ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 
พิธีศพที่เลือนหาย



ในยุคนี้ที่ความเชื่อไม่ค่อยมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของคนไทยมากมายเหมือน เมื่อก่อนพิธีกรรมต่าง ๆ ที่คนโบราณเคยถือปฏิบัติกันมา ก็ดูเหมือนจะถูกกลืนหายไปกับกาลเวลาทุกวัน ทุกวัน

ด้วยความคิดของคนที่เปลี่ยนไป และเห็นว่าพิธีกรรมเดิม ๆ ที่เคยทำกันมานั้น
แสนจะยุ่งยากมากความซะเหลือเกิน

และพิธีกรรมเกี่ยวกับการทำศพก็คงเป็นหนึ่งในนั้นนั่นแหละค่ะ
เพราะสมัยนี้เวลามีคนตายเมื่อไหร่.. วัด ก็ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่รับหน้าที่ทำศพไปอย่างไม่ต้องสงสัย

อ๊ะ แต่อย่าได้เอาไปเทียบกับสมัยก่อนเชียวนะคุณ ๆ เพราะสำหรับคนโบราณแล้ว
กว่าจะถึงขั้นตอนการเผาศพหรือฝังศพได้เนี่ย ก็ต้องทำนู่นนี่อีรุงตุงนังมากมายเลยทีเดียวค่ะ

แต่ขั้นตอนของการทำศพในสมัยก่อนจะต้องทำอะไรบ้างก่อนหลัง คงไม่ขอพูดถึงดีกว่า
เพราะมันคงยาวยืดไปหลายตอนเลยทีเดียว.. เอาเป็นว่าเอนทรี่นี้
ขอหยิบยกเรื่องราวเกี่ยวกับการทำศพของคนสมัยก่อน
ที่ไม่มีให้เห็นแล้วในสมัยนี้มาเล่าให้เด็กสมัยใหม่ฟังกันดีกว่า
ว่าแล้วก็ไปดูกันว่า พิธีกรรมการทำศพที่เลือนหายไปแล้วน่ะมีอะไรบ้าง




1. เงินปากผี สมัยก่อนคนโบราณจะนำเงินพดด้วงผูกเชือกใส่ไว้ในปากศพ ด้วยความเชื่ออยู่ 3 อย่างค่ะ
หนึ่ง คือ เป็นปริศนาธรรมว่าคนตายไปแล้ว แม้แต่เงินทองก็เอาไปไม่ได้
สอง คือ เป็นค่าจ้างให้กับสัปเหร่อ เพราะเจ้าภาพต้องวุ่นอยู่กับการต้อนรับแขก
ไม่มีเวลาเอามาให้สัปเหร่อโดยตรง เลยเอาเงินค่าจ้างใส่ปากศพไว้ให้สัปเหร่อล้วงเอาไปนั่นแหละ
สาม คือ เป็นค่าจ้างสำหรับผู้นำดวงวิญญาณของคนตายไปสู่โลกของวิญญาณ


2. หมากปากผี คนโบราณจะตำหมากใส่ปากศพเพื่อเป็นปริศนาธรรมว่า
นอกจากคนตายจะเอาทรัพย์สินไปไม่ได้แล้ว แม้แต่หมากที่คนโบราณชอบเคี้ยวกันทุกวัน
พอตายไป ต่อให้ป้อนให้ก็ไม่สามารถเคี้ยวได้อีกต่อไปเหมือนกัน


3. อาบน้ำศพ คำว่าอาบน้ำศพของคนโบราณ คือการอาบน้ำทั้งตัวเลยค่ะ โดยจะต้มน้ำ
แล้วใส่สมุนไพรต่าง ๆ ลงไป จากนั้นรอให้น้ำอุ่นก่อนค่อยเอามาอาบน้ำให้ศพ
แล้วค่อยอาบด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง ก่อนฟอกด้วยขมิ้นชันเป็นอันเสร็จพิธี
ส่วนพิธีรดน้ำที่มือศพที่หลายคนเรียกกันว่าอาบน้ำศพในสมัยนี้ ต้องเรียกว่า รดน้ำศพ ถึงจะถูกค่ะ


