้วยวิธีสัมภาษณ์ส่วนตัวกับประชากรจำนวน 89,037 ใน 18 ประเทศ ซึ่งผู้ถูกสัมภาษณ์จะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับ อาการซึ่มเศร้า แบบแผนการหลับ ความสนใจในกิจกรรมประจำวันรวมไปถึงคำถามเกี่ยวกับ เพศ อายุ รายได้ต่างๆ

สาเหตุที่มีประชากรเป็นโรคซึมเศร้าในประเทศที่มั่งคั่งมากกว่าประเทศกำลัง พัฒนานั้นยังไม่เป็นที่ชัดเจนแต่นักวิจัยชี้ว่า อาจมาจากความรู้สึกไม่เสมอภาคทางรายได้ที่ประเทศมั่งคั่งต่างๆต้องเจอ นอก จากนี้ยังพบว่า คนอเมริกัน และคนยุโรปมีอารมณ์ที่แตกต่างกันไป เช่น การที่คนยุโรปจะรู้สึกหดหู่ เมื่อพวกเขารู้สึกว่าทำงานหนักเกินไป ในขณะที่คนอเมริกันจะรู้สึกต่อเมื่อพวกเขาได้ทำงานที่น่าเบื่อมากเกินไป

ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม โรคซึมเศร้าและภาวะหดหู่เป็นเรื่องที่น่ากังวลยิ่ง แต่ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยคุณสามารถเข้าไปที่
My Mood Monitor (M-3) เว็บไซต์ที่จะสอบถามคุณเพื่อทดสอบว่าคุณอยู่ในสภาวะหดหู่หรือไม่ หรือมีอัตราเสี่ยงต่อสภาวะหดหู่มากน้อยเพียงใด





ที่มา //life.voicetv.co.th/









 

Create Date : 01 สิงหาคม 2554    
Last Update : 1 สิงหาคม 2554 8:34:32 น.
Counter : 1620 Pageviews.  

8 อาหารทำให้ "ง่วงนอนตลอดเวลา"



          คุณเคยส่งสัยตัวเองบ้างไหมค่ะว่าทำไมถึงได้มีอาการง่วงนอนตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม นั้นคุณลองสังเกตุตัวเองดูนะค่ะว่าได้กินอาหารที่มีสาเหตุของการง่วงนอนตลอดเวลาบ้างรึเปล่าค่ะ 

     1. กาแฟ ดื่มกาแฟตอนเช้าโดยที่กระเพาะอาหารยังว่างเปล่าจะทำให้ง่วงได้ เพราะหลังจากดื่มกาแฟได้ 30 นาที กาเฟอีนจะเข้าไปในกระแสเลือดและไปที่สมองส่งผลให้ออกซิเจนที่ส่งไปยังสมองถูกสกัดกั้นแล้วความง่วงก็จะตามมา

     2. กล้วย เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานอย่างรวดเร็วช่วยสลายความเครียด ฮอร์โมนเซโรโทนินและนอร์เอพิเนฟรินจากกล้วยจะช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข แต่ถ้ารับประทานกล้วยมากเกินไปจะทำให้เราเกียจคร้านและไม่อยากขยับเคลื่อนไหวร่างกาย

     3. ช็อกโกแลต สาร Phenylethylamine ในช็อกโกแลตจะทำให้ง่วงนอน ดังนั้น ช็อกโกแลตจึงเปรียบเสมือนยาที่ช่วยให้นอนหลับและถ้าหากมีโกโก้ในปริมาณสูงก็จะทำให้รู้สึกมีความสุข

     4. ครัวซองต์ หากรับประทานครัวซองต์ 2-3 ชิ้นจะรู้สึกง่วงนอน เพราะครัวซองต์มีปริมาณแป้งขัดขาวมากและอุดมไปด้วยไขมันอีกด้วยซึ่งไขมันจำเป็นต้องใช้พลังงานในการย่อย ดังนั้น เมื่อรับประทานครัวซองต์เข้าไปร่างกายก็จะดึงเลือดจากสมองไปที่กระเพาะเป็นจำนวนมากเมื่อสมองมีเลือดหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอก็จะทำให้ง่วงนอน หากคุณต้องทำงานเร่งด่วนก็ควรรับประทานครัวซองต์ได้แค่ชิ้นเล็ก ๆ หนึ่งชิ้น 

     5. ขนมปังขาวและข้าวขาว อาหารทุกชนิดที่ทำมาจากแป้งขัดขาวเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้ง่วงเหตุผลก็คือ มันเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดเร่งด่วนจึงทำให้ตับอ่อนต้องหลั่งอินซูลินออกมามากจึงทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงและทำให้ง่วงนอน

     6. ถั่วเปลือกแข็ง มีกากใยอาหารมากซึ่งจะไปชะงักกระบวนการย่อยอาหารและยังถูกส่งต่อไปยังลำไส้ใหญ่โดยไม่ได้ย่อย และกระตุ้นแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่จัดการกับกากใยอาหาร ผลก็คือทำให้ท้องอืดเฟ้อและง่วงนอนโดยเฉพาะถ้ารับประทานถั่วผสมเกลือก็จะทำลายวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบีซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า

     7. ของหวาน เช่น ขนมหวาน เค้ก คุกกี้ เครื่องดื่มหวาน ๆ น้ำตาล ทำให้ง่วงนอนและยังเป็นตัวแย่งวินามินบีไปจากร่างกายเราด้วย เช่น วิตามินบี 1 บี 3 บี 6 และกรดโฟลิก และเมื่อร่างกายขาดแคลนวิตามินดังกล่าวก็จะทำให้เรี่ยวแรงถดถอยจึงส่งผลให้รู้สึกง่วง

     8. ผลิตภัณฑ์นมหรือโยเกิร์ต เป็นอาหารที่มีประโยชน์แต่ถ้ารับประทานโยเกิร์ตเข้าไปมากก็จะทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมและโปรตีน แต่ในขณะเดียวกันโปรตีนที่ว่านี้ก็จะแยกกรดอะมิโนจากร่างกายซึ่งจะส่งผลให้มีกรดมากเกินในร่างกายและทำให้ง่วงตลอดเวลา











ที่มา ... Lisa






 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 31 กรกฎาคม 2554 12:38:30 น.
Counter : 1619 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.