ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

กินของเผ็ด ทำไมต้องมีเหงื่อออก



เรารับรู้รสหวานหรือขมได้จาก "ตุ่มรับรสบนลิ้น"
แต่สำหรับรสเผ็ดที่อยู่ในพริกนั้น ไม่เพียงแต่จะกระตุ้นตุ่มรับรสเท่านั้น
แต่ยังไปกระตุ้น "เยื่อเมือก" ทั้งหมดในปากอีกด้วย

เพราะฉะนั้นเวลาที่เรากินของเผ็ด ๆ เช่น แกงเหลือง
จึงรู้สึกแสบร้อนไปหมดทั่วทั้งลิ้นและปาก

แต่สงสัยอีกไหมว่าทำไมเวลากินของเผ็ด ๆ จะต้องมีเหงื่อออกมาด้วย
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า "สารแคปไซซิน" ที่มีอยู่ในพริก
ไปทำหน้าที่ขยายเส้นเลือด ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
แล้วยังช่วยกระตุ้นประสาทในร่างกายทั้งหมดให้ทำงานอย่างแข็งขันอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้เองเวลากินของเผ็ด ๆ ร่างกายจึงร้อนขึ้นและมีเหงื่อออกมามากนั่นเอง

+กินพริกเผ็ดมาก ๆ มีอันตรายถึงตายหรือไม่

+ส่วนไหนของพริกที่เผ็ดที่สุด

+ทำไมคนไทยถึงชอบทานเผ็ด (เพื่อนฝรั่งฝากมาถาม)

ที่มา หนังสือ ลูกช่างถาม ตอบไม่ได้...อายแย่เลย...!!?




 

Create Date : 27 ธันวาคม 2555    
Last Update : 27 ธันวาคม 2555 8:27:02 น.
Counter : 2007 Pageviews.  

ที่มาของป๊อปคอร์น แสนอร่อย



ผู้ที่ริเริ่ม เอาเมล็ดข้าวโพดมาทำเป็นข้าวโพดคั่วเป็นรายแรกก็คือ ชนพื้นเมืองของอเมริกา(อินเดียนแดงนั่นเอง)

โดยพวกเขาได้ทำกันมาเป็นเวลานานหลายพันปีแล้วซึ่งที่เราสามารถทราบได้ก็เพราะเมื่อปี ค.ศ.1948 มีการค้นพบฝักของข้าวโพดสายพันธุ์ที่ใช้ทำข้าวโพดคั่ว ในถ้ำค้างคาวหลายแห่งในมลรัฐนิวเม็กซิโก โดยฝักข้าวโพดที่พบนั้น มีอายุย้อนไปประมาณ 5,600 ปีทีเดียว

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ผู้ค้นพบทวีปอเมริกาจึงได้นำข้าวโพดคั่วไปเผยแพร่ในทวีปยุโรป จนข้าวโพดคั่วนี้กลายเป็นของว่างที่ได้รับความนิยมทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน

ส่วนเรื่องที่ว่าเมล็ดข้าวโพดกลายมาเป็นข้าวโพดคั่วได้อย่างไรนั้นเหตุผลก็คือ ในเมล็ดที่ใช้สำหรับทำข้าวโพดคั่วนั้นจะมีความชื้นระดับหนึ่งอยู่ภายในส่วนที่เป็นแป้งนุ่มที่เป็นส่วนสะสมอาหารของเมล็ด(endosperm) ซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยเปลือกแข็งภายนอก และเมื่อได้รับความร้อนในระดับจุดเดือดแล้ว เจ้าความชื้นหรือน้ำที่อยู่ภายในก็จะขยายตัวจนเกิดแรงดันจากภายในทำให้ส่วนที่เป็นเปลือกแข็งระเบิดเสียงดังอยู่ภายในภาชนะ จากนั้น ความชื้นภายในเมล็ดก็จะออกมาและระเหยไปอย่างรวดเร็ว ส่วนแรงระเบิดก็จะทำให้ไส้ในของเมล็ดข้าวโพดกลับออกมาอยู่ด้านนอกแทนและการขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ส่วนสะสมอาหารของเมล็ด (endosperm) แปรสภาพเป็นเหมือนกับโฟมนิ่มที่มีอากาศอยู่ภายใน จนเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของป็อปคอร์นนั่นเอง

