ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

"โทษของการกินไข่ดิบ” เลิกซะ! เพื่อสุขภาพดี




ความเชื่อที่เคยได้ยินมาว่าการโดฟไข่ลวกหรือว่าไข่ดิบจะทำให้ร่างการแข็ง แรงและมีพลังวังชา แต่นั้นเป็นความเชื่อที่ผิดมากๆ เพราะมีผลสำรวจออกมาให้ได้รู้กันแล้วว่า การกินไข่ดิบหรือบริโภคไข่ดิบนั้นเป็นการทำร้ายร่างกายของเราไปในตัว วันนี้เราจึงได้นำเอาความรู้ที่เกี่ยวกับ โทษของการกินไข่ดิบ มาฝากกันค่ะ ถ้าใครที่มีความเชื่อว่าการกินไข่ดิบเป็นยาชูกำลัง

โทษของการกินไข่ดิบ



หลายคนเข้าใจว่าการกินไข่ดิบวันละฟองในตอนเช้าจะสามารถรักษาเสียงได้ดี แต่ความจริงแล้วการกินไข่ดิบทำให้ร่างกายได้รับธาตุบำรุงจากไข่เพียงครึ่ง เดียว ในไข่ดิบจะมีโปรตีนที่เป็นปฏิชีวนะอยู่

ถ้ากินไข่ดิบบ่อยๆ โปรตีนชนิดปฏิชีวนะที่สะสมอยู่ในร่างกายจะขัดขวางไม่ให้ร่างกายได้รับ วิตามินB1นอกจากนั้นถ้าไก่เป็นโรคไข่จะติดตามมาจึงอาจทำให้ผู้กินไข่ดิบติดโรคได้ จึงควรกินไข่ที่สุกเพื่อร่างกายจะได้รับสารอาหารทั้งหมด

ดังนั้น ไม่ควรกินไข่ดิบหรือไข่ครึ่งสุกครึ่งดิบเพื่อความปลอดภัยของร่างกาย ส่วนในการทอดไข่ดาวนั้นไม่ควรทอดเพียงด้านเดียวควรพลิกทอดทั้ง 2 ด้าน เพื่อประกันว่าได้ฆ่าเชื้อโรคหมดแล้ว

รู้อย่างนี้แล้วก็ลองหันมาเปลี่ยนวิธีการกินไข่กันใหม่เพื่อสุขภาพที่ดี


ที่มา ... tlcthai.com




 

Create Date : 17 ตุลาคม 2554    
Last Update : 17 ตุลาคม 2554 8:01:39 น.
Counter : 1385 Pageviews.  

จักรพรรดิองค์สุดท้ายวัย 2 ชันษา




ราชวงศ์ ชิงขึ้นปกครองประเทศจีนมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1644 แต่ต่อมาอำนาจของระบอบจักรพรรดิเริ่มสั่นคลอน เพราะในช่วงปลายศตวรรษที่ 1800 เกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ฝักใฝ่สาธารณรัฐขึ้นและเริ่มแพร่หลายทำให้ ระบอบจักรพรรดิเริ่มอ่อนแอลง

หลัง จากพระจักรพรรดิเซียนเฟิงสวรรคตในปี 1861 พระนางซูสีไทเฮาพระมเหสีปฏิเสธที่จะย้ายออกจากวัง และขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระราชโอรสวัย 6 ชันษา พระนางเป็นผู้ปกครองที่ปราศจากความปราณี จนได้รับขนานนามว่านางพญามังกร

ครั้น แล้วพระราชโอรสของพระนางก็สิ้นพระชนม์ลงในปี 1875 พระนางก็ยังคงยึดอำนาจไว้ด้วยการนำพระราชนัดดาวัย 4 ชันษา นามว่าพระเจ้ากวงซูขึ้นสืบราชสมบัติ และสำเร็จราชการแทนพระราชนัดดาอีก ต่อมาในปี 1898 พระเจ้ากวงซูพยายามทวงพระราชอำนาจคืน พระนางจึงจับพระองค์ขังคุกจนสิ้นพระชนม์ในปี 1908 และพระนางเองก็สิ้นพระชนม์หลังจากพระเจ้ากวงซูเพียง 1 วัน

