ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

ความเชื่อเรื่อง เบญจเพส


เมื่อ ถึงเบญจเพสหรืออายุ ๒๕ ปี จะเป็นช่วงสำคัญที่สุดของชีวิตจริงหรือไม่? ที่เขาว่าความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ซึ่งอาจจะเป็นไปในทางดีหรือทางร้ายสุดๆจะเกิดขึ้นในปีนี้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?




‘เบญจเพส' นั้น สะกดให้ถูกต้อง ส.เสือ นะครับ หลายคนสะกดเป็นเบญจเพศ' ซึ่งผิดความหมาย เพราะคำนี้แผลงมาจาก บาลี คือ ‘ปญฺจวีส' โดยปัญจะแปลว่าห้า และวีสแปลว่ายี่สิบ รวมจึงเป็นยี่สิบห้า ถ้าคุณเขียนเป็นเบญจเพศจึงหมายถึงเพศที่ห้า' ซึ่งไม่รู้จะมุ่งหมายถึงใครดี

เคล็ด ลางหรือความเชื่อเกี่ยวกับตัวเลข บางทีก็สืบหาที่มาที่ไปแน่นอนไม่ได้ แต่บางทีก็มีเค้ามูลประวัติศาสตร์บางอย่าง เหมือนใครอยากเชื่อว่าเลข ๑๓ เป็นเลขซวย ก็ต้องย้อนไปนู่น ที่เรื่องราวเกี่ยวกับพระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะทรงถูกนำไปตรึงกางเขน ตามคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวถึงยูดาสผู้ทรยศต่อพระเยซู มานั่งเป็นแขกคนที่ ๑๓ ของโต๊ะเสวย นับแต่นั้นเลข ๑๓ ก็กลายเป็นเลขซวยไป

เมื่อ พระเยซูถูกตรึงกางเขนในวันศุกร์ ก็มีการเอามาบวกกันกับเลข ๑๓ กลายเป็นศุกร์ ๑๓ มหาอัปมงคล ตึกฝรั่งบางแห่ง จะไม่มีชั้น ๑๓ และหลายคนที่ถือเคล็ดลางเก่งๆจะระมัดระวังตัวเป็นพิเศษทุกวันศุกร์ที่ ๑๓ แน่นอนว่าเมื่อคุณทราบที่มาที่ไป เช่นนี้ ก็คงหายกลัวศุกร์ที่ ๑๓ เสียได้

เพราะ แท้จริงหาใช่จะมีความซวยในตัวเองไม่ ขอเพียงมีเหตุการณ์สำคัญในทางอัปมงคล เกิดขึ้น คนเราก็พร้อมจะสังเกตความเกี่ยวข้องกับเลขวันเดือนปีทันทีแล้ว

ว่า กันถึงวัย ๒๕ นั้น เท่าที่พอทราบคือคติข้างพราหมณ์จะซอยวัยมนุษย์ออกเป็นต่างๆ คือ ๑-๘ นับเป็นกุมาร ๙-๑๖ นับเป็นทารกวัย (วัยรุ่น) ๑๗-๒๕ นับเป็นมาณพ (วัยหนุ่ม) ชายใดใช้ชีวิตมาถึงปีที่ ๒๕ ตามภาษาของคัมภีร์พฤติศาสตร์เรียก ‘ต้องเบญจเพส' หมายถึงการเข้าถึงฝ่ายโชคและเคราะห์อันแรงกล้า

ส่วนจะเป็นโชคหรือเป็นเคราะห์ก็ต้องดูว่าลงล็อกใดใน เพส ๕' อัน ได้แก่เทวะ มนุษย์ เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย หากดวงตกเทวะก็ได้ลาภยศ หากดวงตกมนุษย์ก็ปานกลางไม่ดีไม่ร้าย หากดวงตกเดรัจฉานก็ป่วยหนัก หากดวงตกเปรตก็ถึงตาย หากดวงตกอสุรกายก็อาจพิกลพิการ เป็นต้น ดูจากตรงนี้ใช่แปลว่า ๒๕ หมายถึงซวยหนัก แต่อาจเป็นเฮงระเบิดก็ได้ ทว่าพูดกันทีไร ก็จะว่าเบญจเพสคือปีซวยท่าเดียว

สรุปคือเบญจเพสเป็น เรื่องเกี่ยวกับการทำนายทายทัก ปีที่ ๒๕ เป็นปีแรงทั้งทางบวกทางลบ และตามหลักการดังกล่าว จะเห็นว่าโชคและเคราะห์ในเบญจเพสหาได้เกี่ยวข้องกับสตรีไม่ แต่ถึงวันนี้เราก็กล่าวเหมาคลุมไปหมดว่าเป็นเรื่อง ของทั้งหญิงทั้งชาย ที่ต้องระมัดระวังตัว ทำบุญสะเดาะเคราะห์เป็นพิเศษ ผมเห็นผู้หญิงบางคนวิ่งรอกทำบุญจนหน้าซีดทีเดียว เพราะดูเหมือนเรื่องแย่ๆจะประดังประเดเข้ามาในปีเบญจเพสเอาจริงๆ

ว่า ตามหลักกรรมวิบาก ความจริงก็คือทุกปีมีเรื่องไม่ดีได้ตลอด แล้วแต่ว่าใครทำมาอย่างไรอดีตกรรมวางแผนให้เรา ได้รับผลตามล็อกเวลาไว้เฉพาะตน นั่นหมายความว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ได้ลาภทุกปี แล้วก็สุ่มเสี่ยงกับการตายได้ไม่เว้นวัน นับแต่จันทร์ถึงอาทิตย์ ใครหยุดราชการ มัจจุราชท่านไม่หยุดด้วย

ใคร เชื่อว่ามีสิทธิ์ตายเฉพาะเบญจเพส มัจจุราชท่านไม่เชื่อ ด้วยขอให้เชื่อเถิดว่าไม่มีเลขล็อกสากลให้ต้องพะวงหรอก เบญจเพสเป็นเพียงการช่วยกันลือ ไม่มีที่มาที่ไปแบบพุทธเอาเลย สิ่งที่คุณควรพะวงไม่ใช่ปีเบญจเพสควรสะเดาะเคราะห์อย่างไร แต่ควรสำรวจตรวจตราดีๆว่าทุกวันนี้ใช้ชีวิตบนวิถีบุญน้อยไป หรือเปล่าต่างหาก


ขอบคุณข้อมูล : //board.palungjit.com/




 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 7 พฤษภาคม 2554 20:04:08 น.
Counter : 1522 Pageviews.  