สุดท้าย ในการทำป็อปคอร์นเราจะเห็นว่ามีบางเมล็ดที่ไม่ยอมแตกตัวไปเป็นป็อปคอร์น ซึ่งภาษาอังกฤษจะเรียกเมล็ดพวกนี้ว่า"old maids" โดยมีการอธิบายถึงสาเหตุที่เมล็ดไม่แตกตัวเอาไว้ 2 ประเด็นด้วยกัน ประเด็นแรกคือเกิดจากความชื้นในเมล็ดมีไม่เพียงพอ และอีกประเด็นคือ เปลือกของเมล็ดข้าวโพดอาจจะมีรอยรั่วอยู่

ที่มาข้อมูล หนังสือ 108 ซองคำถาม





 

Create Date : 26 ธันวาคม 2555    
Last Update : 26 ธันวาคม 2555 8:37:45 น.
Counter : 2302 Pageviews.  

10 สิ่งที่คุณจะทำก่อนโลกแตก คืออะไร?




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ช่วงนี้กระแสโลกแตกมาแรงแบบฉุดกันไม่อยู่เลยจริง ๆ ก็แหงล่ะ ใกล้จะถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ที่เชื่อว่าเป็นวันสิ้นโลกกันแล้วนี่เนอะ งานนี้ใครที่เชื่อว่าในวันนั้นจะเป็นวันสิ้นโลกจริง ๆ ก็พยายามหาทางเอาชีวิตรอดกันสุด ๆ ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็คงจะนั่งรอนอนรออย่างสบายใจเฉิบให้วันสิ้นโลกที่กำลังจะมาถึงนี้พ้นผ่านไปโดยไม่มีอะไรเป็นพิเศษ

          วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอเกาะกระแส ชวนเพื่อน ๆ มานั่งจับเข่าคุยเกี่ยวกับเรื่องโลกแตกกันบ้างดีกว่า ว่าถ้าสมมติอีกไม่นานนี้จะเกิดภัยพิบัติล้างโลกขึ้นมาจริง ๆ แล้วละก็ คุณ ๆ คิดว่าคุณจะทำอะไรก่อนที่วันนั้นจะมาถึงกันบ้าง ลองมาดู 10 ข้อต่อไปนี้กันหน่อยว่า จะตรงกับที่คุณ ๆ อยากจะทำกันบ้างหรือเปล่า

1. ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวให้มากที่สุด


2. แพ็คกระเป๋าออกเดินทางท่องเที่ยวไปรอบโลก



3. ขลุกอยู่กับงานอดิเรกของตัวเองตลอดเวลา



4. พยายามหาทุกวิธีทางให้ตัวเองรอดจากภัยพิบัติให้นานที่สุด



5. ออกไปใช้เงิน ช้อปปิ้งทุกสิ่งที่อยากได้



6. ลองทำกิจกรรมท้าทาย อย่างปีนผาสูง โดดบันจี้จั้ม



7. ออกตระเวนเยี่ยมเยียนเพื่อนและคนรู้จักทั่วสารทิศ



8. รวบรวมความกล้า บอกรักคนที่เราแอบรักมานาน



9. ขอแฟนแต่งงาน และจูงมือกันไปฮันนีมูนกันสองต่อสองบนเกาะส่วนตัว



10. พึ่งศาสนา เข้าวัด เตรียมตัวตายอย่างสงบ


วันสิ้นโลก 2012 วันโลกแตก


          เชื่อเลยว่าหนึ่งในลิสต์ข้างต้นคงจะต้องตรงกับใจของคุณเป็นแน่ เอ? ว่าแต่คุณอยากทำอะไรอีกบ้างล่ะ เอาเป็นว่าเราขอความเห็นจากเพื่อน ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่คุณจะทำก่อนโลกแตกกันสักหน่อยก็แล้วกันเนอะ




 

Create Date : 18 ธันวาคม 2555    
Last Update : 18 ธันวาคม 2555 8:14:18 น.
Counter : 2313 Pageviews.  

