การเขียนนวนิยาย โดย อาจารย์ชมัยภร แสงกระจ่าง
พอดีว่าตัวผมได้มีโอกาสไปอบรมการเขียนในหัวข้อ เขียนอย่างมืออาชีพ ปี58 ที่ทางสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์จัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2558 ที่ผ่านมา โดยการอบรมในครั้งนี้สำหรับผู้ที่เตรียมตัวส่งผลงานเข้าประกวดในโครงการประกวดวรรณกรรมแว่นแก้ว ครั้งที่ 12 ประจำปี 2558 เมื่อผมได้รับการอบรมความรู้ที่เป็นประโยชน์ก็อยากจะบันทึกเนื้อหาความรู้จากการอบรมในครั้งนี้ไว้สำหรับตัวของผมเองและผู้สนใจ โดยเนื้อหาในบล็อกนี้ผมเรียบเรียงเขียนขึ้นมาใหม่จากการที่ผมได้จดบันทึก (เลคเชอร์) ตามความเข้าใจของผม ถึงแม้ว่าจะไม่ครบถ้วนหรือถูกต้องทั้งหมดตามที่ท่านวิทยากรสอน แต่ก็คาดว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้สนใจก็เป็นได้ โดยท่านวิทยากรผู้สอนในหัวข้อการเขียนนวนิยายนี้ก็คือ อาจารย์ชมัยภร แสงกระจ่าง ท่านเป็นเขียนนวนิยายชื่อดังของเมืองไทย อีกทั้งท่านยังเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์อีกด้วย ถือว่าเป็นท่านมีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการเขียนนวนิยายเป็นอย่างดี โดยท่านได้สอนเรื่องราวที่เป็นประโยชน์สำหรับการเขียนนวนิยายดังนี้ @การอ่านเป็นกระบวนการหนึ่งของการเขียน ดังนั้นผู้ที่อยากเป็นนักเขียนควรจะต้องเริ่มอ่านกันตั้งแต่วันนี้ @การอ่านเป็นหนทางลัดสู่การเป็นนักเขียน ดังนั้นจึงควรอ่านด้วยสายตาของนักเขียน อ่านแล้วควรเฝ้าสังเกตและจดจำวิธีการเขียนเอาไว้ @การอ่านเป็นการนำเข้า นอกจากจะอ่านหนังสือแล้วนักเขียนควรจะต้องอ่านชีวิตด้วย เพราะนักเขียนจำเป็นต้องเขียนเรื่องของมนุษย์ เขียนโดยที่มีความเข้าใจในความเป็นไปของมนุษย์ ดังนั้นนักเขียนจึงต้องมีดวงตาของนักอ่านชีวิตซึ่งมีความเข้าใจในการอ่านชีวิตมากที่สุด @นักเขียนควรหมั่นสังเกตสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา ทั้งที่เป็นสิ่งชีวิตและไม่มีชีวิต โดยต้องเข้าใจในสิ่งเหล่านั้นด้วย การจะเป็นนักเขียนนั้นเราต้องรู้ว่าเราเป็นอะไร? และกำลังทำอะไร? ดังนั้นเราจึงต้องสนใจในรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ด้วย @ประสบการณ์ชีวิตเป็นสิ่งที่ถูกเก็บอยู่ในความทรงจำของสมอง ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการเขียนได้ โดยความสะเทือนใจเป็นลิ้นชักในความทรงจำที่สำคัญมาก ที่ผ่านมาเรามีความสะเทือนใจมากน้อยขนาดไหน? @การเขียนคือการถ่ายทอดเพื่อการส่งออก เป็นการนำเรื่องราวและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ข้างใน(ใจ)ของเราออกมาเขียนให้ได้ @การเขียนนวนิยายเป็นการเขียนเรื่องจินตนาการ (ไม่ใช่เรื่องจริง) ดังนั้นนวนิยายจึงเป็นวรรณกรรมที่ประกอบด้วยความเป็นจริงของชีวิต + จินตนาการ @งานเขียนนั้นเป็นงานที่สร้างด้วยใจ ออกมาจากข้างใน ซึ่งยืดหยุ่นได้และไม่ตายตัวเสมอไป @เพราะว่าชีวิตแต่ละชีวิตมีความแตกต่างกันไม่เหมือนกัน องค์ประกอบนี้เองที่ทำให้งานเขียนของแต่ละคนออกมาแตกต่างกัน @การจะเป็นนักเขียนที่ดีนั้นควรจำไว้เสมอว่า เขียนอะไรก็ได้แต่ต้องเขียนให้สม่ำเสมอ @การจะเป็นนักเขียนที่ดีนั้นควรจะหมั่นฝึกเขียนกลอนให้บ่อย ๆ เพราะคำกลอนเป็นงานเขียนที่มีฉันทลักษณ์ซึ่งมีรูปแบบการเขียน จึงต้องมีการเลือกหาคำมาใช้ให้ลงตัว อีกทั้งการเขียนกลอนนั้นจะทำให้เรายอมรับในกรอบกฎเกณฑ์บางอย่างได้ด้วย @การเขียนนวนิยายต้องมีจินตนาการ โดยนวนิยายซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญอยู่ 3 ส่วนคือ 1.) เรื่อง เป็นเรื่องของการกระทำ ในเนื้อหาของเรื่องนั้นจะต้องมีปัญหาหรือความขัดแย้งเสมอ 2.) ตัวละคร พระเอก , นางเอก , ผู้ร้าย , ตัวประกอบ ฯลฯ 3.) ฉาก ซึ่งเป็นสถานที่ที่เกิดเรื่องราว @ข้อแตกต่างระหว่างเรื่องสั้นกับนวนิยายประการหนึ่งคือ เรื่องสั้นนั้นอาจจะไม่มีสถานที่เลยก็ได้ แต่นวนิยายนั้นจะต้องมีสถานที่เสมอ @การเขียนนวนิยายนั้นจะต้องคิดก่อนเขียน ต้องคิดตรีม(แนวคิด)สำคัญของเรื่องให้ได้ก่อน คือต้องสรุปความคิดสำคัญให้ได้ก่อน ต้องตอบให้ได้ก่อนว่าเราเขียนเรื่องนี้ทำไม? @การเขียนนวนิยายนั้นต้องมีการสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นเสมอ จึงจะทำให้เกิดเป็นเรื่องราวขึ้น อีกทั้งความขัดแย้งนั้นจะเป็นตัวสร้างสีสันที่ทำให้เรื่องราวสนุกสนานและน่าติดตาม @ตัวละครที่ไม่มีความขัดแย้งเลยนั้นเหมาะสมสำหรับการใช้เขียนสารคดี เพราะผู้เขียนสามารถใช้ตัวละครเป็นตัวเล่าเรื่องราวทั้งหมดได้ @ความขัดแย้งในนวนิยายนั้นมีหลายประเภท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นดังนี้ 1.) คน(ตัวละคร)ขัดแย้งกับคน(ตัวละคร) 2.) คน(ตัวละคร)ขัดแย้งกับจิตใจของตัวเอง 3.) คน(ตัวละคร)ขัดแย้งกับสภาพแวดล้อม 4.) คน(ตัวละคร)ขัดแย้งกับนโยบายภาครัฐ @เวลาที่เราสร้างความขัดแย้งขึ้นมาแล้วเราควรคำนึงถือข้อเท็จจริงด้วย สร้างความขัดแย้งขึ้นมาบนพื้นฐานของความเป็นไปได้จะทำให้เรื่องของเราสมจริง ทำให้ผู้อ่านเชื่อว่าเป็นไปได้ @เรื่องของเราควรจะมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือด้วย จึงจะทำให้ผู้อ่านเชื่อและคล้อยตามไปกับเรื่องของเรา @นักเขียนส่วนใหญ่มักจะเขียนเรื่องที่เกิดขึ้นจากเรื่องจริงของตัวเองหรือคนใกล้ตัว ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นได้เกิดขึ้นจริงแล้ว จึงทำให้เรื่องที่สร้างขึ้นมานี้มีความน่าเชื่อถือและมีความสมจริงมากยิ่งขึ้นด้วย @แต่ความสมจริงนั้นอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา เช่น ในสมัยก่อนนางเอกจะออกจากบ้านต้องปลอมตัวเป็นผู้ชาย เพราะว่าสมัยก่อนนั้นผู้หญิงมักจะไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน การเดินทางจึงอาจจะเป็นอันตรายแก่ผู้หญิงได้ แต่ในปัจจุบันผู้หญิงไม่ต้องปลอมตัวเพื่อออกจากบ้านแล้ว