4. ประตูป่า ก็ คือประตูที่ทำเพื่อเอาศพออกโดยเฉพาะ ซึ่งสมัยก่อนคนโบราณจะรื้อฝาบ้านแล้วเอากิ่งไม้มาปักไว้แล้วรวบเป็นซุ้ม แล้วค่อยนำศพออกจากบ้าน โดยเอาปลายเท้าศพออกก่อน เพื่อไม่ให้ศพเห็นบ้านได้ ซึ่งพอเอาศพออกไปแล้ว เค้าก็จะรื้อประตูป่าทิ้งทันที แล้วปิดฝาบ้านที่ทำแบบนี้ เพราะเชื่อว่าวิญญาณคนตายจะหาทางเข้าบ้านไม่ได้นั่นเอง(สมัยนี้ จะให้ทุบกำแพงบ้านที่เป็นปูนก็กระไรอยู่.. ก็มันไม่ได้ทำด้วยไม้เหมือนแต่ก่อนนี่หว่า)


5. บันไดผี นอกจากศพจะออกทางประตูไม่ได้แล้ว ยังลงบันไดเดียวกับคนเป็นไม่ได้ด้วยค่ะดังนั้นเมื่อเอาศพออกจากบ้านแล้ว ต้องทำบันไดชั่วคราวไว้สำหรับขนศพลง
พอขนศพลงปุ๊บ ก็รื้อบันไดออกทันที ด้วยความเชื่อเดียวกันว่า จะทำให้วิญญาณกลับบ้านไม่ได้ให้ไปอยู่ในโลกของวิญญาณ ไม่ต้องห่วงลูกห่วงอะไรทางโลกคนเป็นอีก


6. บอกทางวิญญาณ
เป็น พิธีที่ทำขณะขนศพไปวัด โดยญาติจะบอกทางกับศพไปตลอดทางว่าเลี้ยวซ้ายนะ เลี้ยวขวาแล้วนะ เพื่อให้วิญญาณตามศพไปค่ะ พิธีนี้แนนยังเห็นเค้าทำกันอยู่บ้างแถบภาคอีสานค่ะ


7. ซัดข้าวสาร ปัดเสนีดจัญไร สมัยโบราณตอนเอาศพออกจากบ้าน ถือว่าต้องปัดความอัปมงคลออกจากบ้านด้วยการซัดข้าวสารพร้อมคาถา เพื่อให้ความอัปมงคลจากไปพร้อมกับศพค่ะ


8. โปรยข้าวสารตอก
ขณะ เคลื่อนศพไปวัด คนโบราณจะโปรยข้าวสารตอกเป็นปริศนาธรรมให้กับคนเป็นว่า คนเราตายแล้วไม่ฟื้น ก็เหมือนข้าวสารตอกที่โปรยลงดินแล้วไม่งอกขึ้นได้นั่นแหละ


9. จุดเทียนขี้ผึ้ง แต่ก่อนพอคนตายแล้ว ยังไม่มีอะไรมายืนยันได้ว่าตายจริงหรือเปล่า
ดังนั้นคนโบราณจะใช้การจุดเทียนขี้ผึ้งแล้วรอจนกว่าเทียนดับ ถ้าเทียนดับแล้วไม่ฟื้น
ก็แสดงว่าคนตายแน่แล้ว ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้อีกค่ะ


10. หวีผมแล้วหักหวี เดี๋ยว นี้แนนไม่รู้ว่ามีที่ไหนยังทำอยู่หรือเปล่านะคะ แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนเค้าจะหวีผมให้ศพ โดยหวี 3 ครั้ง หวีไปข้างหน้าซีกหนึ่ง ข้างหลังซีกหนึ่ง สำหรับคนเป็นและตายเสร็จแล้วจะหักหวี อันนี้เป็นปริศนาธรรมอีกว่า หวีดี ๆ พอถูกหักก็ใช้การไม่ได้อีกเหมือนชีวิตคนนั่นแหละ




Create Date : 08 มีนาคม 2554
Last Update : 8 มีนาคม 2554 10:27:19 น. 1 comments
Counter : 1586 Pageviews.

 
ขอบคุณครับ


โดย: *380 Z IP: 101.109.87.234 วันที่: 8 มีนาคม 2554 เวลา:11:40:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.