เจาะลึกหน่วยรบพิเศษ“ซีล” ทีม 6 ปฏิบัติการลับดับชีพ “บิน ลาเดน”

ซีล (SEAL) ทีม6 ของกองทัพเรือสหรัฐ ถูกฝึกมาเพื่อรับผิดชอบงานด้านก่อการร้ายโดยเฉพาะ

เป็น ข่าวโด่งดังไปทั่วโลก เมื่อหัวหน้าผู้ก่อการร้ายระดับโลก “โอซามา บิน ลาเดน” ได้ถูกหน่วยล่าสังหารของสหรัฐปฏิบัติการเด็ดชีพ โดย ประธานาธิบดีสหรัฐ บารัค โอบามา แถลงที่ทำเนียบข่าวเมื่อวันที่ 2 พ.ค. ถึงเหตุการณ์หน่วยปฏิบัติการพิเศษ กองทัพสหรัฐ บุกสังหาร “โอซามา บิน ลาเดน” หัวหน้ากลุ่มก่อการร้าย อัล-กออิดะห์ ค่าหัว 25 ล้านเหรียญดอลลาร์ จบชีวิตคาแหล่งกบดานย่านบินลัล ชานเมืองแอบบ็อตตาบัด ห่างจากกรุงอิสลามาบัด ประเทศปากีสถาน ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 50 กิโลเมตร

สำหรับหน่วยที่ปฏิบัติการลับบุกสังหาร “โอซามา บิน ลาเดน” ครั้บนี้ สื่อต่างประเทศทั่วโลกเจาะลึกหาข้อมูลต่าง ๆ

จน พบว่าหน่วยล่าสังหารดังกล่าวคือ ทีมหน่วยรบพิเศษสหรัฐ ชุดไหน !! ที่จู่โจมบุกเข้าไปสังหารหัวหน้าก่อการร้ายชื่อก้องโลก สำนักงานข่าวต่างประเทศได้เจาะลึกข้อมูลแผนปฏิบัติการลับเด็ดหัวบิน ลาเดน พบว่า หน่วยรบพิเศษที่จู่โจมครั้งนี้ คือ ซีล (SEAL) ทีม6 ของกองทัพเรือสหรัฐ ซึ่งถูกฝึกมาเพื่อรับผิดชอบงานด้านก่อการร้ายโดยเฉพาะ หลังจากสำนักข่าวกรองกลางแห่งชาติสหรัฐ (ซีไอเอ) สามารถตามแกะรอยใกล้ถึงตัว บิน ลาเดน มาได้ตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว จากนั้นมีการส่งสายลับตามเฝ้าประกบเพื่อรวบรวมข้อมูลความเคลื่อนไหวอย่าง ใกล้ชิด ต่อมาประมาณเดือนส.ค.53 สายลับยืนยันชัด บิน ลาเดน แอบลักลอบหลบจากพื้นที่ประเทศอัฟกานิสถาน เข้ามากบดานในประเทศปากีสถาน หน่วยข่าวจึงเริ่มล็อกพื้นที่เป้าหมายมาตลอดนานเกือบ 8 เดือนเต็ม

กระทั่งปลายเดือนเม.ย.54 เมื่อหน่วยข่าวกรองยืนยันซ้ำถึงข้อมูลอีกครั้งต่อประธานาธิบดีสหรัฐ

ทำ ให้วันที่ 29 เม.ย.มีคำสั่งอนุมัติแผนปฏิบัติการรวบตัวบิน ลาเดน โดยแต่งตั้งผอ.ซีไอเอ เป็นผู้ดูแลแผนปฏิบัติการทั้งหมด ส่วนชุดที่ลงมือปฏิบัติการให้ใช้ หน่วยรบพิเศษของกองทัพเรือสหรัฐ คือ ซีล ทีม6 เมื่อทุกฝ่ายพร้อมตามแผนที่วางเอาไว้ จึงเริ่มลงมือเวลาประมาณ 01.15 น. วันที่ 2 พ.ค. ( 02.15 น.ตามเวลาประเทศไทย) โดยใช้เฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ นำหน่วยรบพิเศษไปยังเป้าหมาย แทนการใช้เครื่องบินรบไร้คน รุ่นพีเดเตอร์ ยิงจรวดโจมตีเหมือนการปฏิบัติการครั้งก่อนๆ




การจู่โจมครั้งนี้สำเร็จอย่างรวดเร็ว แม้จะเกิดเหตุขัดข้องเฮลิคปอเตอร์ ตก 1 ลำ ก็สามารถปลิดชีพ บิน ลาเดน