ประวัติตุ๊กตุ๊กในประเทศไทย



"รถตุ๊กตุ๊ก" หรือชื่อเรียกทางราชการว่า "รถสามล้อเครื่อง" ที่เราทุกคนรู้จักคุ้นเคยกันดี เริ่มเข้ามาในเมืองไทยครั้งแรกราวๆ ปี 2503 โดยนำเข้ามาจากหลายประเทศด้วยกัน แต่โดยส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น

ยุคแรกๆ รถตุ๊กตุ๊ก มีทั้งยี่ห้อไดฮัทสุ ฮีโน่ มาสด้า มิตซูบิชิ ราคาตกคันละประมาณเกือบ 2 หมื่นบาท แต่ปัจจุบันราคาขยับขึ้นไปถึงหลักแสนแล้ว และเหลือเพียงยี่ห้อเดียวเท่านั้น คือ "ไดฮัทสุ"

รถตุ๊กตุ๊ก ในสมัยก่อน มีทางให้ผู้โดยสารขึ้นลง 2 ด้านแต่ต่อมาเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารเลยกำหนดให้ปิดทางขึ้นลงด้านขวา ของตัวรถ เหลือทางขึ้นลงเพียงด้านเดียว แต่กว่าจะมาเป็นรถตุ๊กตุ๊กได้อย่างทุกวันนี้ มีวิวัฒนาการจากการนำรถสามล้อเครื่องกระบะบรรทุกจากญี่ปุ่น เข้ามาดัดแปลง โดยเอามาต่อหลังคาเพิ่มไว้สำหรับนั่งโดยสารและขนของได้

แต่ในปี พ.ศ. 2508 รถตุ๊กตุ๊กก็เกือบจะต้องอันตรธานหายไปจากเมืองไทย เพราะทางราชการเตรียมจะยุบเลิก โดยเห็นว่าเป็นรถที่มีกำลังแรงม้าต่ำ แล่นช้า เกะกะกีดขวางทางจราจร แต่สุดท้ายก็สามารถต่อสู้ยืนหยัดอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้เป็นเวลาเกือบ 50 ปี แล้ว

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรถตุ๊กตุ๊กยังถือเป็นรถที่ต้องถูกจำกัดจำนวน โดยปี พ.ศ.2530 ทางราชการก็ออกกฎห้ามจดทะเบียนรถตุ๊กตุ๊กรับจ้างเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ นนทบุรี และนครราชสีมา แต่อนุโลมให้กับรถตุ๊กตุ๊กส่วนบุคคลที่นำไปประยุกต์ใช้งานเฉพาะอย่างได้ ทำให้ปัจจุบันมีรถตุ๊กตุ๊กที่วิ่งอยู่บนท้องถนนในกรุงเทพฯ รวมกันประมาณ 7,405 คันเท่านั้น และถ้ารวมๆ กันทั้งประเทศ จะมีรถตุ๊กตุ๊กที่วิ่งอยู่ประมาณ 3 หมื่นกว่าคัน

นอกจากคนไทยจะเริ่มประกอบรถตุ๊กตุ๊กใช้ในประเทศได้เองแล้ว ยังผลิตเพื่อส่งออกไปประเทศอื่นๆ ด้วย อาทิ อินเดีย ศรีลังกา สิงคโปร์ สร้างรายได้ให้กับประเทศปีละหลายร้อยล้านบาท แถมยังกลายเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทยอีกด้วย