ดัง นั้นพระราชสมบัติจึงตกเป็นของผู่อี๋ (ภาษาอังกฤษเรียกปูยี) ซึ่งต้องขึ้นครองราชย์ในปี 1908 ด้วยวัยเพียง 2 ชันษา ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ราชสำนักกำลังอ่อนแอมาก จนในที่สุดก็เกิดการปฏิวัติขึ้นในปี 1911 และมีการสถาปนาสาธารณรัฐจีนขึ้นในปี 1912 ยุวกษัตริย์ผู่อี๋จึงจำต้องสละราชสมบัติ

อย่าง ไรก็ตาม การสละบัลลังก์ก็มิได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของสมเด็จพระจักรพรรดิผู่อี๋มากนัก พระองค์ยังคงใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยอยู่ภายในกำแพงพระราชวังต้องห้ามใน ปักกิ่ง ซึ่งปกป้องพระองค์จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ

แม้ ว่าจะไม่มีตำแหน่งจักรพรรดิแล้ว ผู่อี๋ก็ยังคงถูกรายล้อมด้วยคนรับใช้นับพันที่ยังจงรักภักดีและพร้อมตอบสนอง ความปรารถนาทุกประการของพระองค์ แม้แต่บิดามารดาบังเกิดเกล้าก็ยังยินดีคุกเข่าให้กับเด็กชายน้อยผู้นี้ต่อไป จนกระทั่งปี 1917 ผู่อี๋ก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์อีกครั้งแต่เป็นเพียงชั่วระยะเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์เท่านั้น

ชีวิต ในวัยเยาว์ของผู่อี๋นั้นได้อยู่แต่ในพระราชวัง ไม่เคยได้ออกไปไหน พระองค์ได้รับการศึกษาอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องภาษาอังกฤษ พระองค์ทรงสนใจทุกเรื่องเกี่ยวกับชาวตะวันตกและตัดสินใจใช้ชื่อภาษาอังกฤษ ว่าเฮนรี่ พระองค์ทรงปรารถนาโลกภายนอกเป็นอย่างมาก จนมีหลายครั้งที่ต้องทำการติดสินบนแก่ยามเพื่อหลบหนีไปจากการบังคับจองจำภาย ในกำแพงพระราชวังต้องห้าม

จน กระทั่งปี ค.ศ.1924 ผู่อี๋ถูกบังคับให้ย้ายออกจากพระราชวัง ถือเป็นการออกสู่โลกภายนอกอย่างถาวรดังที่เขาเฝ้าคอยมาทั้งชีวิต เขาเริ่มต้นชีวิตสามัญชนด้วยอัญมณีและทรัพย์สินที่นำออกมาจากพระราชวัง แล้วกล่าวว่า“ข้าพเจ้าได้พบกับอิสระแล้ว”

อิสระ ภาพของผู่อี๋มิได้ยั่งยืนดังที่วาดหวัง เพราะในปี 1932 ขณะนั้นแมนจูเรียและมองโกเลียตกอยู่ในปกครองของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเล็งเห็นประโยชน์จากการนำผู่อี๋มารับตำแหน่งประธานาธิบดี และเป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดของประเทศแมนจูเรีย แต่หลังจากที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามในปี 1945 ผู่อี๋ก็ถูกจับเป็นนักโทษของโซเวียต และถูกคุมขังอยู่ในบ้านของตนเอง

ใน ปี ค.ศ.1950 อดีตจักรพรรดิวัย 44 ปี ก็ได้กลับสู่มาตุภูมิอีกครั้งในฐานะอาชญากรสงคราม ช่วง 9 ปี ต่อจากนั้น เขาเปลี่ยนแนวคิดจากผู้สนับสนุนระบอบกษัตริย์อย่างแรงกล้าไปเป็นผู้สนับสนุน ระบบคอมมิวนิสต์อย่างทุ่มเท และเมื่อถูกปล่อยตัวในปี 1959 เขาก็แทบไม่เหลือคราบของผู่อี๋คนเดิมอีกเลย