พร้อม นำศพกลับมาตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอเพื่อป้องกันความผิดพลาด ส่วนขั้นตอนลงมือทางหน่วยข่าวยังไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดเนื่องจาก ต้องการปิดเป็นความลับ อย่างไรก็ดีการลงมือครั้งนี้นอกจากจะถือเป็นความสำเร็จของสหรัฐแล้ว ยังเป็นการแสดงความสามารถของ หน่วยซีล เป็นคำย่อมาจาก (Sea-Air-Land)แสดงถึงการปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการลอบโจม ตี สงครามกองโจร ทั้งในทะเล บนฝั่ง และอากาศ

หน่วยซีล ของกองทัพเรือสหรัฐ จะแบ่งเป็นทีม คือ ทีม 1, 2, 3, 4, 5, 7, 8, และ 10 ส่วนทีมที่ 6 ซึ่งเป็นทีมที่ค่อนข้างโดดเด่น เนื่องจากมีภารกิจในการต่อต้านการก่อการร้ายสากล มีอาวุธสำหรับหน่วยปฏิบัติการขนาดเล็ก เช่น เรือเร็ว เรือยาง เฮลิคอปเตอร์ส่งทางอากาศ หรือเรือรบประเภทเรือระบายพล ส่วนอาวุธปืนนั้นจะใช้ทั้งปืนกลมือ ปืนไรเฟิล ปืนลูกซอง ไปจนถึงปืนซุ่มยิง แล้วแต่ภารกิจที่ได้รับ ดังเช่นแผนปฏิบัติการรวบตัวบิน ลาเดน ที่ลงมือได้สำเร็จงดงามหลังจากติดตามไล่ล่าตัวมานานถึง 10 ปีเต็ม

เมื่อมีการยืนยันการเด็ดชีพ “บิน ลาเดน” ว่าเป็นตัวจริง

โดย เจ้าหน้าที่สหรัฐมีแปลรหัสของบินลาเดนแสดงตนที่บริเวณโดยผ่านหลักฐานตาม สถานการณ์ทุกอย่างในการปฏิบัติการช่วยหลายเดือนที่ผ่านมา เสียงปรบมือของหน่วยงานที่รับผิดชอบและ เพนตากอน ในการาไล่ล่าสังหารครั้งก็ดังกึกก้อง รวมทั้งประชาชนชาวสหรัฐก็ออกมาแสดงความยินเฉลิมฉลองด้วยความดีใจ

จากการเปิดเผยของทางการาสหรัฐว่าศพของ “โอซามา บิน ลาเดน” จะถูกฝังในใต้ทะเล โดยมิได้ระบุว่าฝังใต้ทะเล ณ สถานที่ใด
สำหรับ เหตุผลที่ไม่ฝังศพในประเทศใดประเทศหนึ่ง เนื่องจากทางสหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตรที่ช่วยกันร่วมกันไล่ล่านั้นเป็น ห่วงว่าสถานที่ฝังศพของ “โฮซามา บิน ลาเดน” จะกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ของกลุ่มผู้ยังเคารพศรัทธาในตัว “บิน ลาเดน” ยังเหนียวแน่น

ต้นน้ำ เรียบเรียง

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 6 พฤษภาคม 2554 8:08:57 น.
Counter : 2136 Pageviews.  

วันฉัตรมงคล



ความสำคัญ


วัน ฉัตรมงคล เป็นวันที่ระลึกในการครบรอบปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงรับพระบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทยโดยสมบูรณ์ คือ พระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาอยู่ ณ ทวีปยุโรป จนกระทั่งทรงบรรลุนิติภาวะแล้วจึงได้เสด็จนิวัติในประเทศไทย
และรัฐบาลไทยได้น้อมเกล้า ฯ จักพระราชพิธีบรมราชาภิเษกถวาย เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2493 เหล่าพสกนิกรชาวไทย ได้ถือเอาวันที่ 5 พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันฉัตรมงคลรำลึก


พระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก


1. ขั้นเตรียมงานพระราชพิธี เริ่มตั้งแต่พิธีตักน้ำ และทำพิธีเสกน้ำ ณ เจดีย์สถานสำคัญจากสถานที่ตักน้ำ ก่อนที่จะส่งเข้ามาทำพิธีต่อไปในพระนคร น้ำที่เสกนี้ใช้สำหรับถวายบสำหรับถวายเป็น น้ำอภิเษก และสรงมุรธาภิเษก โดยมีระเบียบกำหนดให้ ใช้น้ำจากแม่น้ำ 5 สาย ได้แก่ แม่น้ำคงคา ยมนา อิรวดี มหิ และสรภู ในชมภูทวีป หรือที่เรียกว่า "ปัญจมหานที" แต่เนื่องจากประเทศไทยอยู่ห่างจากชมภูทวีปมาก ไม่สะดวกในการเดินทาง จึงเปลี่ยนมาใช้น้ำจากแม่น้ำ 18 แห่ง จากภายในพระราชอาณาจักรแทน นอกจากนี้ยังมีพิธีจารึกดวงพระราชสมภพในพระสุพรรณบัฏ และแกะพระราชสัญจกร


2. พิธีเบื้องต้น เริ่มตั้งแต่ตั้งนำวงด้วย จุดเทียนชัย และเจริญพระพุทธมนต์


3. พระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก เริ่มจากสรงมุรธาภิเษก ต่อจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพระราชดำเนินไปประทับเหนือพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้ง 8 กล่าวคำถวายพระพรชัยมงคล และถวายดินแดนให้อยู่ในความคุ้มครองของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อจากนั้นทรงรับน้ำอภิเษก ขึ้นสู่พระที่นั่งภัทรบิฐพระราชอาสน์องค์ใหม่ พระมหาราชครูเริ่มร่ายเวทย์พิธีพราหณ์เมื่อร่ายเวทย์เสร็จแล้วจึงกราบทูล เชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงพระปรมาภิไธย ถวายเครื่องราชกกุธ คือ เครื่องหมายแสดงความเป็นพระมหากษัตริย์ ไดแก่พระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกร วาลวิชนี ฉลองพระบาทเมื่อทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎสวมพระเศียร เจ้าพนักงานจะประโคมดนตรี ทหารยิงปืนใหญ่ พระสงฆ์เคาะระฆัง และสวดชัยมงคลคาถาทั่วพระราชอาณาจักร หลังจากนั้นพราหมณ์ถวายพระแสงศาสตราวุธเป็นอันเสร็จพระราชพิธีพระบรม ราชาภิเษก


