ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

เผยรังนก 10 กระปุก ประโยชน์เท่าไข่ต้มใบเดียว!!!



กมธ.คุ้มครองผู้บริโภคตั้งคณะทำงานศึกษารังนก ซุปสกัด มีประโยชน์จริงหรือ เทียบรังนก 10 กระปุกมีประโยชน์เท่ากับไข่ต้มใบเดียว พ่วงชาเขียว อย.เผยขอความร่วมมือไม่ตั้งตู้ขายในโรงเรียน

นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. พรรคไทยรักไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่าที่ประชุมกรรมาธิการ ได้พิจารณาเครื่องดื่มประเภทรังนก เนื่องจากในเครื่องดื่มรังนกมีเปลือกไม้ลักษณะคล้ายวุ้นเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย แต่อัตราส่วนของรังนกมีอยู่ประมาณ 0.1 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าน้อยมากสิ่งที่กรรมาธิการมีความเป็นห่วงมากคือไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หากเปรียบเทียบจะพบว่ารังนก 10 กระปุก เท่ากับรับประทานไข่ต้มเพียงใบเดียว!

นายวิชาญ กล่าวว่า กรรมาธิการจึงมีมติตั้งคณะทำงานขึ้นมาคณะหนึ่ง โดยมี นพ.เฉลิมชัย เครืองาม เป็นประธาน เพื่อศึกษาเรื่องดังกล่าว รวมทั้งประเภทซุปไก่สกัดต่าง ๆ ด้วยว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายจริงหรือไม่ นอกจากนี้ ยังได้ติดตามผลการศึกษาเครื่องดื่มประเภทชาที่มีราคาค่อนข้างสูง แม้ผู้ประกอบการจะลดขนาดของขวดให้เล็กลงแต่ราคายังคงเดิม

ทั้งนี้ จากการเชิญองค์การอาหารและยา (อย.) มาชี้แจงเรื่องดังกล่าวยังระบุว่าไม่บริโภคชาเขียว เพราะรู้ว่าชาเขียวไม่มีประโยชน์แต่ก็ยังให้ดื่ม พร้อมทั้งได้ทำหนังสือไปถึงโรงเรียนทุกแห่งเพื่อขอความร่วมมือไม่ให้ติดตั้งเครื่องเพื่อขายเครื่องดื่มดังกล่าวด้วย








 

Create Date : 30 กันยายน 2554    
Last Update : 30 กันยายน 2554 7:50:42 น.
Counter : 1584 Pageviews.  

เคล็ดลับการอ่านหนังสือสอบ ให้ได้ผล



10 เคล็ดลับ จำง่าย การอ่านหนังสือสอบ CoolYellLaughing

1. ปิด ทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต mp3 มีสติอยู่กับหนังสือ
2. นั่งสมาธิสัก 5 นาที
3. อ่านหนึ่งรอบ แล้วสรุป โดยไม่เปิดหนังสือ
4. เช็คคำตอบ
5. อ่านอีกหนึ่งรอบ
6. สรุปใหม่ เปิดหนังสือได้เอาไว้อ่าน
7. ถ้าทำเป็น Mind Mapping จะอ่านง่ายขึ้น
8. มีเอกสารอะไรที่ครูแจก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ
9. ท่องในส่วนที่ครูพูดย้ำบ่อยๆ อย่างน้อย 2 ครั้ง/คาบ
10. ก่อนวันสอบ ห้ามหักโหมอ่านหนังสือถึงเที่ยงคืน เพราะสมองจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

---------------------------------------------------------------------------


5 เคล็ดลับการอ่านหนังสือสอบ
วิธีอ่านหนังสือ แบบว่าอยากสอบผ่าน....

1. คนที่อ่านหนังสือคนเดียวมักจะเสียเปรียบ คนที่อ่านเป็นกลุ่มมักจะได้เปรียบ เนื่องจากอ่านคนเดียวอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน หรืออ่านไม่ตรงจุด หรือ(บางคน)อาจอ่านไม่รู้เรื่อง ถ้าอ่านเป็นกลุ่มโอกาสอ่านผิดจุดจะยากขึ้น และยังพอช่วยกันฉุดได้

** แต่วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนชอบแชตนะค่ะ อิอิ

2. ควรอ่านเองที่บ้านก่อน 1 รอบ และจับกลุ่มติว เสร็จแล้วกลับไปอ่านทบทวนเองที่บ้านอีก 1 รอบ (ต้องรับผิดชอบตัวเอง)

