| แฟ้มภาพ | | | อาจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง สาขาวิชา Business Analytics and Intelligence คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ การฟ้องร้องคดีทางการแพทย์ (Medical Lawsuits) ในสหรัฐอเมริกานั้นถือว่าแพร่หลายมาก เปิดโทรทัศน์ดูก็จะมีบรรดาบริษัททนายความ (Law Firms) ทั้งหลายโฆษณาบอกประชาชนว่าให้มาฟ้องเรียกร้องได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ให้บริการปรึกษาฟรี และจะพาไปฟ้องศาลฟรีด้วย หลายๆ บริษัทถึงกับโฆษณาว่าหากท่านได้รับผลกระทบทางสุขภาพจากการใช้ยา xx หรือ การรักษาโรคด้วยวิธีการ xxx ท่านสามารถมาปรึกษาเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายทางการแพทย์ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด เรามีความชำนาญเป็นพิเศษในการฟ้องร้องแพทย์ในคดีนี้ เมื่อท่านชนะคดีเราจึงคิดค่าบริการจากมูลค่าความเสียหายที่ท่านเรียกร้องจากแพทย์ได้ กลายเป็นว่าการฟ้องร้องคดีทางการแพทย์กลายเป็นธุรกิจทำเงินหารายได้ของทนายความ ในสหรัฐอเมริกานั้นอาชีพยอดฮิตที่คนแย่งกันสอบเข้าไปเรียนมีสองอย่าง อย่างแรกคือแพทย์เพราะทำรายได้ได้ดี อย่างที่สองคือทนายความ และท้ายที่สุดทนายความก็แสวงหารายได้จากแพทย์ที่รายได้ดีอีกต่อหนึ่งด้วยการรับจ้างฟ้องแพทย์ที่เกิดการทำเวชปฏิบัติที่ผิดพลาด (Medical Malpractice) ผมเคยนั่งคุยกับนักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คนหนึ่ง ทำให้ทราบว่าจบมาทางด้านวิสัญญีแพทย์ ทำงานมานานมาก จนกระทั่งถูกฟ้อง มีคนไข้ตายระหว่างดมยา ซึ่งเขาก็อธิบายให้เราฟังว่า ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ นั้นเกิดขึ้นได้เสมอ พอถูกฟ้องแล้วก็เลยหมดกำลังใจ เลิกทำหน้าที่วิสัญญีแพทย์ เลิกทำหน้าที่แพทย์เลย ลาออกจากงานแพทย์ทั้งหมด แล้วมาสมัครงานเป็นนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ห้าหกปีแล้ว ได้เงินน้อยกว่ามาก แต่สบายใจ ไม่ต้องเสี่ยงอะไร ไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตคนไข้ ใช้ชีวิตเป็นเวลา ไม่ต้องอดหลับอดนอน ไม่ต้องเครียด มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน มาเป็นนักวิจัยทางการแพทย์แทน มีหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูล เขียนเปเปอร์ เขียนขอทุนวิจัย แต่ไม่ต้องรับผิดชอบคนไข้อีกต่อไป เขาบอกว่าจริงๆ แล้วก็ทำ Professional liability insurance เอาไว้เรียบร้อย มูลค่าความเสียหายนั้นทางบริษัทประกันภัยก็จ่ายให้เกือบหมด แต่หมดกำลังใจทำหน้าที่แพทย์อีกต่อไปแล้ว ขอมาทำอย่างอื่นแทน แขวนเข็มวางยาสลบไปเรียบร้อย ถ้าถามว่าการมีคดีฟ้องร้องทางการแพทย์นั้นทำให้ต้นทุนทางการแพทย์สูงขึ้นหรือไม่ การมีประกันภาระรับผิดชอบในวิชาชีพของแพทย์ ซึ่งบางทีก็เรียกกันว่า malpractice insurance หรือประกันภัยสำหรับการทำเวชปฏิบัติที่ผิดพลาด แพทย์ในสหรัฐอเมริกาต้องซื้อประกันภัยชนิดนี้ทุกคนไว้เผื่อที่จะมีการฟ้องร้อง