4. พิธีเบื้องปลาย เมื่อเสร็จพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกแล้ว จะเสด็จออก ณ มหาสมาคม เพื่อให้เหล่าข้าราชการ และประชาชนได้ถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในวโรกาศสถาปนาสมเด็จพระบรมราชาภิเษก และตั้งแต่รัชกาลที่ 7 เป็นต้นมา ได้มีพระราชพิธีประกาศสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินี นอกจากนั้นเสร็จพระราชดำเนินเพื่อประกาศพระองค์เป็นศาสนูปถัมภกษัตริยาธิราช เจ้า ในพระบรมมหาราชวัง


5. เสด็จเยี่ยมราษฎร เมื่อทรงเสด็จพระราชพิธีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินให้ราษฎรได้มีโอกาสชมพระ บารมี


การจัดพระราชพิธีเฉลิมฉลองวันฉัตรมงคลในอดีต


แต่ เดิมเป็นงานพิธีเฉลิมฉลองของเจ้าพนักงานในพระราชฐานที่มีหน้าที่รักษา เครื่องราชชูปโภคและพระทวารประตูวัง ได้จัดการสมโภชสังเวยเครื่องราชูปโภคที่ตนรักษาทุกปีในหกเดือน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า ในอารยประเทศย่อมนับถือว่า วันคล้ายวันบรมราชาบรมราชาภิเษกเป็นวันมงคลสมัยควรเฉลิมฉลอง จึงทรงริเริ่มวันฉัตรมงคลขึ้นแต่เนื่องจากเป็นธรรมเนียมใหม่ อธิบายให้ฟังก็ไม่เข้าใจ
เผอิญ วันบรมราชาภิเษกไปตรงกับวันสมโภชเครื่องราชูปโภคที่มีแต่เดิม จึงทรงอธิบายว่า ฉัตรมงคลเป็นวันสมโภชเครื่องราชูปโภคทำให้ไม่มีใครติดใจสงสัย

พระ บาทสมเด็จรพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการเฉลิมฉลองโดยนิมนต์พระสงฆ์มาสวดเจริญพุทธมนต์ ในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 6 รุ่งขึ้นมีการถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ที่พระที่นั่งดิสิมหาปราสาทด้วยเหตุนี้ จึงถือว่า การเฉลิมฉลองพระราชพิธีฉัตรมงคลเริ่มมีในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวเป็นครั้งแรก


ใน สมัยรัชกาลที่ 5 วันบรมราชาภิเษกตรงกับเดือน 12 จะโปรดเกล้า ฯ ให้จัดงานฉัตรมงคลในเดือน 12 ก็ไม่มีผู้ใหญ่ท่านใดยินยอม จึงทรงแก้ไขด้วยการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยตราจุลจอมเกล้าสำหรับตระกูลขึ้น ให้มีพระราชทานตรานี้ตรงวันคล้ายบรมราชาภิเษก
ท่าน ผู้ใหญ่จึงยินยอมให้เลื่อนงานฉัตรมงคลมาตรงกับวันบรมราชาภิเษก แต่ยังให้รักษา ประเพณีสมโภชเครื่องราชูโภคอยู่ตามเดิม รูปงานวันฉัตรมงคลจึงเป็นดังนี้จนถึงปัจจุบัน


การจัดงานวันฉัตรมงคลในปัจจุบัน


ในขั้นตอนการจัดงานฉัตรมงคลในปัจจุบัน มักกำหนดให้เป็น 3 วัน คือ

วันที่ 3 พฤษภาคม
มีงานบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน คือ พิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่พระบรมราชบุพการี ซึ่งเป็นพิธีสงฆ์ ณ พระที่นั่งอมรินทน์วินิจฉัย ซึ่งในวันนี้ได้เพิ่มพระราชพิธีตรึงหมุดธงชัยเฉลิมพลที่จะพระราชทานแก่หน่วย ทหารบางหน่วยเข้าไว้ด้วย


ในวันที่ 4 พฤษภาคม เป็นวันเริ่มพระราชพิธีฉัตรมงคล เจ้าพนักงานจะได้อัญเชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขึ้นประดิษฐานบนพระแท่นใต้พระ มหาปฎเศวตฉัตร พระครูหัวหน้าพราหมณ์อ่านประกาศพระราชพิธีฉัตรมงคล แล้วทรงสดับพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์


ในวันที่ 5 ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ทรงบูชาเครื่องกกุธภัณฑ์ พราหมณ์เบิกแว่นเวียนเทียนสมโภช พระมหาเศวตฉัตรและราชกกุธภัณฑ์


ตอน เย็นพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าแก่ผู้มีความดีความชอบ แล้วเสด็จนมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร และถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าที่ปราสาทพระเทพ บิดร เป็นเสร็จพระราชพิธี

ในวันฉัตรมงคลสำนักพระราชวังได้เปิดปราสาทหลายแห่งให้ประชาชนได้เข้าชมและถวายบังคม งานพระ ราชพิธีฉัตรมงคล เป็นเครื่องหมายยืนยันว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติมาครบรอบปีด้วยดีอีกวาระหนึ่ง และตลอดเวลาที่ผ่านมา พระองค์ได้ประกอบพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและปวงชนชาว ไทยนับอเนกอนันต์


ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ประชาชนชาวไทยจึงได้จัดให้มีการเฉลิมฉลองเนื่องในวันฉัตรมงคลเป็นประจำทุกปี




 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2554 10:13:42 น.
Counter : 1301 Pageviews.  