ที่มาของชื่อเรียก "ตุ๊กตุ๊ก" เพราะเดิมทีชาวต่างชาติที่มาเที่ยวเมืองไทยไม่รู้จะเรียกรถสามล้อเครื่องว่า อะไร เลยอาศัยเรียกชื่อตามเสียงท่อไอเสียของรถ กลายเป็นชื่อ "รถตุ๊กตุ๊ก" ติดปากมาถึงวันนี้

ความเป็นมาและวิวัฒนาการของรถสามล้อชนิดต่างๆ
รถสามล้อพ่วงข้าง
ปี พ.ศ.2476 "รถสามล้อ" ถือกำเนิดขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรกที่ จ.นครราชสีมา โดย นาวาอากาศเลื่อน พงษ์โสภณ นำรถลาก หรือรถเจ็ก มาดัดแปลงร่วมกับจักรยาน ถือเป็นต้นแบบของรถสามล้อที่ใช้รับผู้โดยสารแพร่หลายไปทั่วประเทศ ต่อมามีผู้นำจักรยานมาเพิ่มล้อและกระบะพ่วงเข้าที่ด้านข้าง ติดตั้งเก้าอี้หวายยึดแน่นกับกระบะ ออกวิ่งรับจ้าง นับเป็นต้นแบบของ "สามล้อพ่วงข้าง" ซึ่งปัจจุบันยังใช้อยู่ในจังหวัดภาคใต้

ซาเล้ง หรือ สามล้อแดง
เพื่อทุ่นแรงและสามารถรับส่งผู้โดยสารได้ในระยะที่ไกลขึ้น นักประดิษฐ์ชาวไทยได้ดัดแปลงนำเครื่องจักรยานยนต์มาติดกับรถสามล้อแบบที่ใช้คนถีบ ได้รับความนิยมแพร่หลาย เพราะนอกจากไปได้ในระยะทางไกลกว่าแล้ว ความรวดเร็วก็เป็นส่วนสำคัญ ทุกวันนี้ "สามล้อเครื่อง" ยังเกลื่อนเมือง ตามด้วย "ซาเล้ง" หรือสามล้อแดง ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้ส่งสินค้าที่มีน้ำหนักไม่มาก ระยะทางไม่ไกลนัก เป็นสามล้อใช้แรงถีบ ผู้ขับขี่อยู่ด้านหลังกระบะบรรทุก
















รถตุ๊กตุ๊ก
"รถตุ๊กตุ๊ก" กำเนิดจากการนำสามล้อเครื่องกระบะบรรทุกจากญี่ปุ่นเข้ามาดัดแปลงเป็นรถนั่งโดยสาร เมื่อปี พ.ศ.2503 เพื่อทดแทนรถสามล้อถีบซึ่งถูกห้ามวิ่งในเขตกรุงเทพฯ ทุกวันนี้เราผลิตได้เองแล้ว และส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศด้วย ในนาม "TUK-TUK" สามล้อตุ๊กตุ๊กมีบริการทั่วไปทุกจังหวัดและเป็นที่นิยมเป็นอย่างยิ่งของทัวริสต์

รถตุ๊กตุ๊กสองแถว
วิวัฒนาการมาจากตุ๊กตุ๊กธรรมดา ดัดแปลงเบาะนั่งด้านหลังเป็นที่นั่งสองแถวเพื่อรับผู้โดยสารได้จำนวนมาก พบเห็นได้ตามแหล่งชุมชนอย่างท่ารถโดยสาร ท่าเรือข้ามฟาก ตลาดสด และด้วยฝีมือไทยประดิษฐ์ ได้มีการนำรถตุ๊กตุ๊กธรรมดามาดัดแปลงประดับตกแต่งสวยงามทั้งตัวถัง วงล้อ เบาะนั่ง แผงหน้าปัด กระบังหน้า เครื่องยนต์เปลี่ยนจาก 2 เป็น 4 จังหวะ จากตุ๊กตุ๊กธรรมดาก็กลายเป็น "ตุ๊กตุ๊กเดอลุกซ์" บริการในจังหวัดภาคตะวันออก

