Group Blog
All Blog
### บรรลุธรรม ###









“บรรลุธรรม”

แนวทางที่พระพุทธเจ้า พระบรมศาสดา

 ได้ทรงวางไว้ให้กับพุทธศาสนิกชนปฏิบัติ

 เพื่อความสุข ความเจริญ ความก้าวหน้า

ทั้งในทางธรรมและทางโลกก็คือ

 แนวทางแห่งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

 เป็นธรรม ๓ ประการ

ที่พุทธศาสนิกชนทุกๆคนพึงปฏิบัติ

ปริยัติ หมายถึง การศึกษาร่ำเรียน

พระธรรมคำสอนต่างๆ ของพระพุทธเจ้า

 ปฏิบัติ หมายถึงการนำเอาคำสั่งสอน

ที่ได้ศึกษาร่ำเรียนไปปฏิบัติกับตน

ทางกาย วาจา ใจ

ปฏิเวธ หมายถึงการบรรลุธรรม

คือผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ

 เป็นเป้าหมายที่สำคัญของการเข้าสู่พระศาสนา

 คือปฏิเวธ การบรรลุธรรมนั่นเอง

 เพราะการบรรลุธรรมนี้ ไม่มีอะไรจะดีเท่า

ไม่มีอะไรจะประเสริฐเท่า

 ผู้ที่บรรลุธรรมได้นั้น

 ย่อมเป็นผู้อยู่เหนือความทุกข์

 อยู่เหนือความวุ่นวายใจ

ท่ามกลางความเกิด แก่ เจ็บ ตาย

ท่ามกลางการพลัดพรากจากกัน

ผู้ที่ได้บรรลุถึงธรรมขั้นต่างๆแล้ว

 จิตย่อมไม่มีความว้าวุ่นขุ่นมัว

ไม่มีความเศร้าโศกเสียใจ

 กับการที่จะต้องเผชิญกับสภาวธรรม

ที่เป็นปกติของโลก คือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

การพลัดพรากจากกัน

การจะบรรลุธรรมได้นั้นต้องอาศัยปริยัติเป็นเบื้องต้น

 คือการศึกษา ได้ยินได้ฟังอย่างที่ท่านทั้งหลาย

 กำลังทำกันอยู่ในขณะนี้

คือการศึกษาฟังธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า

 เมื่อได้ฟังแล้วก็ต้องนำไปปฏิบัติอีกทีหนึ่ง

 ถึงจะได้บรรลุธรรม

 ถ้าไม่ศึกษาร่ำเรียนเสียก่อนแล้วไปปฏิบัติ

ก็จะไม่สามารถบรรลุธรรมได้ เพราะจะหลงทาง

 เหมือนกับคนที่จะเดินทางไปสู่ที่หนึ่ง

 แต่ไม่รู้ทิศทางของที่ตั้งของสถานที่ที่ต้องการจะไป

 ถ้าไม่มีแผนที่ หรือไม่มีผู้ที่เคยไปมาแล้วบอกทาง

 ย่อมไม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางนั้นได้

ฉันใดการปฏิบัติธรรมเพื่อปฏิเวธนั้นก็เช่นกัน

 ต้องมีปริยัติในเบื้องต้น ต้องมีผู้สั่งผู้สอน มีผู้บอก

หรือมีหนังสือไว้อ่าน เมื่อได้ศึกษาแล้วจะได้รู้ว่า

 การไปให้ถึงจุดหมายปลายทางนั้น

จะต้องดำเนินอย่างไร

ถ้าไม่ได้ศึกษาแล้ว โอกาสที่จะไปถึงจุดหมายนั้น

ย่อมเป็นได้ยากอย่างยิ่ง

ถึงแม้ไปถึงแล้ว ก็อาจจะไม่รู้ว่า

เป็นจุดหมายที่ตนเองต้องการจะไป ก็เป็นได้

แต่ถ้าได้ศึกษาแล้วไม่นำไปปฏิบัติ

 ก็ไม่เกิดประโยชน์อีกเช่นกัน

คือได้ยินได้ฟังธรรม

ได้อ่านหนังสือธรรมะอยู่ตลอดเวลา