เทคนิคการเลือกคณะ และการจัดอันดับ



เทคนิคการเลือกคณะและการจัดอันดับ

ปัญหาที่พบมากในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย (Admission) คือนักเรียนไม่สามารถตัดสินใจเลือกคณะ/ประเภทวิชาได้อย่างมั่นใจมีการ เปลี่ยนคณะ/ประเภทวิชาในการสมัครสอบมาก มีการขีดฆ่าและแก้ไขข้อความในการเลือกคณะวิชา และยกเลิกการสมัครเพื่อการสมัครใหม่มากกว่า 1 ครั้ง ทําให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ

เพื่อป้องกันและลดความสูญเปล่าในการศึกษา ควรมีเทคนิคในการเลือกคณะ/ประเภทวิชาอย่างครอบคลุมดังนี้

ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง

1. ความสามารถทางการเรียน

2. ความถนัดหรือทักษะพิเศษ

3. ความชอบหรือความสนใจสาขาวิชาในคณะต่างๆ

4. ลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพ

5. สุขภาพและลักษณะทางร่างกาย

6. สภาพเศรษฐกิจทางบ้าน

7. เป้าหมายชีวิตและอาชีพในอนาคต

ข้อมูลเกี่ยวกับโลกการศึกษา / อาชีพระดับอุดมศึกษา

1. หลักสูตรการเรียนการสอน / การจัดการศึกษา / ระบบการศึกษาและระยะเวลาในการศึกษา / จํานวนหน่วยกิต

2. คุณสมบัติของผู้สมัครสาขาวิชาต่างๆของสถาบันต่างๆ

3. สวัสดิการ และการให้บริการของสถาบันอุดมศึกษา ต่างๆ

4. ค่าใช้จ่าย (ค่าหน่วยกิตและค่าธรรมเนียมต่างๆ)

5. คุณวุฒิเมื่อสําเร็จการศึกษา

6. โลกอาชีพของสาขาวิชาต่างๆ ( บุคลิกภาพในวิชาชีพ / ตําแหน่งงานในวิชาชีพ / สถานที่ทํางาน / ความก้าวหน้าในวิชาชีพ / รายได้/สวัสดิการ และค่าตอบแทนอื่นๆ )

7. แนวโน้มความต้องการของตลาดแรงงานระดับปริญญาตรี สาขาต่างๆ

ข้อมูลเกี่ยวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ต้องเข้าใจด้วยว่าคะแนนปีที่ผ่าน มาเป็นเพียงแนวทางเท่านั้นไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นจริงในปีที่สอบ

1. เลือกคณะประเภทวิชาที่เหมาะสมกับตน กับโลกอาชีพ โดยคํานึงถึงความเป็นไปได้ และตลาดแรงงานซึ่งในขั้นแรกควรเลือกมากกว่า 4 อันดับ ( เช่น 8 อันดับหรือ 10 อันดับ )

2. นําคณะที่มากกว่า 4 อันดับมาพิจารณากลั่น กรองเหลือ 4 อันดับโดยดูจากความชอบหรือสนใจ

3. นําคะแนนตํ่าสุดที่เทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วของคณะ / ประเภทวิชาที่เลือกมาประกอบพิจารณา พร้อมกับดูกลุ่มของวิชาที่สอบด้วยซึ่งควรพิจารณาคณะที่สอบกลุ่มวิชาที่ไม่ แตกต่างกันจนเกินไป อย่างมากไม่ควรเกิน 7-8 วิชา



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สำนักงานจัดการศึกษาทั่วไป จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2554 8:01:38 น.
Counter : 1464 Pageviews.  

ความหมายเลข 13 ตัว บนบัตรประชาชน



แม้ว่าวิชาคณิตศาสตร์จะมีสูตร มีกฎเกณฑ์ตายตัวให้คำนวณได้โดยเฉพาะก็ตาม

แต่ เชื่อว่าหลายๆ คนกลับรู้สึกว่า เจ้าตัวเลขเหล่านี้มันช่างคิดยากคิดเย็นเสียนี่กระไร ยิ่งถ้ามีพวกซายน์ คอส แทนแบบตรีโกณ มีสมกงสมการหรือเลขยกกำลัง ให้ต้องถอดรู้ทถอดราก จนสมองซีกซ้ายต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นแล้วละก้อ ดูเหมือนว่าแต่ละคน ทำท่าจะเป็นพวกแพ้ตัวเลขขึ้นมาทันที ซึ่งอาจเป็นเหตุให้หลายคนเลือกไปเรียนทางสายศิลป์ แทนที่จะเรียนทางวิทย์ เพราะคิดว่า “ศิลปะ” มีอิสระเสรีในการใช้ความคิดมากกว่า และข้อสำคัญคิดว่าจะหนี “ตัวเลข” พ้น แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเรียนหรือทำอะไร ตัวเลขก็ล้วนมีเอี่ยว หรือมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนเราเสมอ และ ในทางกลับกัน ตัวเลขบางตัวอาจจะทำให้เรามีความสุขขึ้นด้วยซ้ำ เช่น ตัวเลขเพิ่มขึ้นของเงินเดือนหรือโบนัส ตัวเลขในบัญชีรายรับ ตัวเลขมูลค่าเพิ่มของหุ้นที่เราซื้อ ฯลฯ ยกเว้น ตัวเลขดอกเบี้ยเงินกู้ ที่งามโดยไม่ต้องรดน้ำ หรือตัวเลขยอดหนี้ที่ยังไม่จ่าย ส่วนตัวเลขที่น่ารังเกียจอีกตัว คือ ตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้นของสาวๆ ที่ยังไม่แต่งงาน เป็นต้น

นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมี “ตัวเลข” ที่เกี่ยวพันกับความเชื่อต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศอีกหลายตัว เช่น คนไทยถือว่า เลข 9 เป็นเลขมงคล เพราะออกเสียงว่า “เก้า” ที่พ้องกับคำว่า “ก้าว” อันหมายถึง ความเจริญก้าวหน้า ด้วยเหตุนี้ ในปัจจุบัน เราจึงเห็นคนไทยจำนวนไม่น้อย ไปทัวร์ไหว้พระ 9 วัดเพื่อความเป็นสิริมงคล จนได้กลายมาเป็นการ “ทำบุญ” อีกรูปแบบที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ทั้งๆ ที่หลายคนไปมาแล้ว หากมีใครถามขึ้นว่าวัดที่ไป พระที่ไหว้หน้าตา รูปทรงท่านเป็นอย่างไร ก็ตอบไม่ได้ เพราะตอนไปไหว้ ก็ต้องรีบๆๆๆ เนื่องจากต้องไหว้ให้ครบ 9 วัดภายใน 1 วัน ดังนั้น ของสำคัญในวัดที่ตนไปเยือน หรือความงดงาม ประวัติของพระพุทธรูปที่ตนไปไหว้ขอพร จะเป็นอย่างไรก็ตอบไม่ได้ เพราะเห็นแค่แว้บๆ ไม่ทันได้ดูรายละเอียด ซึ่งจริงๆ แล้ว วัด 9 วัดที่เราไปกราบพระ เช่น วัดพระแก้ว, วัดชนะสงคราม, วัดอรุณ, วัดระฆัง หรือวัดกัลยาณมิตร ฯลฯ ล้วนเป็นวัดสำคัญ และมีประวัติความเป็นมาที่น่าศึกษาเรียนรู้ทั้งสิ้น ซึ่งความรู้เหล่านี้นี่เอง ที่จะทำให้เราได้รู้จัก “ของดี” ของประเทศไทย และเมื่อรู้แล้ว ก็จะก่อให้เกิดความปลื้มปีติ และความภาคภูมิใจไปด้วย ที่สำคัญคือ การได้รู้ ได้เห็นและสัมผัสสิ่งที่ดีงามที่ว่านี่แหละที่เป็น “มงคล” แก่ชีวิตของเรา เพราะอาจเป็นแรงดลบันดาลใจ ให้เรากระทำความดียิ่งๆ ขึ้น มิใช่แค่เพียงการไปไหว้ประหล่กๆ ให้ครบ 9 วัด แล้วก็กลับมาทำตัวเหมือนเดิมเช่นที่หลายๆ คนเป็นอยู่

สำหรับฝรั่งนั้น เขาจะถือว่าเลข 13 เป็นเลขอาถรรพ์ หรือเลขอัปมงคล โดยเรียกกันว่า ลัคกี้นัมเบอร์ (Lucky number) สาเหตุมาจากอาหารมื้อสุดท้าย ของพระเยซูคริสต์ ที่เรียกกันว่า เดอะลาสซับเปอร์ (The Last Supper) นั้น มีสาวกร่วมโต๊ะพร้อมกับพระองค์ นับรวมแล้วได้ 13 คนพอดี ครั้นวันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันศุกร์ พระองค์ก็ถูกจับตรึงกางเขนจนสิ้นพระชนม์ เขาจึงถือว่าวันศุกร์ที่ตรงกับวันที่ 13 เป็นวันโชคร้าย อย่างไรก็ดี แม้ว่าเลข 13 จะเป็นเลขอาถรรพ์ของฝรั่ง แต่คนไทยโดยทั่วไป ไม่ได้ถือกับตัวเลขดังกล่าว และที่น่าสนใจคือ มี เลข 13 ที่เกี่ยวพันโดยตรงกับคนไทย ซึ่งเชื่อว่าคงมีคนอีกไม่น้อยไม่เคยทราบมาก่อน นั่นคือ เลขประจำตัวประชาชนในบัตรประชาชน หรือที่เดี๋ยวนี้เรียก สมาร์ทการ์ด ที่มีด้วยกัน 13 หลัก และแต่ละหลักก็มิใช่แค่เป็นเพียงจำนวนนับธรรมดาๆ แต่มีความหมายแฝงอยู่ด้วย ซึ่งกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอนำมาเสนอเพื่อเป็นความรู้ ดังนี้


สมมุติว่า เลขบัตรประชาชนของเราเขียนไว้ว่า 1 1001 01245 29 9 (เขียนเว้นวรรค ตามแบบ) แต่ละหลักก็จะมีความหมายดังนี้

หลักที่ 1 (คือหมายเลข 1 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง ประเภทบุคคล ซึ่งมีอยู่ 8 ประเภทได้แก่

ประเภทที่ 1 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย และได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา หมาย ความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2527 เป็นต้นไป อันเป็นวันเริ่มแรกที่เขาประกาศให้ประชาชนทุกคน ต้องมีเลขประจำตัว 13 หลัก เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองไปแจ้งเกิดที่อำเภอ หรือสำนักทะเบียนในเขตที่อยู่ภายใน 15 วันนับแต่เกิดมา ตามที่กฎหมายกำหนด เด็กคนนั้นก็ถือเป็นบุคคลประเภท 1 และจะมีเลขประจำตัวขึ้นด้วยเลข 1 เช่น เด็กหญิงส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2527 และพ่อไปแจ้งเกิดที่เขตดุสิตภายในวันที่ 17 มกราคม 2527 เด็กหญิงส้มจี๊ด ก็จะมีหมายเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 1 และก็ต่อด้วยเลขหลักอื่นๆ อีก 12 ตัว เป็น 1 1001 01245 29 9 เป็นต้น ซึ่งเลขนี้จะปรากฏในทะเบียนบ้าน และจะเป็นเลขประจำตัว เมื่อส้มจี๊ดไปทำบัตรประชาชนตอนอายุ 15 ปี