สามล้อสกายแล็บ
เมื่อครั้งสถานีอวกาศ "สกายแล็บ" ได้เป็นที่กล่าวขานไปทั่วโลก คนไทยร่วมฮิตด้วยการประดิษฐ์สามล้อและเรียกชื่อตามสมัยนิยมว่า "สามล้อสกายแล็บ" โดยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ จ.อุดรธานี ก่อนแพร่ไปจังหวัดต่างๆ ทั่วอีสาน เป็นสามล้อที่ใช้กำลังเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ ที่นั่งโดยสารตอนหลังเป็นสองแถว จุดเด่นคือสีสันสดใส และช่วงหน้าเชิดสูง

รถสามล้อแบบมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง
เมื่อมอเตอร์ไซค์รับจ้างถือกำเนิดและแพร่หลายไปทุกท้องถิ่น ก็มีแนวคิดว่าทำอย่างไรจึงจะรับผู้โดยสารได้ครั้งละหลายๆ คน รถสามล้อแบบมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างจึงถูกประดิษฐ์ขึ้น เมื่อไม่ออกรับจ้างผู้โดยสารก็สามารถถอดเฉพาะตัวรถขับขี่ไปทำธุรกิจได้ ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เรียกสามล้อแบบนี้ว่า "ไก่นา"

ที่มาข้อมูลและภาพประกอบ vcharkarn.com/varticle/43901





 

Create Date : 16 ธันวาคม 2555    
Last Update : 16 ธันวาคม 2555 10:43:41 น.
Counter : 3348 Pageviews.  

จับตา! ดาวเคราะห์น้อย ทูทาทิส เฉียดโลกใกล้สุดวันนี้

จับตา! ดาวเคราะห์น้อยเฉียดโลกใกล้สุดวันนี้
ภาพ ดาวเคราะห์น้อย 4179 ทูทาทิส

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก  science.nasa.gov

          เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์สเปซดอทคอมรายงานว่า นักดูดาวทั่วโลกต่างติดตามปรากฏการณ์ดาวเคราะห์น้อยเฉียดโลก หลังมีรายงานว่าดาวเคราะห์น้อยจะโคจรใกล้โลกมากที่สุดในช่วงวันที่ 11-12 ธันวาคม

      โดยดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ มีชื่อว่า 4179 ทูทาทิส (4179 Toutatis) มีขนาดความยาวประมาณ 5 กิโลเมตร โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี แต่มีวิถีที่ไม่แน่นอน วันหนึ่งอาจชนกับโลกได้ หรือถูกแรงโน้มถ่วงของดาวพฤหัสบดีเหวี่ยงมันหายวับเข้าไปในดวงอาทิตย์ หรือเหวี่ยงออกนอกระบบสุริยะก็ได้

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ไม่น่ามีอะไรต้องตกใจไป เพราะยังไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่นิดเดียวเลยว่าดาวเคราะห์น้อยดวงนี้จะทำอันตรายใดต่อโลก นอกจากการโคจรเข้ามาเฉียดโลกด้วยระยะที่ใกล้ที่สุดที่ราว ๆ 6.9 ล้านกิโลเมตร วันที่ 12 ธันวาคม และการโคจรมาครั้งนี้ จะทำให้นักดูดาวทั้งหลายสามารถมองเห็นดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ผ่านกล้องโทรทรรศน์ได้อย่างชัดเจนเป็นเวลา 2-3 วัน

  อย่างไรก็ดี ทางองค์การบริหารการบินและอวกาศสหรัฐฯ หรือนาซา จะติดตามการโคจรใกล้โลกของดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ตลอดสัปดาห์นี้ เพื่อการศึกษาต่อไป ขณะที่ดาวเคราะห์น้อยดวงดังกล่าว ถูกค้นพบเมื่อปี 1989 และจะโคจรผ่านวิถีการโคจรของโลกทุก ๆ 4 ปี




 

Create Date : 13 ธันวาคม 2555    
Last Update : 13 ธันวาคม 2555 8:34:03 น.
Counter : 1868 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.