ต่อ มาผู่อี๋ได้กลายมาเป็นคนสวนของสวนพฤกษศาสตร์ปักกิ่ง เรียนรู้การเตรียมดินเพื่อการเพาะปลูกบนผืนแผ่นดินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแผ่น ดินของพระองค์ และจากโลกนี้ไปในปี 1967 ในฐานะคนสวนที่อาศัยอยู่ในบ้านที่ชำรุดทรุดโทรม…


อ่านเรื่องนี้แล้วก็ปลงนะ ชีวิตเราไม่แน่นอนจริง ๆ ไม่น่าเชื่อว่ามีใครคนนึงที่เคยเป็นทุกสถานะ ตั้งแต่จักรพรรดิ ประธานาธิบดี สามัญชน นักโทษ คนสวน ฯลฯ อ่านจบหาหนังมาดูประกอบด้วยก็ได้ค่ะ…



ขอบคุณ : Indepencil.com และ postjung




 

Create Date : 16 ตุลาคม 2554    
Last Update : 16 ตุลาคม 2554 10:38:04 น.
Counter : 2233 Pageviews.  

ความเชื่อโบราณเรื่องการเกิดจันทรุปราคา




เรื่องราหูอมจันทร์เป็นเรื่องราวที่ชาวบ้านรู้จักกันดี ถึงเวลาเช่นนั้นทุกคนต่างเอาใจช่วยพระจันทร์กันทั้งนั้น ต่างเกลียดพระราหูยิ่งนัก เหตุการณ์เช่นนี้ปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ ที่เรียกว่า จันทรุปราคา ชาวบ้านเรียก จันทร์อังคาด

ตำนานมีว่า พระราหูกับพระจันทร์และพระอาทิตย์มีเรื่องโกรธเคืองกันอยู่ คือเมื่อครั้งเทวดากวนน้ำอมฤต เทวดาพยายามกีดกันไม่ให้พวกอสูรได้ดื่มน้ำอมฤต แต่พระราหูซึ่งมีกำเนิดเป็นอสูรตระกูลแทตย์ได้ปลอมตัวเป็นเทวดา และได้เล็ดลอดเข้าไปดื่มน้ำอมฤตนั้นได้สำเร็จ

ฝ่ายพระอาทิตย์และพระจันทร์ ซึ่งเป็นเทวดาอยู่ในที่ประชุม เห็นพระราหูทำเช่นนั้น จึงทูลพระนารายณ์ให้ทรงทราบ พระนารายณ์กริ้วจึงเอาจักรขว้าง ถูกราหูขาดสองท่อนแต่ก็ไม่ตาย เพราะได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไปแล้ว ท่อนหัวกลายเป็นพระเกตุ (ตำนานว่าพระเกตุมีลูกเป็นดาวหางและผีพุ่งใต้)

ตั้งแต่นั้นมา พระราหูประกาศเป็นศัตรูกับพระจันทร์และพระอาทิตย์ทันที คือพระราหูคอยจับพระจันทร์และพระอาทิตย์กินหรืออมไว้เพื่อเป็นการแก้แค้น ถ้าอมพระจันทร์เราเรียกว่าจันทรุปราคา ถ้าอมพระอาทิตย์เราเรียกว่าสุริยุปราคา ชาวบ้านเรียก"มีสูรย์มีจันทร์" หรือ "จัทนคราส สุริยคราส"

รูปพระราหูเท่าที่จิตรกรเขียนกันนั้น เขียนเป็นหน้าแทตย์ (แทตย์ คือ ยักษ์, ผี, อสูร จำพวกหนึ่ง ) ที่ดุร้าย หางเป็นนาค สีกายดำหลัวๆ แต่ที่เขียนเป็นรูปยักษ์ครึ่งตัว สีเขียวกำลังอมพระจันทร์ก็มี ส่วนในทางพระพุทธศาสนา ก็มีประวัติแห่งความเป็นศัตรูระหว่างพระราหูกับพระจันทร์อยู่เหมือนกัน ตำนานว่าสมัยหนึ่ง เศรษฐีชื่อ หัสวิสัย มีบุตร 3 คน เมื่อคราวทำบุญให้บิดา บุตรทั้ง 3 ทำบุญตักบาตรกัน บุตรคนใหญ่เอาขันทองมาใส่ บุตรคนรองเอาขันเงินมาใส่ บุตรคนสุดท้ายแย่งไม่ทันเลยต้องเอากระทาย (กระทาย คือ กระบุงเล็ก ใช้ตักหรือตวงข้าวของชาวโบราณ) มาใส่ เป็นเหตุให้น้องคนสุดท้องโกรธพี่ทั้งสองมาก