หรือบางทีโรงพยาบาลที่แพทย์นั้นๆ ทำงานก็เป็นคนซื้อให้ แต่แน่นอนว่าสุดท้ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดเหล่านี้ก็ไปรวมอยู่ที่ Medical Bills นั่นเอง ทำให้เป็นภาระของประชาชน ดังที่เราทราบกันดีว่าค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ของสหรัฐอเมริกานั้นสูงที่สุดในโลก วันนี้ก็มีเหตุบังเอิญให้ได้สอนนักศึกษาปริญญาโทสาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยงที่นิด้า ได้ยกตัวอย่างบทความที่พยายามพยากรณ์จำนวนครั้งของการถูกฟ้องร้องคดีทางการแพทย์ของแพทย์ในรัฐฟลอริด้า จากบทความของ Fournier, Gary M. & Melayne Morgan McInnes. ในปี 2001 ชื่อบทความ The case of experience rating in medical malpractice insurance: An empirical evaluation ตีพิมพ์ในวารสารชื่อ Journal of Risk and Insurance ฉบับที่ 68 หน้าที่ 255-276 ซึ่งใช้แบบจำลองพยากรณ์ความถี่ของความเสียหายที่เรียกว่า Poisson and negative binomial regression analysis ในการพยากรณ์ความถี่ในการฟ้องร้องแพทย์แต่ละคนจากเวชปฏิบัติที่ผิดพลาด ผลการศึกษาพบว่า 1) ระยะเวลาที่ได้ใบประกอบโรคศิลปะมีความสัมพันธ์ทางลบกับจำนวนคดีที่ถูกฟ้องร้อง ยิ่งทำอาชีพแพทย์มานานมีแนวโน้มจะถูกฟ้องร้องลดลง 2) การเป็นแพทย์ชายมีความสัมพันธ์ทางบวกกับจำนวนคดีที่ถูกฟ้องร้อง แพทย์ชายมีจำนวนคดีที่ถูกฟ้องร้องมากกว่าแพทย์หญิง 3) ปริมาณคนไข้ที่ตรวจรักษามีความสัมพันธ์ทางบวกกับจำนวนคดีที่ถูกฟ้องร้อง ยิ่งรักษาคนไข้มากเท่าใด ยิ่งมีคดีที่ถูกฟ้องร้องมาก ของไทยแพทย์ในโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขออกตรวจคนไข้ผู้ป่วยนอก (OPD) วันละกี่คนกันเอ่ย? 4) ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาของแพทย์แต่ละคนโดยเฉลี่ยมีความสัมพันธ์ทางลบกับจำนวนคดีที่ถูกฟ้องร้อง หมายความว่าแพทย์ที่เรียนกันยาวนานมีจำนวนคดีที่ถูกฟ้องร้องค่อนข้างน้อยกว่า 5) รายได้เฉลี่ยของแพทย์แต่ละคน มีความสัมพันธ์ทางบวกกับจำนวนคดีที่ถูกฟ้องร้อง ยิ่งแพทย์มีรายได้มากเท่าใด ยิ่งมีจำนวนคดีโดยเฉลี่ยที่ถูกฟ้องร้องเพิ่มมากขึ้น ถ้าเป็นจริงดังนี้แพทย์โรงพยาบาลเอกชนของไทยน่าจะมีความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้องสูงกว่าแพทย์ในภาครัฐ 6) สาขาแพทย์เฉพาะทางที่มีความเสี่ยงสูงสุดในการถูกฟ้องร้องคือ 1) ศัลยแพทย์ 2) สูตินรีแพทย์ 3) หมอหูคอจมูก 4) วิสัญญีแพทย์ 5) เวชศาสตร์ฉุกเฉิน 6) รังสีวิทยา 7) อายุรแพทย์ และ 8) กุมารแพทย์ มีความเสี่ยงต่ำสุดในการถูกฟ้องร้อง ข้อหก นี้ สอดคล้องกับที่ได้ยินมาในประเทศไทย เนื่องจากได้ไปนั่งทานกาแฟกับเพื่อนที่เป็นอาจารย์แพทย์และกำลังจะซื้อ Professional Liability Insurance ที่ว่านี้ ทำให้ทราบว่า เบี้ยประกัยสำหรับศัลยแพทย์และสูตินรีแพทย์นั้นแพงสุด หมอหูคอจมูกนั้นเบี้ยประกันภัยแพงปานกลาง ส่วนหมออายุแพทย์กับกุมารแพทย์นั้นเบี้ยประกันภัยถูกสุด อันที่จริงการมีประกันภัยภาระรับผิดชอบในวิชาชีพ (Professional Liability Insurance) หรือประกันภัยเวชปฏิบัติที่ผิดพลาด (Malpractice Insurance) สำหรับประเทศไทยน่าจะเป็นเรื่องดี ทำให้ผู้ป่วยได้รับการคุ้มครองดูแลดีขึ้น แพทย์เองก็ทำงานระวังมากขึ้น เพราะปกติเบี้ยประกันภัยนั้นจะแพงขึ้นในปีถัดไปถ้าแพทย์คนนั้นๆ ถูกฟ้องร้องมากๆ เรียกว่ามีบทลงโทษ (Malus) สำหรับแพทย์ที่มีเวชปฏิบัติที่ผิดพลาดบ่อยๆ นอกจากนี้ผู้ป่วยที่เสียหายก็สามารถเรียกร้องค่าเสียหายกับบริษัทประกันภัยได้โดยตรง ซึ่งต้องจ่ายสินไหมให้อย่างสมเหตุสมผลและต้องพิสูจน์ได้ว่าเป็นเวชปฏิบัติที่ผิดพลาดจริงเสียก่อนจึงจะจ่ายให้ ปัญหาใหญ่คือแพทย์ต้องซื้อกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวเอง ได้ทราบมาว่าโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งได้ซื้อประกันภัยดังกล่าวให้แพทย์ของตนไว้บ้างแล้ว สำหรับแพทย์ที่ทำงานในกระทรวงสาธารณสุขนั้นความรับผิดทางแพ่ง กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ทางอาญาต้องรับผิดชอบเอง เรื่องนี้กฎหมายไทยยังมีประเด็นละเอียดอ่อนที่ต้องได้รับการพัฒนาอีกมากให้ทันสมัยและตรงตามความเป็นจริง สิ่งที่น่ากังวลคือ การแพทย์และการสาธารณสุขไทยกำลังเข้าสู่ยุคมืดของการฟ้องร้องกันอย่างเต็มที่เหมือนสหรัฐอเมริกา ในขณะที่เรายังขาดแคลนแพทย์แสนสาหัส และการฟ้องร้องเหล่านั้นได้บั่นทอนกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ของแพทย์และบุคลากรทางสาธารณสุขไปพอสมควร การมีประกันภัยภาระรับผิดชอบในวิชาชีพ (Professional Liability Insurance) หรือประกันภัยเวชปฏิบัติที่ผิดพลาด (Malpractice Insurance) แม้จะช่วยบรรเทาความเสียหายทางแพ่งลงไปได้ แต่ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหากำลังใจของบุคลากร และความสัมพันธ์อันดีที่เคยมีมาในอดีตระหว่างบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขกับประชาชนไปได้แต่อย่างใด |
รวบรวมมาฝาก .. จะได้เข้าใจกันมากขึ้นว่า เรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ผลกระทบของ "หมอ" เท่านั้น
มีผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขโดยรวม และ มีความสลับซับซ้อนกว่า คำพูดไม่กี่คำ ที่ยกขึ้นมาอ้าง
ถอดความ รายการสามัญชน คนไทย ตอน กฎหมายคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบทางสาธารณสุข ... ชเนษฎ์ ศรีสุโข https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=21-11-2016&group=7&gblog=208
ร่าง พรบ. คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ... ปัญหา หรือ โอกาส ... https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=11-07-2010&group=7&gblog=61
เมื่อแพทย์และพยาบาลต้องล้มละลายเพราะถูกไล่เบี้ย
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=15-11-2016&group=7&gblog=207
การกระทำของแพทย์ในการรักษาโรค
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=24-09-2016&group=7&gblog=204
