วันที่ 21-22 มกราคม 2560 ที่ผ่านมา เราได้เป็น 1 ใน 5 บล็อกเกอร์
ที่เข้าร่วมโครงการ บล็อกเกอร์พาเที่ยว กดไลค์ให้กาญจนบุรีดังทะลุขอบฟ้า
โดยมีการขายทัวร์ให้แฟนเพจและพาไปเที่ยวด้วยกันที่จังหวัด กาญจนบุรี เป็นเวลา 2 วัน 1 คืน
ได้มีการโพสโปรโมทในโซเชียลเพจของตัวเอง และเพจของบล็อกเกอร์อื่นๆ ทั้ง 5 คนได้แก่
เพจTravelista นักเดินทาง / เพจช่างภาพขาลุย Mr.BigStopper - ถ้ากางเกงในแห้ง ผมไปได้ทุกที่
เพจLovelytrip / เพจTrip and Teach - ไปตามน้ำ
และเพจเราเองที่ได้เปลียนชื่อเพจใหม่เป็น รีวิววนไป By Rinsa Yoyolive
เมื่อมีการวางแผน และเตรียมงานหลายๆ อย่างไว้ล่วงหน้าหลายเดือน
เมื่อถึงเวลานัดหมาย การเดินทางทริปนี้จึงเริ่มขึ้น
#กาญจนบุรี #กาญจน์ #ท่องเที่ยวกาญจนบุรี #ท่องเที่ยวกาญจน์ #ผู้หญิงเที่ยวไทย2017
#บล็อกเกอร์สาวพาเที่ยวกาญ #บล็อกเกอร์พาเที่ยว
โปรแกรมคร่าวๆ ของการเดินทางในครั้งนี้ กับสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ของจังหวัดกาญจบุรี
คือ ช่องเขาขาด ทางรถไฟสายมรณะ ถ้ำกระแซ เมืองมัลลิกา วัดทิพย์สุคนธาราม และต้นจามจุรียักษ์ใหญ่แห่งเมืองกาญ
การเดินทางได้เริ่มขึ้นแล้วพากันตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เพราะจุดนัดหมายของพวกเราในครั้งนี้คือ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ล้อหมุน 7.00 น.
เมื่อมาถึงที่นัดหมายแล้วลงทะเบียนกันหน่อยค่า่ พร้อมรับของแจกของที่ระลึกมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า ขวดน้ำ หนังสือ ร.9 เสื้อยืดที่ระลึก พร้อมกล่อง Box อาหารเช้าในวันนี้ 2 กล่องจุกกันไปเลย 555
รถตู้ทั้งหมด 4 คันค่ะ มีรถตู้ของรายการทีวี The Passtion ไปถ่ายทำรายการในทริปนี้ด้วย
และก่อนออกเดินทางในวันนี้ มาร่วมกันถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันหน่อยค่ะ พร้อมรับมอบประกันการเดินทาง
กับบริษัททิพยประกันภัยที่มามอบประกันภัยการเดินทางให้ด้วย
สีหน้าทุกคนยังไม่ตื่นดี
พิกัดแรก เป้าหมายแรก เรามาถึงแล้ว หลังจากหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในรถตู้มา 3 ชั่วโมง
ฟ้าสว่างจ้าแรงดี ที่ช่องเขาขาด
ทริปนี้เป็นทริปที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือเป็นถานที่ที่เรายังไม่เคยมาหลายแห่ง เพราะเมืองกาญ ที่เที่ยวเยอะมาก
ส่วนมากจังหวัดนี้เราได้มาปีละครั้งเท่านั้นเอง ก่อนมาเราก็ได้หาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทีจะได้มาเยือนไว้หมดแล้ว
ทำให้ได้รู้จัก ได้รู้ประวัติความเป็นมาของสถานที่เหล่านั้น
เช่นช่องเขาขาดแห่งนี้
ช่องเขาขาด ร่องรอยประวัติศาสตร์ และธรรมชาติที่แสนสงบ
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งความทรงจำ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