 แต่ไม่เคยนำมาปฏิบัติกับตนเลย

 ผลที่จะปรากฏขึ้นตามมาคือความสงบสุข

 ความปราศจากความทุกข์ ความวุ่นวายใจ

 ก็จะไม่ปรากฏขึ้นมาเช่นกัน

ดังนั้นธรรมทั้ง ๒ ประการนี้

 จึงเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการบรรลุธรรม

คือต้องมีปริยัติ การศึกษาในเบื้องต้น

 เมื่อได้ศึกษาแล้วก็นำไปปฏิบัติ

 เมื่อปฏิบัติแล้วปฏิเวธ

ก็จะเป็นผลที่ปรากฏขึ้นตามมา

ผลในทางพระพุทธศาสนาก็คือมรรค ผล นิพพาน

 เป็นความสงบ ความร่มเย็นเป็นสุขของจิตใจ

 ที่เกิดขึ้นจากการขัดเกลาสิ่งที่เป็นเครื่องเศร้าหมอง

 เป็นเครื่องพันธนาการ

ผูกจิตให้ติดอยู่กับกองทุกข์

ธรรมที่บุคคลจะปฏิบัติบรรลุถึงได้นั้น

แบ่งไว้เป็น ๔ ขั้นด้วยกัน คือ

 ๑. ขั้นโสดาบัน

๒. ขั้นสกิทาคามี

๓. ขั้นอนาคามี และ

 ๔. ขั้นอรหันต์ เป็นเหมือนขั้นบันได

ที่ใช้เดินขึ้นบ้าน เวลาขึ้นบันไดก็ก้าวขึ้นไปทีละขั้นๆ

 ในการปฏิบัติธรรม ผลที่เกิดจากการปฏิบัติ

ก็จะเป็นขั้นๆเช่นกัน

 ขั้นแรกคือโสดาบัน เกิดจากการที่ได้ชำระ

กำจัดสังโยชน์ เครื่องพันธนาการจิต

ให้ติดอยู่กับกองทุกข์ ๓ ประการด้วยกัน

 คือ ๑. สักกายทิฐิ ความเห็นว่ามีตัวมีตนในขันธ์ ๕

คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

 ๒. วิจิกิจฉาความลังเลสงสัย

ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ว่ามีจริงหรือไม่

 ๓. สีลัพพตปรามาส การลูบคลำศีล

คือยังไม่แน่ใจว่าศีลเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความสุข

และความเจริญ จึงยังต้องหลงพึ่งสิ่งอื่นๆ

 เช่นไปหาหมอดูให้สะเดาะเคราะห์

ไปหาหมอซินแสให้บอกทิศทางของบ้าน

 ว่าควรจะตั้งหันหน้าไปทิศทางไหน

ควรจะตั้งโต๊ะ ตั้งเตียงไว้ตรงไหน

ห้องนอน ห้องน้ำควรจะอยู่ทิศใดอย่างนี้เป็นต้น

 เหล่านี้เรียกว่าเป็นสีลัพพตปรามาส

คือยังคิดว่าความเจริญนั้นอยู่ที่ตั้งของบ้าน

อยู่ที่ดวงชะตา เป็นต้น

สำหรับพระอริยบุคคลเบื้องต้น คือพระโสดาบันนั้น

เมื่อได้ปฏิบัติธรรมจนมีดวงตาเห็นธรรมแล้ว

 จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า

 ความเจริญก็ดีความเสื่อมก็ดี

ก็ขึ้นอยู่กับศีลธรรมนี้เอง

 ผู้ใดมีศีลธรรมผู้นั้นย่อม

 มีแต่ความเจริญโดยถ่ายเดียว

 ผู้ใดปราศจากศีลธรรมผู้นั้นจะต้องประสบกับ

ความเสื่อมเสียโดยถ่ายเดียว

จึงไม่เชื่อในเรื่องของหมอดูดวงชะตา

 เรื่องฤกษ์ เรื่องยาม เรื่องทิศทางของบ้าน

ว่าจะหันไปทิศทางใด

สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงองค์ประกอบส่วนย่อยเท่านั้น