ประกันภัยภาระรับผิดชอบในวิชาชีพ (Professional Liability Insurance) ทางออกหนึ่งสำหรับคดีทางการแพทย์ https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=17-04-2016&group=7&gblog=197
ได้ไม่เท่าเสีย ....โดย สุนทร นาคประดิษฐ์ ( ความเห็น เกี่ยวกับ การฟ้องร้องแพทย์ ) https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=13-03-2009&group=7&gblog=21
ฟ้องร้องแพทย์ ความยุติธรรมแก่ใคร ฤๅ???
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=28-01-2009&group=7&gblog=12
ปัจจุบันแพทย์พยาบาลสามารถถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย(คดีแพ่ง) โดยง่าย เหตุเพราะมีการตีความว่าการรักษาช่วยชีวิตคนไม่ต่างอะไรจากสินค้าหรือบริการที่มุ่งหวัง กำไรทั่ว ๆ ไป (ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค)ทำให้มีแนวโน้มการฟ้องร้องสูงขึ้น เรื่อย ๆ ที่ผ่านมาประเด็นนี้ ได้รับการปลอบขวัญจากรัฐเพื่อลดความวิตกกังวลของบุคลากรภาครัฐว่าไม่ต้องกังวล เพราะมีพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ เป็นเกราะป้องกันการฟ้องร้องไว้ จึงทำให้แพทย์พยาบาล หลายคนชะล่าใจ คิดว่าไม่ว่าผิดถูกอย่างไร ไม่ว่าศาลจะทำคำตัดสินออกมาเช่นไรบุคลากรก็ไมได้รับผลกระทบ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วแพทย์พยาบาล อาจตกอยู่ในฐานะล้มละลายโดยง่ายได้เหตุเพราะแท้จริงแล้วบุคลากรยังคงมีความรับผิดชอบต่อเงินที่หน่วยงานต้นสังกัดต้องทดรองจ่ายให้ไปก่อนควรเข้าใจเสียใหม่ว่า กฎหมายนี้เป็นเพียงเกราะป้องกันมิให้แพทย์พยาบาลตกเป็นจำเลยโดยตรง แต่ความรับผิดทางอ้อม (การโดนไล่เบี้ย )ยังคงอยู่
ที่สำคัญคือในการอภิปรายและการประชุมในหลายๆ ครั้ง ผู้บริหารระดับสูง ในกระทรวงก็ยอมรับว่าท่านไม่มีอำนาจสั่งห้ามการไล่เบี้ยได้ เพราะเมื่อกระทรวงต้องนำเงินหลวงออกไปจ่ายให้กับโจทก์ตามคำพิพากษาท่านมีหน้าที่ตั้ง กรรมการสอบเพื่อพิจารณาการ ไล่เบี้ยและรายงานผลให้กระทรวงการคลังที่เป็นเจ้าของเงินที่แท้จริงซึ่งส่วนใหญ่แล้วกระทรวงการคลัง จะดูคำพิพากษาศาลเป็นหลักหากศาลตัดสินว่ามีความผิด การไล่เบี้ยนั้น เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก !!ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านี้คือขณะนี้มีคดีแพ่งที่กระทรวงตกเป็นจำเลยและรอฟังคำตัดสินของศาล อยู่อีกประมาณ ๕๐ คดีคิดเป็นทุนทรัพย์ประมาณ ๓,๐๓๙ ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ ๙กรกฎาคม ๒๕๕๙ กลุ่มกฎหมาย กระทรวงสาธารณสุข)
ที่น่าวิตกยิ่งไปกว่านี้คือหากรัฐยอมผ่านพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขจะมีคดีฟ้องร้องเพิ่มขึ้นอีกกี่ร้อยเท่าเพราะเดิมพันตามร่างกฎหมายใหม่นี้เป็นเงินจำนวนหลายล้านบาทต่อการร้องเรียนหนึ่งรายและเมื่อจ่ายเงินไปหลายล้านบาทออกไป กระทรวงการคลัง จะยอมมิให้มีการไล่เบี้ยอย่างที่ผู้ผลักดันกฎหมายออกมาโฆษณาชวนเชื่อ จริงหรือ !?!