เรามีเวลาแค่ 45 นาทีกับสถานที่แห่งนี้ค่ะ แต่ ณ ตอนนี้เราเหลือแค่ 15 นาทีเท่านั้น
ที่ได้ลงมาตามทางเดินของช่องเขาขาด แดดร้อนมั้ย ตอบได้เลยว่าไหม้ เพราะแรงได้ใจจริงๆ
ช่องเขาขาดตั้งอยู่บริเวณ กม. 6465 บนทางหลวง 323 สายกาญจนบุรี-ไทรโยค-ทองผาภูมิ
แต่เดิมเคยเป็นพื้นที่ที่เหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว ปัจจุบันที่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลภาพถ่าย และข้าวของเครื่องใช้
ระหว่างการสร้างทางรถไฟสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยรัฐบาลออสเตรเลีย ได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ขึ้น
บอกเลยว่าเราคงต้องมีซ่อมเพราะเพราะเราไปไม่ถึงหลุมศพ ไม่ถึงตัวแลนมาร์คของช่องเขาขาด
ไว้กลับไปใหม่อย่างแน่นอน เพราะรีบทำเวลาหน่อย กลับมาขึ้นรถ ปรากฏว่า อ้าว หลายคนก็ยังไมมากัน นี่เรารีบเองหรอกเหรอ 555
ไม่รู้ว่ารีบทำเวลาหรือหิวข้าวกันแน่
มือที่สอง มื้อกลางวันของการเที่ยววันแรก คือร้านอาหารคุณนงค์เยาว์
ร้านนี้มีดีคือ ไส้อั่ววุ้นไส้ ปรุงเสร็จแบบแซ่บมาก อร่อยมาก
อาหารในมื้อกลางวันวันีน้ล้วนแซ่บๆ ทั้งนั้น ถูกปาก ถูกใจเราเป็นที่สุด
ภาพอาหารแบบไม่ครบทุกเมนูนะคะ เก็บภาพมาให้ดูเป็นไฮไลท์กันหน่อย
อย่างไก่ยางเอยน้ำจิ้มเขาก็แซ่บมาก
ไส้อั่วที่อื่นคือเราเคยเห็นไส้ยาววนๆ ม้วนๆ แต่ที่นี่ เป็นไส้ตรงท่อนๆ วางขายเยอะมาก
และขายหมดทุกวัน!!
ความอร่อยกับอาหารแซ่บๆ ในมื้อนี้ ทำให้เราต้องกดไลค์ให้เลย 555
ออกจากร้านคุณนงค์เยาว์พวกเรา 4 คันรถตู้มุ่งหน้ามาที่ ทางรถไฟสายมรณะ
สะพานไม้รถไฟ ถ้ำกระแซ ชมวิวสวยสองข้างทาง ของทางรถไฟสายมรณะ
อีกหนึ่งประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่ 2
อีกหนึ่งแลนมาร์คของกาญจนบุรี ทางรถไฟสายมรณะ ที่ลัดโค้งได้มุมสวย ในช่วงเวลาร้อนๆ
แต่ก็ยังสวยสำหรับเรา มาครั้งนี้คือครั้งที่ 2 ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนก็ยังไม่ได้รีวิว 555
โดยส่วนตัวเราชอบนะที่นี่ ถ้ามาตอนเช้ากับเย็นนี้ฟินอย่างที่สุดเลยแหละ
เพราะอะไร เพราะความสวยงามของทิวทัศน์ เพราะเรื่องราว เรื่องเล่าตำนานของทางรถไฟสายมรณะแห่งนี้
เส้นทางนี้เป็นทางรถไฟที่สร้างลำบากที่สุดตอนหนึ่ง คือ บริเวณสะพานถ้ำกระแซ
เพราะสร้างเลียบลำน้ำทางรถไฟลัดเลาะ ไปตามภูเขายาว 400 เมตร ซึ่งเป็นช่วงที่เชลยศึกต้องเสียชีวิต มากที่สุดประมาณ 1,000 กว่าคน
เป็นสะพานที่ข้ามเหวลึกที่ยาวที่สุดของเส้นทางรถไฟสายนี้ จึงเได้ชื่อว่า ทางรถไฟสายมรณะ
ภายในถ้ำกระแซ เย็นสบายดีเหมือนกันนะคะ
ไหว้พระขอพรแล้วเดินออกหน้าปากถ้ำมีล็อตเตอรี่ขายด้วย ช่างเหมาะเจาะจริงๆ
แต่ไมไ่ด้แอ้มตังค์เราหรอก เราไม่ค่อยเสี่ยงดวงทางนี้ 555