ยิ่งกว่านั้นเมื่อตั้งสัตย์อธิษฐาน พี่ชายทั้งสองก็แย่งตำแหน่งดีๆ ไปเสียเกือบหมด คือคนหัวปีอธิษฐานขอเป็นพระอาทิตย์ พี่คนรองขอเป็นพระจันทร์ น้องสุดท้ายคิดไม่ทันเขาอีกก็โกรธ เลยขออธิษฐานเป็นพี่ชายของพระอาทิตย์และพระจันทร์เสียเลย ให้มีร่างกายใหญ่โตปิดบังแสงพระอาทิตย์แสงพระจันทร์ได้ ครั้น 3 พี่น้องตายลงต่างก็ไปเกิดตามที่ตนตั้งใจอธิษฐานไว้ น้องสุดท้องจึงไปเกิดเป็นพระราหู และคอยบังพระอาทิตย์ พระจันทร์เสมอมา นี่ก็เป็นตำนานแห่งจันทรุปราคา และสุรยุปราคาอีกทางหนึ่ง



ขอบคุณ : postjung




 

Create Date : 14 ตุลาคม 2554    
Last Update : 14 ตุลาคม 2554 7:23:09 น.
Counter : 3298 Pageviews.  

ภาษาพูดของมนุษย์เริ่มต้นขึ้นอย่างไร



ทุกวันนี้ การที่คนเราสามารถพูดจาติดต่อกันได้เข้าใจ ก็เพราะระบบเสียงต่างๆ ที่คนเผ่าพันธุ์เดียวกับเราสร้างเอาไว้

เพื่อบอกความหมายต่างๆ จากการค้นคว้าทำให้เรารู้ว่า มนุษย์เริ่มสื่อสารกันด้านภาษา ด้วยระบบเสียง ตั้งแต่เมื่อสมัย 100,000 ปีก่อนยุคพระเยซูโน่นแน่ะ คือเมื่อสมัยมนุษย์ นีอันเดอร์ทัลนั่นเริ่มต้น ก็เลียนเสียงสัตว์ต่างๆ ก่อน อย่างเสียงเห่าของสุนัข มาประกอบท่าทางชูไม้ชูมือ จนในที่สุดก็กลายเป็นภาษาใช้สื่อสารกัน

แม้ในปัจจุบัน ก็ยังมีชนเผ่าหนึ่งในแอฟริกา ที่ใช้ภาษาที่เป็นเสียงคลิกแคลกในลำคอสื่อสารกัน ส่วนคนตุรกีก็มีคำที่ไม่ได้พูด แต่ใช้วิธีผิวปากออกมาเป็นความหมายเลย



ที่มา: หนังสือเรื่อง ความรู้ทั่วไป เล่ม 2 โดย สุเมธ สง่าลี และน้องสร้าง




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2554    
Last Update : 13 ตุลาคม 2554 7:55:08 น.
Counter : 1475 Pageviews.  

แนะนำวิธีการใช้น้ำอย่างประหยัด



1. ข้อมูลการใช้น้ำจาก DSM

2. การใช้น้ำอย่างประหยัด


1. การแปรงฟัน


2. การโกนหนวด
3. การอาบน้ำ
4. การใช้ห้องสุขา
5. การซักผ้า
6. การล้างจาน
7. การล้างอาหาร
8. การถูพื้น
9. การรดน้ำต้นไม้
10. การล้างรถ

3. ข้อมูลเพิ่มเติมในการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการสูญเสียน้ำ