3. ผลัดกันติว ใครเข้าใจเรื่องใดมากที่สุดก็ให้เป็นผู้ติว ข้อสำคัญ อย่าคิดแต่จะเป็นผู้รับอย่างเดียว จงคิดว่าเป็นผู้ให้ก่อน แล้วคนอื่น (ถ้าไม่แล้งน้ำใจเกินไป) ก็จะให้ตอบเอง

4. ผู้ติวจะได้ทบทวนเนื้อหา และจะรู้ว่าตัวเองขาดอะไร บกพร่องอะไร จากคำถามของเพื่อนที่สงสัย บางครั้งเพื่อนก็สามารถเสริมเติมเต็มในบางจุดที่ผู้ติวขาดหายได้

5. การติวจะทำให้เกิดการ Share ความคิด และฝึกวิธีทำงานร่วมกับผู้อื่น ช่วยพัฒนาทั้งด้าน IQ และ EQ (อ่านเองจะพัฒนาแต่ IQ)

เป็นยังไงบ้างคะ กับวิธีอ่านหนังสือที่เน้นการจับกลุ่มซะหน่อยนึง แต่ลองทำดูสิ อาจจะได้ผลนะ


ที่มา
aommee




 

Create Date : 29 กันยายน 2554    
Last Update : 29 กันยายน 2554 7:53:43 น.
Counter : 1446 Pageviews.  

ไม่อยากให้ตู้เย็นเหม็น ต้องทำอย่างไร



ตู้เย็นกลิ่นหอม

ป้องกัน ไม่ให้ตู้เย็นเกิดกลิ่นไม่รื่นจมูก หลังทำความสะอาดตู้แล้ว คุณอาจใช้สิ่งใดสิ่งหนึ่งต่อไปนี้ปรับอากาศในตู้ให้มีกลิ่นหอมอยู่เสมอ

ผงฟู วางถ้วยผงฟูไว้มุมตู้ เปลี่ยนทุก 3 เดือน

ถ่านหุงต้ม หากระปุกเล็กๆที่ไม่ใช้แล้วใส่ถ่านหุงต้ม 2 - 3 นิ้ว สัก 2-3 ก้อน วางไว้ในตู้ เปลี่ยนทุก 3 เดือน

วานิลลา นำสำลี 2-3 ก้อนที่ชุบกลิ่นวานิลลาเรียบร้อยแล้ว วางบนชั้นวางอาหาร จะส่งกลิ่นหอมไปหลายอาทิตย์

กาแฟแบบบด วางถ้วยใส่กาแฟบดทิ้งไว้ในตู้เย็น จะช่วยใล่กลิ่นอับไปได้หลายเดือน แต่ระวังว่ากาแฟบดอาจทำให้ไอศกรีมหรือน้ำแข็งติดกลิ่นกาแฟ คุณจึงควรเก็บของเหล่านี้ไว้ในถุงพลาสติกหรือหาภาชนะปิดให้มิดชิด

มะนาว นำมะนาว 1 ลูกฝานครึ่ง แล้วนำไปวางหงายในตู้เย็น

เกลือและผลไม้ประเภทมะนาว (เช่น ส้ม มะกรูด) ผ่าครึ่งส้ม มะนาว มะกรูด เอาเนื้อข้างในออก จากนั้นเอาเกลือใส่เข้าไปแทน จะช่วยขจัดกลิ่นในตู้เย็นได้นานประมาณ 2 อาทิตย์




 

Create Date : 28 กันยายน 2554    
Last Update : 28 กันยายน 2554 8:14:35 น.
Counter : 1774 Pageviews.  

ประโยชน์ของการกินเจ



ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ

  • ให้พลังเย็น โดยได้รับพลังงานจากฟรุกโตส ซึ่งมีในผักและผลไม้ เป็นพลังงานที่ไม่ทำร้ายร่างกาย

  • ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้าง เพราะกากใยในพืชผักช่วยระบบการย่อยและระบบขับถ่าย ทำให้ไม่เป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ รวมถึงโรคที่เกิดจากระบบขับถ่ายผิดปกติต่างๆ เช่น โรคริดสีดวงทวาร

  • หากรับประทานเป็นประจำ จะช่วยฟอกโลหิตในร่างกายให้สะอาด เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมช้าลง ทำให้ผิวพรรณผ่องใส มีอายุยืนยาว สายตาดี แววตาสดใส ร่างกายแข็งแรง มีความต้านทานโรค มีความคล่องตัว รู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด

  • ทำให้ปราศจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคสำไส้ โรคเกาต์ ฯลฯ เพราะได้รับอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ และยังช่วยป้องกันโรคร้ายเหล่านี้

  • อวัยวะหลักของร่างกาย และอวัยวะเสริมทั้ง ๕ ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถภาพ อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด

    อวัยวะเสริมทั้ง ๕ ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะ ปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี

    ผู้ที่กินเจ จะมีร่างกายที่สามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่

    ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีที่เป็นอันตราย อื่นๆ

    อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด

    มลภาวะที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทั้งจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ซึ่งมีปะปนอยู่ในอากาศรวมถึงแหล่าอาหารและน้ำดื่ม

  • กัมมันตภาพรังสี จากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ และ การทำสงคราม สารอาหารจากพืชพัก ช่วยให้เซลล์ในร่างกายทนต่อการทำลายจากกัมมันตภาพรังสีได้

    ในทางการแพทย์ การกินเจ มีประโยชน์ในการรักษาโรคที่สามารถพิสูจน์และมองเห็นได้จัดเจนกว่า ประโยชน์ในทางศาสนาเป็นเรื่องที่ไม่ละเอียดเท่าเรื่องของศาสนาจึงสามารถมองเห็นได้ง่ายกว่าเป็นธรรมดา แม้ว่าการปฎิบัติจะไม่เคร่งครัดเท่ากับความต้องการประโยชน์ทางด้านศาสนา


อานิสงส์ 10 ข้อ ของการไม่กินเนื้อสัตว์ (กินเจ)

อานิสงส์ขั้นต้นของการไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ฆ่าสัตว์และไม่เบียดเบียนสัตว์ คือ จะทำให้ชีวิตของเราไม่ต้องตายด้วย ปืนผาหน้าไม้ คมหอกคมดาบ ไม่่ตายด้วยเหตุกาณ์อันน่าสยดสยองหรือภัยพิบัติต่างๆ ทั้งยังสามารถตัดกรรมในเรื่องการฆ่าและยุติการจองเวรกับสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาอันมิอาจประมาณได้ทรงรักใคร่สรรพสัตว์ทั้งหลายประดุจลูกในอุทรของพระองค์เองเมื่อได้บรรลุอนุตตรสัมโพธิญาณสูงสุดแล้ว ก็ยังทรงมีพระทัยห่วงใยปรารถนาให้เวไนยสัตว์ทั้งหลาย ได้หลุดพ้นออกจากบ่วงกรรมและระงับดับการจองเวรซึ่งกันและกัน ในบรรดา บาปกรรมทั้งหลายที่คนหลงผิดกระทำไปการเบียดเบียนฆ่าทำลายชีวิตผู้อื่นถือ เป็นบาปกรรมที่ร้ายแรงที่สุดแม้ว่าจะกระทำลงไปโดยไม่เจตนา ก็ยังต้องไปรับโทษ นับประสาอะไรกับการจงใจเจตนาฆ่าเขาให้ตาย โทษทัณฑ์์นั้นจะ ยิ่งใหญ่ หลวงและ ไม่อาจให้อภัยได้ด้วยเหตุที่พระพุทธองค์ทรงมี พระประสงค์ ์ให้เราทุกคนละเว้นจาก การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และเลิกเบียดเบียนผู้อื่นโดยเด็ดขาด พระองค์จึงทรงบัญญัติ ศีลข้อ “ปาณาติบาต” คือห้ามการฆ่า เป็นข้อที่สำคัญอันดับหนึ่ง ขอให้เราจง มาร่วมกันศึกษาพิจารณาพระพุทธวจนะว่าด้วยเรื่อง “อานิสงส์ 10 ข้อของการ ไม่กินเนื้อสัตว์” เพื่อจักได้นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติและบำเพ็ญธรรม ให้สูงขึ้นไป ในพระสูตรของพระพุทธศาสนามหายานเล่าว่า

“สมัยหนึ่ง... องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่าพญานาคทั้งหลาย พระพุทธองค์ ได้ทรงตรัสธรรมกถาวิสัชนาแสดงแก่พญานาคราชความว่า “