เมืองมัลลิกา คือพิกัดต่อไปที่คณะบล็อกเกอร์ได้พามาเยือน
เป็นครั้งแรกสำหรับเราเช่นกัน เพราะเป็นเมืองจำลองโบราณ ที่ทุ่มทุนสร้างหลายร้อยล้านบาท
เมืองมัลลิกา พาย้อนวันวานไปในสมัยรัชกาลที่ 5 รศ.124 ที่เที่ยวแห่งใหม่
ของกาญจนบุรี ที่จำลองบ้านเรือน ตลาดร้านค้า พร้อมทั้งให้นักท่องเที่ยว
ร่วมแต่งกายชุดไทยถ่ายภาพกิ้บเก๋ ค่าเข้า 150 บาทและค่าเช่าชุดเริ่มต้น ชุดละ 200 บาทค่ะ
มีให้เลือกหลายแบบ เพียบเลย เราวา่ ไฮไลท์ของเมืองมัลลิกาอยู่ตรงนี้นะ
เพราะทุกคนแฮปปี้ กับการใส่ชุดไทยเป็นอย่างมาก
โฉมหน้าสาวๆ ในทริปนี้ค่ะ
ภายในเมืองมัลลิกา พื้นที่กว้างใหญ่ จะมีร้านค้า ร้านอาหารโบราณ
และมีธนาคารให้แลกเงินมีรูใช้จ่ายภายในพื้นที่จริงๆ ด้วยนะคะ
อัตราการแลกเงินก็อยู่ที่ 5 บาท ต่อ 1 สตางค์ มีให้ตั้งแต่เหรียญ 1, 2, 5 และ 10 สตางค์
แบบนี้แหละชอบ กับมุมถ่ายภาพสวยๆ มากมาย
เมืองมัลลิกาเพิ่งเปิดเป็นทางการเมื่อ 29 ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมานี่เอง
และกำลังจะกลายเป็น อีกหนึ่งสถานที่ต้องแวะ เมือมาเยือน จังหวัด กาญจนบุรี
แผนผังที่ตั้งแต่ละจุดบริเวณภายในเมืองมัลลิกา
ตั้งอยู่ตรงทางเข้าปราสาทเมืองสิงห์ ติดปั๊มบางจาก ตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ห่างจากตัวเมืองกาญจน์ 32 กิโลเมตร
ช่วงกลางวันที่ไปร้อนมากหน่อย ถ้าแสงเย็นๆ สำหรับคนชอบถ่ายรูปสวยๆ ล่ะก็ เราว่า ที่นี่ไม่ควรพลาดค่ะ
ว่าแล้วก็กดไลค์ให้กับอีกหนึ่งกับเมืองมัลลิกา จ.กาญจบุรีแห่งนี้กันนะ 555
ออกจากเมืองมัลลิกามาแล้ว ที่พักของเราในค่ำคืนนี้คือ แอปเปิ้ล รีทรีท แอนด์ เกสท์เฮ้าส์
พอมาถึงมีป้ายไวนิลขนาดใหญ่ต้อนรับคณะของเราด้วยนะ
แอปเปิ้ล รีทรีท แอนด์ เกสท์เฮ้าส์ รีสอร์ทริมแม่น้ำแควน้อย ขนาด 15 ห้อง
ฝั่งหนึ่งเป็นร้านอาหาร ฝั่งหนึ่งเป็นห้องพัก
ราคาพันต้นๆ ค่ะ ในวันนี้คือคณะบล็อกเกอร์ได้ยุบอำนาจ เอ้ยเหมาหมดทั้งรีสรอร์ทแล้ว
เพื่อจัดงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้
อาหารภายในงานเป็นแบบบุเฟต์ค่ะ เราไม่ได้เอามาลงด้วยนะ ส่วนมากจะเป็นอาหารพื้นเมืองของกาญจบุรี
เช่นแกงป่าไก่ ผัดหน่อไม้แห้งอันนี้แปลกมากสำหรับเรา เพราะเอาหน่อไม้สดๆ ไปตากให้แห้งเก็บไว้ได้นาน และเอามาผัด
ถือว่าแปลกดี แต่อาหารพื้นบ้าน เมืองกาญฯ เค้าเผ็ดได้ใจจริงๆค่า
งานเลี้ยงคืนนี้มี ผู้หลักผู้ใหญ่ของจังหวัดมาหลายท่าน
รวมทั้งมีการแจกรางวัลกับแฟนเพจด้วย เป็นรางวัลสำหรับภาพถ่ายที่ได้รับเลือกจากทางบล็อกเกอร์
เป็นรางวัลแพ็คเก็จทัวร์ท่องเที่ยวทวาย (ประเทศพม่า) มูลค่าถึง 5 หมื่นบาท
และนี่คือโฉมหน้าผู้โชคดีในคืนนั้นค่ะ
และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย ทั้ง Voucher ที่พัก และของรางวัลต่างๆ จากสปอนเซอร์ที่ร่วมสนับสนุน