ประเภทที่ 2 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้ แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นไป แล้วบังเอิญว่าพ่อแม่ผู้ปกครองลืมหรือติดธุระ ทำให้ไม่สามารถไปแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตภายใน 15 วันตามกฎหมายกำหนด เมื่อไปแจ้งภายหลัง เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 2 และจะมีเลขตัวแรกในทะเบียนบ้านขึ้นด้วยเลข 2 ทันที เช่น ในกรณีส้มจี๊ด หากพ่อไปแจ้งเกิดให้ ในวันที่ 18 มกราคม 2527 หรือเกินกว่านั้น ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวเป็น 2 1001 01245 29 9 ในทะเบียนบ้าน และเมื่อไปทำบัตรประชาชนในภายหน้า

ประเภทที่ 3 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ใน สมัยเริ่มแรก (คือตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2527)หมายความว่า บุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทย มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 คนนั้นถือว่าเป็นบุคคลประเภท 3 และก็จะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 3 เช่น ส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2501 และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านแล้ว ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวในทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนเป็น 3 1001 01245 29 9

ประเภทที่ 4 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ใน สมัยเริ่มแรก หมายความว่า คนไทยหรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าว ที่อาจจะเป็นบุคคลประเภท 3 คือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เลขประจำตัว ก็ขอย้ายบ้านไปเขตหรืออำเภออื่น ก่อนช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 ก็จะเป็นบุคคลประเภท 4 ทันที เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในสำนักทะเบียนเขตคลองสาน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2527 ส้มจี๊ดก็ขอย้ายบ้านไปเขตดุสิต โดยที่ส้มจี๊ดยังไม่ทันได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสาน พอแจ้งย้ายเข้าเขตดุสิต ส้มจี๊ดก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 4 มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วย 4 กลายเป็น 4 1001 01245 29 9 ทันที แต่ถ้าส้มจี๊ดย้ายจากเขตคลองสานเดิม ไปเขตดุสิต หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ส้มจี๊ดก็ยังเป็นบุคคลประเภท 3 อยู่ เพราะถือว่าจะได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสานแล้ว จะย้ายอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง

การกำหนดให้บุคคลเริ่มมีเลขประจำตัว 13 หลักในทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2527 เป็น ต้นไป จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 อันเป็นวันสุดท้าย ของการดำเนินการให้ประชาชน ที่ไม่มีเลขประจำตัวในบัตรหรือทะเบียนบ้าน ได้มีเลขประจำตัวจนครบแล้วนั้น ก็เพราะก่อนหน้านี้ ประเทศไทยยังไม่เคยมีการกำหนดเลขประจำตัวดังกล่าวมาก่อนเลย ดังนั้น ช่วงที่ว่าจึงเป็นระยะเวลาจัดระบบให้เข้าที่เข้าทาง เพราะหลังจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 แล้ว ทุกคนจะต้องมีเลขประจำตัวเพื่อสำแดงตนว่า เป็นบุคคลประเภทใด โดยดูตามเงื่อนไขในแต่ละกรณี ซึ่งมีอีก 4 ประเภท คือ

ประเภทที่ 5 คือ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อ เข้าไปในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจ หรือ กรณีอื่นๆ เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตดุสิตอยู่แล้ว แต่บังเอิญว่าตอนที่มีการสำรวจรายชื่อผู้อยู่ในบ้าน เกิดความผิดพลาดทางเทคนิค ทำให้ชื่อของส้มจี๊ดหายไปจากทะเบียนบ้าน เมื่อไปแจ้งเจ้าหน้าที่และตรวจสอบแล้วว่าตกสำรวจจริง หรือจะเป็นเพราะกรณีอื่นใดก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็จะเพิ่มชื่อให้ แต่ส้มจี๊ดก็จะมีหมายเลขในทะเบียนบ้านเป็นบุคคลประเภท 5 และบัตรประชาชนจะขึ้นต้นด้วยเลข 5 ทันที คือ กลายเป็น 5 1001 01245 29 9

ประเภทที่ 6 คือ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และ ผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ในลักษณะชั่วคราว กล่าวคือ คนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้สัญชาติไทย เพราะทางการยังไม่รับรองทางกฎหมาย เช่น ชนกลุ่มน้อยตามชายแดน หรือชาวเขา กลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนบุคคลที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ชั่วคราว เช่น นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย แม้บางคนจะถือพาสปอร์ตประเทศของตน แต่อาจจะมีสามีหรือภริยาคนไทย จึงไปขอทำทะเบียนประวัติ เพื่อให้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านสามีหรือภริยา คนทั้งสองแบบที่ว่า ถือว่าเป็นบุคคลประเภท 6 เลขประจำตัวในบัตรจะขึ้นต้นด้วยเลข 6 เช่น 6 1012 23458 12

ประเภทที่ 7 คือ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย คนกลุ่มนี้ในทะเบียนประวัติจะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 7 เช่น 7 1012 2345 133

ประเภทที่ 8 คือ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย คือ ผู้ที่ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือคนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย ตั้งแต่หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 เป็นต้นไปจนปัจจุบัน คนกลุ่มนี้เลขในทะเบียนประวัติจะขึ้นด้วยเลข 8 เช่น 8 1018 01234 24 7