ข้อมูลจาก DSM

การแปรงฟัน

1. ควรใช้แก้วหรือขัน จะเสียน้ำเพียงครึ่งลิตร
2. ถ้าเปิดก๊อกน้ำ ทิ้งไว้ขณะแปรงฟัน จำทำให้เสียน้ำโดยเปล่าประโยชน์ไป 9 ลิตร ต่อ 1 นาที หรือ 45 ลิตรตลอดการแปรงฟัน

การโกนหนวด
1. เมื่อโกนหนวดแล้ว ควรใช้กระดษชำระเช็ดออกก่อน เพื่อให้ล้างออกง่ ายขึ้น
2. จากนั้นควรใช้แก้วหรือขันและจุ่มล้างใบมีดในแก้วหรือขัน จะเสียน้ำเพียงครึ่งลิตร< LI>ถ้าเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ขณะโกนหนวด 2 นาที จะเสียน้ำประมาณ 18 ลิตร

การอาบน้ำ

1. การอาบน้ำด้วยฝักบัว จะสิ้นเปลืองน้ำน้อยที่สุด
2. รูฝักบัวยิ่งเล็กยิ่งประหยัดน้ำ
3. อาบน้ำด้วยฝักบัวแต่ละครั้ง ใช้น้ำประมาณ 20-30 ลิตร
4. ถ้าเปิดก็อกน้ำทิ้งไว้ขณะถูสบู่ 10 นาทีจะเสียน้ำประมาณ 90 ลิตร
5. ถ้าอาบน้ำในอ่าง จะใช้น้ำประมาณ 110 ลิตร

การใช้ห้องสุขา

1. โถส้วมแบบตักราดจะสิ้นเปลืองน้ำน้อยกว่าแบบชักโครกหลายเท่า
2. ถ้าใช้โถแบบชักโครก ก็ควรติดตั้งโถปัสสาวะแยกต่างหากไว้ด้วย

การซักผ้า

1. ถ้าซักผ้าด้วยมือ ควรแช่ผ้าไว้กับน้ำผงซักฟอกระยะหนึ่งก่อนจะทำการซัก จะทำให้สิ่งสกปรกออกง่ายขึ้น
2. การซักล้างด้วยน้ำสะอาดอีก 2 ครั้ง จะใช้น้ำประมาณ 40 ลิตร
3. ถ้าเปิดน้ำให้ไหลล้นตลอดเวลา จะเปลืองน้ำมากถึง 9 ลิตรต่อนาที หรือ 180 ลิตร หากใช้เวลาซัก 20 นาที
4. ถ้าซักด้วยเครื่องครั้งหนึ่ง จะใช้น้ำประมาณ 150-250 ลิตร
5. น้ำสุดท้ายของการซักสามารถนำไปเช็ดถูบ้าน หรือรดน้ำต้นไม้ใหญ่ได้

การล้างจาน

1. ควรใช้กระดาษชำระเช็ดคราบสกปรกออกก่อน จะช่วยให้ล้างง่ายขึ้น
2. ควรล้างจานพร้อมกันในอ่างหรือภาชนะ เพื่อประหยัดเวลา และให้ความสะอาดมากกว่า
3. การล้างจากก๊อกโดยตรง ซึ่งจะสิ้นเปลืองน้ำถึง 9 ลิตรต่อนาที
4. ถ้าเปิดก๊อกน้ำตลอดเวลา 15 นาที จะเสียน้ำ ประมาณ 135 ลิตร

การล้างอาหาร ผัก ผลไม้
1. ควรล้างโดยใช้ภาชนะรองน้ำเท่าที่จำเป็นจะประหยัดว่า
2. หากล้างจากก๊อกโดยตรง ก็ควรมีภาชนะที่เคลื่อนย้ายรองรับน้ำไว้รดน้ำต้นไม้ได

การถูพื้น

1. ควรใช้ภาชนะรองน้ำ เพื่อใช้กับอุปกรณ์หรือผ้าที่จะนำไปเช็ดถู
2. การใช้น้ำฉีดล้างโดยตรง จะสิ้นเปลืองน้ำเป็นจำนวนมาก

การรดน้ำต้นไม้

1. ควรใช้กระป๋องหรือฝักบัว เพราะต้นไม้ส่วนใหญ่ต้องการน้ำพอดี ๆ เท่านั้น
2. ไม่ควรใช้สายยางโดยตรง จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำเกินความจำเป็น
3. ควรรดน้ำต้นไม้ในช่วงเช้า หรือเย็น

