เทียนไขมีความเป็นมาอย่างไร
ในบรรดาสิ่งที่นำมาใช้เพื่อความสว่างในบ้านเรือน (ก่อนยุคอิเล็กทรอนิกส์) แล้ว เทียนไขเกิดขึ้นทีหลังสุด เรื่องราวของมัน เริ่มปรากฏในเอกสารของชาวโรมันในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑ ซึ่งชาวโรมันบันทึกไว้ว่า เป็นประดิษฐกรรมชิ้นใหม่ที่ใช้แทนตะเกียงน้ำมันได้ เทียนไขในยุคนั้นทำจากไขสัตว์และพืชซึ่งไม่มีสีและรสชาติ แต่รับประทานได้ ทหารในกองทัพที่อดอยากจะได้รับปันเทียนไขเป็นอาหาร และหลายร้อยปีต่อมาการรับประทานเทียนไขก็เป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้ดูแลประภาคาร ซึ่งมักจะอยู่โดดเดี่ยวครั้งละนาน ๆ อีกด้วย ปัญหาของเทียนไขในยุคก่อนคือ การตัดไส้เทียนแม้จะเป็นเทียนไขที่มีราคาแพงมากก็ยังจำเป็นต้องตัดไส้เทียนทิ้งทุกครึ่งชั่วโมง การตัดไส้เทียนคือการค่อย ๆ ขริบเอาส่วนที่ไหม้ออกโดยไม่ทำให้เทียนดับถ้าไม่ตัดจะทำให้เทียนไขไม่สว่าง เท่าทีควรและยังเปลืองเนื้อเทียนอีกด้วย คือเนื้อเทียนจะถูกใช้ไปในการเผาไหม้เพียงร้อยละ ๕ ที่เหลือจะละลายหมด และแม้จะมีการตัดไส้เทียน แต่ถ้าทำไม่ถูกวิธีเทียนไขจำนวน ๘ แท่งหนักประมาณ ๑ ปอนด์จะหมดไปภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ปราสาทหลังหนึ่ง ๆ ใช้เทียนไขสัปดาห์ละหลายร้อยเล่มและมี 'เจ้าพนักงานตัดไส้เทียน' โดยเฉพาะอีกด้วย การตัดไส้เทียนต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ นักกฎหมายชาวสก็อตซึ่งเป็นผู้เขียนอัตชีวประวัติของซามูเอล จอห์นสัน ที่ชื่อเจมส์ บอสเวล เคยต้องตัดไส้เทียนเองหลายครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จสักครั้งในปี ๒๓๓๖ เขาเขียนถึงเรื่องนี้ว่า “ผมยอมจะนั่งอยู่ทั้งคืนเพื่อตัดไส้เทียนให้ได้ จนประมาณตีสองผมพลาดไปดับเทียนเข้า...แล้วก็ไม่สามารถจุดมันขึ้นใหม่ได้" การจุดเทียนไขโดยที่สิ่งให้ แสงสว่างๆ อื่นๆ ดับหมดทั่วบ้านแล้วเป็นงานที่ต้องใช้เวลาอย่างมาก เนื่องจากยังไม่มีใครคิดค้นไม้ขีดไฟขึ้นได้ ใครที่เคยอ่านหรือดูเรื่องดอนกีโฮเต คงจำความหงุดหงิดของพระเอกเซอว์วานเตสขณะจุดเทียนไขจากไฟในเศษถ่านได้ดี นอกจากนี้การตัดไส้เทียนมักทำให้เทียนดับ จนคำว่า 'snuff’ ซึ่งแปลว่า 'ตัดไส้เทียน' ได้เพี้ยนความหมายกลายเป็น 'extinguish' หรือ 'ดับไฟ' ไป กระทั่งในศตวรรษที่ ๑๗ คณะละครจะต้องมีเด็กคอยทำหน้าที่ตัดไส้เทียน (snuff boy) โดยถือว่าการตัดไส้เทียนเป็นศิลปะอย่างหนึ่งเด็กที่ทำหน้าที่นี้ต้องเดิน ขึ้นไปบนเวทีขณะที่ละครกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น เพื่อตัดไส้เทียนอย่างประณีตและชำนาญ ไม่ทำให้เปลวไฟแกว่งดับ หรือสะดุด อันจะรบกวนความรู้สึกของผู้ชมซึ่งกำลังสนใจและเคลิ้มไปกับเรื่องราวการแสดง บนเวทีอยู่ ถ้างานสำเร็จลุล่วงด้วยดี เขาจะได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชมหนึ่งรอบเฉกเช่นนักแสดงคนหนึ่งศิลปะการตัด ไส้เทียนหมดลงในปลายศตวรรษที่ ๑๗ เมื่อมีการใช้เทียน ขี้ผึ้งกันอย่างแพร่หลาย เทียนขี้ผึ้งมีราคาแพงกว่าเทียนไขถึงสามเท่า แต่ให้ความสว่างมากกว่า และเนื้อขี้ผึ้งระเหยได้บ้าง ซามูเอล เป๊ปปีส์ ชาวอังกฤษ ได้บันทึกไว้ในปี พ.ศ. ๒๒๑๐ ถึงการใช้เทียนขี้ผึ้งในโรงละครดรูรีเลนเธียเตอร์ ในลอนดอนว่า “เดี๋ยวนี้โรงละครสว่างขึ้นเป็นพันเท่าและดูสวยกว่าด้วย” นอกจากนั้นผู้ที่มีฐานะร่ำรวยจะใช้เทียนขี้ผึ้งประดับบ้านในโอกาสพิเศษที่ ต้องการความหรูหรา มีบันทึกระบุว่าบ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่งในอังกฤษใช้เทียนขี้ผึ้งมากกว่าหนึ่ง ร้อยปอนด์ในหนึ่งเดือนในช่วงฤดูหนาวของปี พ.ศ. ๒๓๐๘ บันทึกถึงเทียนไขขอผ่านช่วงสมัยปัจจุบันไปแสดงความยินดีกับวิวัฒนาการของ มันในศตวรรษหน้าเมื่ออังกฤษคิดประดิษฐ์เทียนขี้ผึ้งสีขาวเป็นมันอเมริกากำลังทำเทียนไขสีเขียวกลิ่นเบเบอรี่ ใครจะรู้ สักวันหนึ่งโลกอาจต้องหันไปพึ่งแหล่งพลังงานนี้อีกครั้งก็เป็นได้
ที่มาข้อมูลและภาพ banprak-nfe.com
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook คลิ๊ก...
Create Date : 30 มกราคม 2556 |
Last Update : 30 มกราคม 2556 21:57:00 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2778 Pageviews. |
|
|