คนทั้ง 8 ประเภทนี้ จะมีเพียงประเภทที่ 3, 4 และ 5 เท่านั้น ที่ จะมีบัตรประชาชนได้เลย ส่วนประเภทที่ 1 และ 2 จะมีบัตรประชาชนได้ ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงเกณฑ์ทำบัตรประจำตัวประชาชน คืออายุ 15 ปี แต่สำหรับบุคคลประเภทที่ 6, 7 และ 8 จะมีเพียงทะเบียนประวัติเล่มสีเหลืองเท่านั้น จะไม่มีการออกบัตรประชาชนให้


ต่อไปคือ หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5 (เลข 1001 ในตัวอย่างหรือสี่ตัวถัดไปจากตัวแรก) จะ หมายถึง รหัสของสำนักทะเบียน หรืออำเภอที่เรามีชื่ออยู่ในทะเบียนขณะที่ให้เลข ซึ่งก็หมายถึงถิ่นที่อยู่ของเรานั่นเอง กล่าวคือ เลขหลักที่ 2 และ 3 จะหมายถึงจังหวัดที่อยู่ ส่วนหลักที่ 4 และ 5 หมายถึงเขตหรืออำเภอในจังหวัดนั้นๆ เช่น ถ้าเขียนว่า 1001 ก็หมายถึงว่า คุณอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ ในเขตดุสิต เพราะ 10๐ ในหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงกรุงเทพมหานคร ส่วนเลข 01 ในหลักที่ 4 และ 5 คือรหัสของสำนักทะเบียนเขตดุสิต หรือถ้าเขียนว่า 1101 ก็จะหมายถึง อยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอเมือง เพราะ 11 แรกคือ รหัสจังหวัดสมุทรปราการ และ 01 หลัง คือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นต้น

สำหรับ หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10 (เลข 01245 ในตัวอย่าง) จะ หมายถึง กลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภท ตามหลักแรก (หลักที่ 1) ซึ่งทางสำนักทะเบียนในแต่ละแห่ง ก็จะจัดกลุ่มเรียงไปตามลำดับ หรือหากเป็นเด็กเกิดใหม่ในปัจจุบัน เลขดังกล่าวก็จะหมายถึง เล่มที่ของสูติบัตร (ใบแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตออกให้) ซึ่งก็คือเลขประจำตัวในทะเบียนบ้านของเด็กที่แต่ละอำเภอหรือเขตออกให้ และจะไปปรากฎในบัตรประชาชน เมื่อถึงอายุต้องทำบัตรนั่นเอง แต่ถ้ายังไม่ถึงเกณฑ์เลขนี้ ก็จะปรากฏอยู่แค่ในทะเบียนบ้านของเด็กเท่านั้น

หลักที่ 11 และ 12 (หมายเลข 29 ในตัวอย่างสมมุติ) จะหมายถึง ลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภท เป็นการจัดลำดับว่าเราเป็นคนที่เท่าไรในกลุ่มของบุคคลประเภทนั้นๆ

หลักที่ 13 (เลข 9 ตัวสุดท้ายในตัวอย่าง) จะหมายถึง ตัวเลขสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของเลขทั้ง 12 หลักแรกอีกที

สำหรับ เลขตั้งแต่หลักที่ 6 ถึง 13 นี้เป็นการจัดหมวดหมู่ และเรียงลำดับบุคคลในแต่ละประเภทของสำนักทะเบียนในแต่ละท้องที่ ซึ่งเราก็คงไม่ต้องรู้รายละเอียดอะไรลึกไปกว่านี้ เพราะรู้แล้วอาจจะงงเปล่าๆ

เป็นเรื่องน่าแปลกว่า ตัวเลข 13 หลักที่เป็นหมายเลขในบัตรประชาชน หรือ เลขประจำตัวประชาชนของเราแต่ละคนนี้ จะไม่มีการซ้ำกันเลย ผิดกับชื่อหรือนามสกุล ยังมีซ้ำกันได้ และจะเป็นเลขประจำตัวเราจนตาย ไม่มีการเปลี่ยน หรือยกให้คนอื่น และจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า ในอนาคตจะต้องมีการเติมเลข อย่างเลข 8 เข้าไปอีก เพราะเลขไม่พอใช้เหมือนโทรศัพท์มือถือหรือไม่ เขาก็บอกว่าคงอีกนาน อาจจะถึง 100 ปีโน่น เพราะการที่เขาแยกแยะบุคคลเป็นประเภทต่างๆ และยังแยกย่อยเป็นจังหวัดอำเภอ แล้วลงรายละเอียดไปเป็นกลุ่มๆในแต่ละประเภทอีกนั้น ทำให้เพดานหรือช่วงตัวเลขมีความห่างมาก จนสามารถรองรับจำนวนคนได้อีกมาก และหากใครสงสัย หรือมีปัญหาในเรื่องทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส บัตรประชาชน ก็สามารถสอบถามไปได้ที่ สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง โทร. 1548

ตัวเลข 13 หลักที่กล่าวข้างต้น อันเป็นเลขประจำตัวประชาชนของแต่ละคนนี้ แม้จะมิใช่ตัวเลขที่เราต้องใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวัน ยกเว้นใช้ในการกรอกเอกสารบางอย่าง เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร ฯลฯ แต่เลขนี้ก็มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการสำแดงตัวตน “ความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย” ที่ทำให้เราสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย และใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้



ขอขอบคุณข้อมูลข่าว : อมรรัตน์ เทพกำปนาท
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม




 

Create Date : 03 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 3 พฤษภาคม 2554 11:46:07 น.
Counter : 2893 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.