การล้างรถ

1. ควรใช้ไม้ขนไก่ลูบปัดฝุ่นออกก่อน
2. ควรล้างโดยนำน้ำใส่ถัง แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดถู ซึ่งจะใช้น้ำประมาณ 1-2 ถัง
3. ไม่ควรใช้สายยางฉีดล้างโดยตรง เพราะจะสิ้นเปลืองน้ำถึง 180 ลิตร และยังทำให้รถผุเร็วด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม

1. ควรรดน้ำต้นไม้ สนามหญ้าให้น้อยลง หรือเปลี่ยนรูปแบบของสนามใหม่ ให้เป็นแบบไม่ใช้น้ำ เช่น ใช้ไม้และหินแต่งสนามแทนการปลูกหญ้า

1. ขุดบ่อน้ำ หากบ้านใดมีพื้นที่กว้าง ให้ขุดบ่อใกล้บริเวณที่คิดว่าจะ มีน้ำซึมจากดินขึ้นมาไว้ใช้รดต้นไม้

1. จัดเตรียมหาภาชนะไว้เก็บกักตุนน้ำ สำรองไว้ใช้ให้ได้อย่างน้อย 1 วัน เพื่อป้องกันกรณีเกิดวิกฤตน้ำไม่ไหล

1. นำน้ำที่ใช้แล้ว เช่น น้ำสุดท้ายในการซักผ้า กลับมาใช้ในการถูบ้าน ล้างห้องน้ำ
1. สำรวจท่อรั่วภายในบ้าน ตรวจก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์ต่างๆ ให้อยู่ในสภาพการใช้งานได้ดี ไม่มีการรั่วไหล ป้องกันการสูญเสียโดยเปล่าประโยชน ์

1. หมั่นตรวจสอบชักโครก ในบ้านของท่าน เนื่องจากเป็นสุขภัณฑ์ที่มีสถิติน้ำรั่วไหลมาก

ปริมาณน้ำที่สิ้นเปลืองเพราะรั่วไหล (1 ถัง = 200 ลิตร)
  • หยดอย่างช้า ๆ สม่ำเสมอ สูญเสียประมาณ 7 ถังต่อเดือน
  • หยดเร็ว ๆ สูญเสียประมาณ 11 ถังต่อเดือน
  • หยดเป็นสาย สูญเสียประมาณ 38-51 ถังต่อเดือน
  • หยดเป็นสายมากขึ้น สูญเสียประมาณ 87 ถังต่อเดือน
การตรวจสอบท่อรั่วภายใน

1. ปิดก๊อกน้ำทุกตัวภายในบ้าน
2. ดูตัวเลขในมาตรวัดน้ำ
3. ฟังเสียงและสังเกตดูการเคลื่อนไหวของตัวเลข
4. ถ้าหากไม่มีท่อแตกรั่ว มาตรก็จะไม่มีเสี ยงเครื่องจะไม่เดินและตัวเลขก็จะอยู่คงที่ไม่เคลื่อนไหว

การตรวจสอบท่อรั่วภายนอก

1. พื้นดินในบริเวณที่มีท่อแตกรั่วจะทรุดต่ำกว่าที่อื่นและพื้นดินจะเปียกแฉะตลอดเวลา
2. น้ำจะไหลอ่อนลงกว่าปกติ

ถ้าหากพบจุดแตกรั่ว

ให้ ปิดประตูน้ำที่หน้ามาตรแล้วจัดซ่อมจุดแตกรั่วนั้นโดยด่วนเพราะจุดรั่วขนาด 0.8 ม.ม. ทำให้สูญเสียน้ำ 900 ลิตรต่อ 1 วัน จุดรั่วขนาด 3.2 ม.ม. อาจทำให้สูญเสียน้ำได้วันละมากกว่า 10,000 ลิตร

FW




 

Create Date : 12 ตุลาคม 2554    
Last Update : 12 ตุลาคม 2554 7:51:37 น.
Counter : 1538 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.