บุคคลใด หยุดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และงดเว้นเสียจากการเสพเลือดเนื้อสัตว์ อีกทั้งยังชี้นำส่งเสริมให้หมู่ชนทั้งหลายหยุดฆ่า หยุดเสพชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่น บุคคลผู้นั้นย่อมห่างไกลจากอกุศลมูล ทั้งปวง และบริบูรณ์พร้อมด้วยอานิสงส์ ทั้ง 10 ประการอันได้แก่

1. เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรมตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย

2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น

3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้

4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย

5. มีอายุมั่นขวัญยืน

6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด

7. ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นศิริมงคล

8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน

9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ

10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมู่งสู่คติภพ




ที่มา elib-online.com





 

Create Date : 27 กันยายน 2554    
Last Update : 27 กันยายน 2554 7:47:11 น.
Counter : 1430 Pageviews.  

ทำไมไวน์ต้องทำจากองุ่น





ไวน์เป็นเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ที่ได้จากการหมักน้ำองุ่นกับเชื้อยีสต์ หรือจะเรียกว่าเหล้าองุ่นก็ได้เช่นเดียวกับเหล้าสาโท หรือเหล้าน้ำขาวของเรา

เพียงแต่ต่างกันที่วัตถุดิบที่ใช้ทำ ดังนั้นบางครั้งเราเรียกเหล้าสาโทหรือเหล้าน้ำขาวว่า ไวน์ข้าว เพราะทำจากข้าว แต่ถ้าทำจากผลไม้ชนิดอื่นก็จะเรียกว่าไวน์แล้วตามด้วยชื่อผลไม้ชนิดนั้นๆ เช่น ถ้าทำจากกระเจี๊ยบ หรือสับปะรดก็เรียกว่าไวน์กระเจี๊ยบ ไวน์สับปะรดแต่ถ้าเอ่ยคำว่า "ไวน์" เพียงคำเดียวก็ต้องหมายถึง เหล้าที่ทำจากองุ่นเท่านั้น


องุ่นเป็นผลไม้ที่มีการนำมาทำเป็นไวน์นานมากกว่า 3,500 ปีมาแล้ว จัดเป็นผลไม้ที่เหมาะแก่การทำไวน์มากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ ที่เป็นเช่นนี้เพราะองุ่นพันธุ์ที่ใช้ทำไวน์มีคุณสมบัติพิเศษเหนือกว่าผลไม้อื่นหลายประการเป็นต้นว่า มีความหวานหรือน้ำตาลมากเพียงพบแก่การทำไวน์ โดยไม่ต้องเติมน้ำตาลจากแหล่งอื่นลงไป ในองุ่นมีความเป็นกรดพอเหมาะ

ไม่จำเป็นต้องปรับกรดอีก กรดส่วนใหญ่ เป็นพวกกรดทาร์ทาริก และกรดมาลิคที่ช่วยให้ไวน์ที่ได้มีความคงตัวดี นอกจากนั้นองุ่นยังมีสารแทนนินมากพอเพียงที่จะช่วยให้ไวน์ที่ได้มีรสชาติเข้มขึ้น และสารแทนนินในองุ่นจะมีความสมดุลกับน้ำตาลและกรดทำให้รสชาติของไวน์ที่ได้มีความกลมกล่อมอยู่ในตัว ไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งอีก ผลองุ่นมีสีแดงเข้มถึงม่วงดำ ดังนั้นจึงสามารถใช้ผลิตไวน์ที่มีสีสวยๆ ตั้งแต่สีเหลืองทอง แดง ชมพู ขึ้นอยู่กับวิธีการหมัก องุ่นเป็นผลไม้ที่มีกลิ่นรสเหมือนกลิ่นของผลไม้หลายชนิดผสมผสานกันที่หาไม่ได้ในผลไม้ชนิดอื่น

นอกจากนี้องุ่นยังมีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเติบโตของยีสต์อยู่เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องเติมสารอาหารหรือแร่ธาตุอื่นๆ ลงไป ยีสต์ก็สามารถเปลี่ยนน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์และสารอื่นๆ ได้แล้ว และจากรายงานตอนหลังพบว่าไวน์ที่ทำจากองุ่นจะมีสารช่วยลดไขมันในเลือดได้ด้วย


ขอบคุณข้อมูลจาก ชุมชนการศึกษา




 

Create Date : 25 กันยายน 2554    
Last Update : 25 กันยายน 2554 10:20:09 น.
Counter : 1774 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.