 คือถ้ารู้จักทิศทางรู้จักการกระทำอะไรที่เหมาะที่ควร

 ก็จะทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่ไม่ได้เป็นตัวเหตุ

ของความเจริญหรือความเสื่อมอย่างแท้จริง

ความเจริญหรือความเสื่อมนั้นอยู่ที่

การประพฤติปฏิบัติทางกาย ทางวาจา

คือถ้าตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดประเวณี

ไม่พูดปดมดเท็จ ไม่เสพสุรายาเมา

 รับรองได้ว่าความเสื่อมนั้น

จะไม่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา

นี่คือสังโยชน์เครื่องพันธนาการ ๓ ตัวแรก

ที่พระโสดาบันจะกำจัดได้

ขั้นต่อไปคือขั้นที่ ๒ สังโยชน์ที่จะต้องกำจัดก็คือ

ปฏิฆะ ความหงุดหงิดใจ ราคะ ความยินดีในกาม

 บุคคลที่สามารถทำให้ปฏิฆะความหงุดหงิดใจ

ราคะ ความกำหนัดยินดีเบาบางลงไป

ก็จะบรรลุธรรมขั้นที่ ๒ เรียกว่าสกิทาคามี

คือเริ่มมีความเบื่อหน่าย

ในเรื่องของกามรสทั้งหลาย

 แต่ยังไม่ได้กำจัดให้หมดสิ้นไป

 ได้ทำให้เบาบางลงไป

ความหงุดหงิดใจก็เบาบางลงไป

 ผู้ที่จะกำจัดปฏิฆะความหงุดหงิดใจ กามราคะ

 ความกำหนัดยินดีในกามให้หมดสิ้นไป

 ก็คือผู้บรรลุธรรมขั้นที่ ๓ เรียกว่าอนาคามี

 สังโยชน์ของขั้นที่ ๔ นั้น มีอยู่ถึง ๕ ตัวด้วยกัน

ที่จะต้องกำจัด เป็นหน้าที่ของผู้ที่จะบรรลุ

เป็นพระอรหันต์ คือ

 ๑. รูปราคะ ความยินดีในรูปฌาน

 ๒. อรูปราคะ ความยินดีในอรูปฌาน

 ๓. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน

๔. มานะ ความถือตน

๕. อวิชชา ความไม่รู้จริง

ผู้ที่สามารถกำจัดสังโยชน์ทั้ง ๕ นี้ได้

ก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์

 ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

เพราะสังโยชน์เครื่องพันธนาการ

ที่ผูกจิตให้ติดอยู่กับการเวียนว่าย ตาย เกิด

ในภพทั้ง ๓ ในกามภพ ในรูปภพ ในอรูปภพ

ได้ถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง

 จึงไม่มีสิ่งผูกมัดจิต

ให้ติดอยู่กับการเวียนว่าย ตาย เกิด

 ในภพทั้ง ๓ อีกต่อไป เป็นผู้ถึงพระนิพพาน

ถึงจุดของความสุขที่สูงสุด ที่เรียกว่าบรมสุข

 ไม่ต้องกลับมาเกิด แก่ เจ็บ ตาย

ไม่ต้องมาเวียนว่าย ตายเกิดอีกต่อไป

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

......................

กัณฑ์ที่ ๑๘๗ วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๗

 (กำลังใจ ๑๔)

“บรรลุธรรม”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 19 ตุลาคม 2559
Last Update : 19 ตุลาคม 2559 10:03:02 น.
Counter : 702 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