พร้อมบรรยากาศ ดนตรี และเสียงเพลง ให้เป็นอีกหนึ่งสถานที่เม้าท์มอยสำหรับทุกคนในค่ำคืนนี้
ปิดท้ายงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ เหล่าบล็อกเกอร์ทั้ง 5 มาถ่ายภาพร่วมกันหน่อย
รวมทั้งเราด้วยระหว่างงาน มีทีมงานจากรายการทีวี The Passion ที่ทำรายการสัมภาษณ์นักเดินทางจากทั่วโลก
มาสัมภาษณ์บล็อกเกอร์แต่ละคนด้วยนะคะ
เทปนี้ออกอากาศทางช่อง Nation ช่อง 26 ค่ะ
ดูเป็นการเป็นงานหน่อยนะ แถมมีแกงป่าไก่อีกหนึ่งจานให้ชม
ว่าแล้วก็ต้องกดไลค์ ให้กับโมเม้นท์นี้ เพราะนานๆ ทีจะมีกำเค้าหน่อย 555
ยามเช้าวันที่ 22 มกราคม 2560 ณ ริมแม่น้ำแควน้อย จาก แอปเปิ้ล รีทรีท แอนด์ เกสท์เฮ้าส์
อากาศดีดีในยามเช้า ต้องมารับลมเย็นๆ พร้อมกาแฟ และอาหารเช้าบริเวณนี้ค่ะ
อาหารเช้าเป็น ABF หรือข้าวต้มยามเช้า เข้ากันๆ พร้อมเช็คเอาท์ออกจากรีสอร์ท มุ่งหน้ากับการท่องเที่ยววันต่อมา
ณ ที่แห่งนี้ วัดทิพย์สุคนธาราม และ พุทธอุทยาน พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์
พื้นที่ของพุทธอุทยานราวๆ 300 ไร่มีพื่นที่กว้างมาก
เมื่อจอดรถแล้วเราจึงได้นั่งรถไฟฟ้าเพื่อไปยัง วัดทิพย์สุคนธาราม
วัดทิพย์สุคนธาราม เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย สร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2547
โดย นางฉันทิพย์ กลิ่นโสภณ ได้บริจาคที่ดินกว่า 300 ไร่ พร้อมด้วยทุนทรัพย์เป็นทุนสมทบในการสร้างวัด เพื่อประโยชน์ทางพระพุทธศาสนาและประชาชนทั่วไป โดยมีสมเด็จพระมหาธีราจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม รับอุปถัมภ์การสร้างวัด และเสนาสนะต่าง ๆ พร้อมทั้งตั้งชื่อวัดแห่งนี้ว่า "วัดทิพย์สุคนธาราม" และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2556
ย้อนกลับมายังบริเวณ พุทธอุทยาน กันต่อค่ะ เพราะมี อาคารนิทรรศการ "อนุสรณ์แห่งการตื่นรู้" ด้วย
แนะนำว่าเดินเข้าไปชมตามไกด์เป็นห้องๆ แต่ละช่วงนะคะ จะได้ความรู้ ประวัติความเป็นมาอย่างมาก
และไม่น่าเบื่อหน่าย แต่มีสิ่งให้รู้และเห็นตื่นเต้นตลอดเวลา
เราว่านะ อนุสรณ์แห่งการตื่นรู้แห่งนี้ทำได้ดีและไฮเทคมากเชียวล่ะ
มีคำสอนของหลวงพ่อตอนหนึ่งว่า "หลวงพ่อเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าเราทำอะไรอย่างบริสุทธิ์ใจแล้ว ก็จะเจริญงอกงาม
แต่ถ้าไม่บริสุทธิ์ใจ ต้องดูกันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร ในผลสุดท้าย เราต้องเชื่อคำสอนของพระพุทธองค์เป็นสำคัญ"
ติดที่ผนัง ซึ่งเป็นคำสอนที่ชัดเจน ชัดแจ้งอย่างที่สุด
พระบาทขององค์พระพุทธรูป ที่สร้างจำลองเหมือนของจริงทุกประการและมีขนาดเท่าจริง