แนะนำให้อ่านอย่างยิ่งยวด .. โดยเฉพาะ แพทย์พยาบาล ที่ยังรับราชการอยู่
เมื่อแพทย์และพยาบาลต้องล้มละลายเพราะถูกไล่เบี้ย
ผศ.นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา กรรมการแพทยสมาคม
ดาวน์โหลด วารสารเมดิคอลโฟกัส MedicalFocusปีที่ 8 ฉบับที่ 94 ตุลาคม 2559
//www.luckystarmedia.co.th/download/medical_focus_vol_94.pdf
...............................
ตัวอย่างคดีที่แพทย์พยาบาลโดนไล่เบี้ย
- คดีแรก Drug allergy ศาลเห็นว่าแพทย์กระทำการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจึงมีคำพิพากษาให้กระทรวงสาธารณสุข ต้องชดใช้สินไหมเป็นเงินจำนวน ๓,๖๘๘,๖๓๐ บาท เมื่อคดีนี้ เข้าสู่คณะกรรมการพิจารณาไล่เบี้ยคำตัดสินที่ได้ออกมาคือแพทย์ต้องควักเงินส่วนตัว เพื่อชำระในอัตรา ๕๐% คิดตกเป็นเงินทั้งสิ้นที่แพทย์ต้องจ่ายคืนให้กับรัฐ๑,๘๔๔,๓๑๕ บาท
- คดีที่สอง Compartment syndrome ศาลจึงมีคำพิพากษาถึงที่สุด ต้องชดใช้สินไหมพร้อมค่าเสียหายเป็นเงิน ๔,๒๕๑,๓๗๗ บาท โดยมีการไล่เบี้ยให้แพทย์ต้องชดใช้เงินคืนรัฐจำนวน ๗๐% และพยาบาล ๓ คนอีก ๓๐%
- คดีที่สาม Snake bite ศาลจึงตัดสินให้จำเลยมีความผิดและต้องชดใช้เงินเป็นจำนวนทั้งสิ้น ประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ บาท คดีนี้ มีคำสั่งให้ไล่เบี้ยแพทย์คิดเป็น ๖๐% พยาบาล ๔๐%
- คดีที่สี่ Extubation ศาลจึงมีคำพิพากษาว่าจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง!! ต้องชดใช้เงินรวมทั้งสิ้น ๕,๑๒๕,๔๑๑ บาท กระทรวงสาธารณสุข ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาการไล่เบี้ย มีคำสั่งให้ไล่เบี้ยเป็นจำนวนเงิน ๕๐% ของเงินที่จ่ายไป โดยให้แพทย์รับไป ๗๐% พยาบาล ๒ คน ๓๐%
- คดีที่ห้า Pulmonary tuberculosis คำพิพากษาให้จำเลย ที่เป็นกุมารแพทย์มีความผิดฐานประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงให้กระทรวงสาธารณสุข ต้องจ่ายเงินประมาณ ๓,๘๐๐๐,๐๐๐ บาท