ที่ได้สร้างจำลองมาให้เราได้ชมกันในอาคารอนุสรณ์แห่งนี้ด้วย เพื่อจะได้เห็นว่าการออกแบบองค์พระพุทธรูปที่สูงใหญ่ให้แข็งแรงทนต่อลมกรรโชก
และแผ่นดินไหว โดยวิศกรรมที่ซับซ้อนและทันสมัย
เราว่าพุทธอุทยานแห่งนี้มีความทันสมัยเรื่องเทคโนโลยีมากจริงๆค่ะ คือมาแล้วเห็นแล้ว สัมผัสแล้วก็จะรู้สึกได้จริงๆ
และนี่คือพระพุทธรูปองค์ใหญ่ปางขอฝน สูง 32 เมตร หรือมีขนาดเท่าๆ เทพีเสรีภาพ
"พระพุทธเมตตา ประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์"
เป็นปางขอฝนที่สูงที่สุดในประเทศไทย ว่ากันว่าหากได้มากราบไหว้ชีวิตจะพบ
แต่ความร่มเย็นเป็นสุขดั่งแผ่นดินที่ได้รับสายฝน
พระหัตถ์ซ้ายหงายขึ้น เป็นกริยารองรับน้ำฝน หล่อด้วยสำริดที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล
ซึ่งสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย หรือ AIT ทดสอบรับแรงพายุและแรงแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุด เพื่อให้องค์พระฯ มีความคงทนถาวรนับพันปี
มื้อเที่ยงของวันที่ 2 พวกเรายังคงอยู่ที่นี่ เพราะภายในพุทธอุทยานแห่งนี้มีศูนย์อาหารไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วย
เต็มอิ่มกับอาหารพื้นเมืองของเมืองกาญอีกแล้ว และที่แฮปปี้มากที่สำหรับมื้อนี้เห็นที่จะเป็นไก่กระทอก เนื้อไก่แห้งๆ หน่อย
เห็นว่าหลายคนชอบกัน แต่เราว่ายังเทียบไม่ได้กับไก่ย่างวิเชียรบุรี หรือ KFC นะ อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัว อิอิ
แต่ที่ต้องยกนิ้วให้นั่นคือ ไอติมกะทิในมะพร้าวอ่อนค่ะอร่อยมากกกก
ณ ที่ศูนย์อาหารพุทธอุทยาน หลังจากเจออากาศร้อนๆ มาต้องได้รับไอติมเย็นๆ สักถ้วย
ถือว่าเข้ากันอย่างที่สุด
ออกจากพุทธอุทยานมากันตอนบ่ายโมงกว่าๆ มาต่อที่นี่กันกับอันซีน กาญจนบุรี
ต้นจามจุรี ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
หลังจากที่เห็นภาพในอินเตอร์เน็ตมาหลายต่อหลายครั้ง วันนี้เราจึงได้มาเห็นของจริงเสียที
กับกิ่งก้านสาขาที่ใหญ่โตของต้นจามจุรีต้นนี้ พร้อมกับนักท่องเที่ยวหลากหลายที่มาชม รอบๆตองต้นจามจุรียักษ์
จะมีร้านค้า ร้านอาหารขายของที่ระลึกมาบริการให้กับนักท่องเที่ยวด้วย
ช่วงที่ไปใบโล่งๆ มากหน่อย ถ้ามาช่วงหน้าฝนผลิใบจะเขียวๆ และใบหนากว่านี้ ถือเป็นอีกหนึ่งอันซีนเมืองกาญ ที่น่าแวะมาเยือนค่ะ
ขอปิดท้ายกับภาพคู่ของนักท่องเที่ยวรับวาเลนไทน์กับความหวานบริเวณฉากหน้าของต้นจามจุรียักษ์
ที่นั่งได้เพียงแป๊ปเดียวพากันลุก เพราะโดนมดดำกัดเอา 555
ปิดทริปนี้บล็อกเกอร์พาเที่ยวแวะเข้าร้านแก้วของฝากพร้อมมุ่งหน้าสู่ ททท. ถึงกรุงเทพตามเวลาราวๆ 1 ทุ่ม
เป็นอันจบทริป ที่ตามมาด้วยเรื่องราว และมิตรภาพที่ที่ทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น
อยากไปที่นี่เหมือนกันแต่ตอนนี้ต้องหนี
ไปนอกประเทศก่อน
แถมกำลังใจด้วยค่ะ