ในสมัยนี้ผู้หญิงไปปลอมตัวในเฟสบุ๊คส์แทน โดยเอารูปที่ดูสวยและดูดีทำให้คนอื่นเชื่อว่าเป็นคนสวย ซึ่งถือว่ารูปแบบของการปลอมตัวเปลี่ยนแปลงไป @เรื่องเพศที่ 3 นั้นสามารถนำมาใช้ในพล็อตเรื่องการปลอมตัวได้เช่นกัน เช่นแปลงเพศเป็นผู้หญิงโดยไม่ให้พระเอกรู้ @ในการสร้างความขัดแย้งนั้นเราควรคิดให้ดีก่อน เพื่อที่จะได้สร้างความขัดแย้งออกมาสมจริงมากที่สุด @การสร้างตัวละครนั้นต้องคิดให้ชัดเจนก่อนเช่นกัน โดยวางบุคลิกลักษณะของตัวละครไว้ให้ชัดเจนก่อนว่า ตัวไหนเป็นพระเอก , เป็นนางเอก , เป็นผู้ร้าย ฯลฯ @ในการเขียนนวนิยายที่เราเอาตัวเราเองมาใช้เป็นนางเอกหรือพระเอก เราจะไม่สามารถเขียนเพื่อชื่นชมตัวเองได้ เราจึงต้องเขียนแบบถล่มตนอย่างที่สุด @การสร้างตัวละครนั้นเราอาจจะใช้บุคลิกและลักษณะของคนใกล้ตัวก็ได้ เพราะว่าเราเห็นบุคลิกของเธอหรือเขาชัดเจน และเราประทับใจในตัวเธอหรือเขาด้วย แต่เมื่อนำมาใช้แล้วเราควรเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่เราเอามาเป็นต้นแบบนั้นรู้ เช่น เธอผมยาวเราก็เปลี่ยนให้ตัวละครของเราผมสั้น เป็นต้น @การเขียนนวนิยายนั้นเริ่มต้นจากการสร้างโครงเรื่องขึ้นมา โดยให้ตัวละครมีความขัดแย้งกัน โดยการสร้างเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องและเป็นเหตุเป็นผลกัน โดยต้องให้เหตุการณ์ทั้งหมดในเรื่องนั้นมีความสัมพันธ์กับตัวละครหลัก คือพระเอก พระรอง นางเอกและผู้ร้ายด้วย @รวมทั้งการสร้างเรื่องขึ้นมานั้นตัวละครหลักทั้งหมดต้องมีความสัมพันธ์กันด้วย คือรู้จักกันหรือเป็นญาติเป็นเพื่อน หรือเป็นคนที่รู้จักกัน โดยต้องมีเหตุการณ์หรือความเป็นไปอะไรบางอย่างที่ทำให้ตัวละครเข้ามาบรรจบกันได้ @การสร้างโครงเรื่องนั้นอาจจะมีทั้งโครงเรื่องหลักที่เป็นความสัมพันธ์หรือเหตุการณ์ของตัวละครหลัก (พระเอก , นางเอก และผู้ร้าย) และโครงเรื่องรองที่เป็นเรื่องราวของตัวละครรองด้วยก็ได้ โดยให้ทั้งโครงเรื่องหลักและโครงเรื่องรองนั้นมีความสัมพันธ์ควบคู่และสอดคล้องกันไปจนจบเรื่อง @การวางโครงเรื่องนั้นจำเป็นต้องให้เหตุการณ์ต่าง ๆ เรียงลำดับและเรียงร้อยกัน โดยต้องมีเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดของเรื่อง (ไคลแม็กซ์) เป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องด้วย ซึ่งเวลาที่เราจะเขียนนวนิยายนั้นเราควรคิดถึงฉากที่สำคัญที่สุดของเรื่อง (ไคลแม็กซ์) นี้ไว้ก่อนเสมอ @โดยในฉากที่สำคัญทีสุดนั้น (ฉากไคลแม็กซ์) จะต้องเป็นฉากที่ตัวละครเกิดอารมณ์ (ดราม่า) ที่ทำให้มีความขัดแย้งกันมากที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นจุดสำคัญที่สูงสุดของเรื่อง @ในการสร้างโครงเรื่องนั้น เราควรสร้างโครงสร้างให้มีความซับซ้อนเกี่ยวพันกันไปโดยตลอด จะทำให้เรื่องของเราสนุกสนานเร้าใจและน่าตื่นเต้นสำหรับผู้อ่าน แต่ถ้าโครงเรื่องของเราราบเรียบไปตลอดเรื่องนั้นตัวละครหลักจะต้องมีความวิเศษมากที่สุด เพื่อทำให้ผู้อ่านเกาะติดไปกับตัวละครที่พิเศษนั้น @เรื่องสืบสวนสอบสวนจะมีโครงสร้างของเรื่องที่ซับซ้อนมากที่สุด โดยเหตุการณ์ต่าง ๆ มักจะวกวนไปมา แต่ก็สามารถนำไปสู่จุดจบสุดท้ายของเรื่องได้ (รู้ตัวผู้ร้าย/รู้ตัวฆาตกร) @ถ้าเรามีความรู้หรือมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ ให้เอาสิ่งเหล่านั้นเป็นวัตถุดิบในการเขียนเรื่อง เอาข้อมูลดิบของเรามาสร้างเป็นฐานของเรื่อง จะสร้างเรื่องได้ดีเนื่องจากเรามีวัตถุดิบที่คนอื่นไม่มี เช่น คนเคยทำร้านเสริมสวยมาก่อน จะสามารถสร้างรายละเอียดของเรื่องการทำผมได้ดี เช่น รู้จักเสียงไดร์ฟเป่าผม , มีความรู้เกี่ยวกับการสระผม , วิธีการดัดผม ฯลฯ ซึ่งสามารถนำเอารายละเอียดต่าง ๆ นี้มาสร้างเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในร้านเสริมสวยได้ดีกว่าคนอื่น @อ.ชมัยภร เคยได้ยินประโยคที่ว่า ไม่ตายแต่ตาบอดตลอดชีวิต ซึ่งได้ยินประโยคนี้แล้วเกิดความสะเทือนใจจึงนำมาเรื่องเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนตาบอด โดย อ.ชมัยภร ต้องไปหาข้อมูลเกี่ยวกับคนตาบอดเพิ่มเติม @เคยมีนักเขียนชื่อดังบอกไว้ว่า เวลาที่เราจะเขียนเรื่องอะไรนั้น ข้อมูลจะวิ่งมาหาเราโดยไม่รู้ตัว อาจจะเป็นได้ว่าเพราะเราจดจ่ออยู่กับเรื่องนั้น ๆ ก็เป็นได้ @วิธีการหาข้อมูลสำหรับใช้เขียนเรื่องนั้น เราจำเป็นต้องไปหาข้อมูลดิบมา ไปค้นคว้ามาโดยหามาให้ได้มากที่สุด โดยเมื่อเราได้ข้อมูลดิบมาแล้วเราไม่ต้องใส่ลงไปทั้งหมดหรือใส่ให้ได้ 100% ใส่ลงไปให้เหมาะสมเพียงพอแก่การเล่าเรื่อง ซึ่งการที่เรามีข้อมูลดิบเพียงพอนั้นจะทำให้เรามั่นใจในการเขียนเรื่องด้วย @การที่เราหาข้อมูลดิบมาได้แต่ไม่ใส่ลงไปทั้งหมดในนวนิยายของเราก็เพราะว่า คนอ่านคงจะรับไม่ได้เนื่องจากข้อมูลมากเกินไป (ยกเว้นในกรณีที่เราหามาเพื่อเขียนสารคดี) @การจะเป็นนักเขียนนั้นเราไม่สามารถเป็นได้ตั้งแต่เรื่องแรกที่เราเขียน ดังนั้นเราควรจะมีคนใกล้ตัวที่ไว้วางใจได้สำหรับช่วยอ่านงานของเรา เพื่อที่จะช่วยวิจารณ์งานเขียนของเราว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร? @ในเรื่องของการเขียนนั้นถ้าภาษาผิดก็สามารถแก้ไขได้ แต่ถ้าข้อมูลผิดไม่อาจจะแก้ไขได้ ดังเช่นในกรณีที่เราให้บรรณาธิการช่วยแก้ไขงานให้เรานั้น ถ้าเราเขียนสะกดผิดบรรณาธิการก็ช่วยแก้ไขให้เราได้ แต่ถ้าโครงเรื่องผิดหรือข้อมูลผิดพลาดนั้นจะไม่มีใครที่จะสามารถแก้ไขงานให้เราได้เลย @เวลาเขียนฉากวาบหวามนั้นอย่าให้เลยเถิดจนเกินไป เพราะถ้าเขียนเกินไปจะกลายเป็นอนาจารได้ @การสร้างตัวละครในเรื่อง ควรสร้างให้มีทั้งตัวละครเอกและตัวละครรอง รวมทั้งต้องมีตัวละครประกอบด้วย @บทบาทของตัวละครรองจะช่วยส่งเสริมบทบาทของตัวละครเอก ตัวละครรองก็ควรจะมีบุคลิกเป็นของตัวเองพอสมควร (ควรสร้างรายละเอียดให้ตัวละครรองด้วย) โดยตัวละครรองนั้นมีส่วนสำคัญในเรื่องก็คือทำให้เรื่องของเราเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ ทำให้เรื่องไปถึงจุดจบสุดท้ายได้ @การสร้างโครงเรื่องหลักนั้นสำหรับตัวละครเอก ส่วนโครงเรื่องรองนั้นสำหรับตัวละครรอง ส่วนตัวละครประกอบนั้นอาจจะไม่มีโครงเรื่องรองรับก็ได้ @มีนักเขียนใหญ่ท่านหนึ่งบอกไว้ว่า ถ้าตัวละครที่คิดจะเขียนยังไม่มาเต้นเร้า ๆ อยู่ตรงหน้าก็ยังเขียนเรื่องไม่ได้ เพราะถ้าเรายังเห็นตัวละครของเราไม่ชัดเจนตัวละครนั้นก็ยังไม่อาจจะมาเต้นตรงหน้าเราได้ แต่ถ้าตัวละครของเราชัดเจนแล้วมันจะมาสะกิดบอกตัวเองว่าควรจะเริ่มเขียนเรื่องได้แล้ว @ก่อนที่จะเขียนเรื่อง เราควรถามตัวเองเสมอว่าเรารู้จักตัวละครดีหรือยัง? เราต้องหาคำตอบให้แก่ตัวละครให้ได้ทุกคำถามโดยที่เราต้องรู้จักตัวละครของเราให้ดีที่สุด @ตัวละครตัวไหนที่เราจับถนัดที่สุดและเรารู้จักมันดีที่สุด ให้เอาตัวละครนั้นเป็นตัวเล่าเรื่อง โดยใช้วิธีการเขียนที่เล่าเรื่องผ่านตัวละครนั้น หรือไม่ก็เลือกเอาตัวละครที่มีสีสันมากที่สุดในเรื่องเป็นตัวเล่าเรื่องก็ได้ @ถ้าเราจะเล่าเรื่องผ่านตัวละครที่รู้ทุกเรื่องนั้น เราควรจะเล่าโดยให้ตัวละครนั้นเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องเลย จะทำให้เรื่องราวมีสีสันมากขึ้น เช่น เรื่องฟอเรส กั๊มป์ @ถ้าเราเลือกตัวละครที่ทำหน้าที่เล่าเรื่องได้ถูกตัวแล้ว การเขียนมันจะลื่นไหลเป็นอย่างมาก เขียนแล้วหยุดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจึงควรถามตัวเองว่าเล่าเรื่องผ่านตัวละครไหนแล้วดีที่สุด @อ.ชมัยภร เขียนเรื่อง อาม่าบนคอนโด โดยเล่าเรื่องผ่านตัวละครเด็กผู้ชาย ทำให้เรื่องดูสนุกมากขึ้น @ในการเขียนสถานที่หรือฉากของเรื่องนั้น ถ้าเราคิดไว้ว่าจะให้ตัวละครอยู่ที่ไหน? หรือว่าไปไหน? ให้เราเขียนฉากหรือสถานที่นั้นไว้เลย โดยอาจจะเขียนวาดเป็นแผนผังหรือเขียนเป็นแปลนไว้ก็ได้ เพื่อที่จะทำให้เราไม่หลงและสับสนจนเขียนผิด @ในการเขียนเราควรหาสัญลักษณ์ส่วนตัวให้แก่ตัวละครเอก โดยอาจจะเป็นสิ่งที่ติดตัวเขาอยู่ตลอดเวลาก็ได้ โดยการหาสัญลักษณ์ให้นั้นจะต้องให้สอดคล้องกับตัวละครและมีเหตุผลรองรับด้วย เช่น พระเอกมีป้ายอาญาสิทธิ์ , พระเอกสตาร์วอร์ถือดาบเลเชอร์ ฯลฯ @เราต้องรู้วิธีทำให้เรื่องของเราสมจริงด้วย @เรื่องของภาษานั้นเป็นองค์ประกอบของงานเขียน เราควรสร้างภาษาให้สอดคล้องกับบุคลิกของตัวละครด้วย และควรใช้ภาษาให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่องด้วย เช่น เขียนเรื่องโบราณก็ต้องใช้ภาษาโบราณ เป็นต้น @นักเขียนควรรู้ว่าตัวเองเรียนภาษามาจากที่ไหน? และตัวเองมีลีลาภาษาแบบไหน? ยิ่งถ้าเราชอบอ่านหนังสือของใคร ภาษาของนักเขียนท่านนั้นก็อาจจะติดตัวเรามาด้วยก็ได้ เช่น คนที่ชอบอ่านงานของทมยันตรี เวลาเขียนมักใช้คำว่า แฉกเช่น เป็นต้น @ถ้าเนื้อเรื่องเรียบง่ายภาษาที่ใช้ก็ต้องเรียบง่ายด้วย แต่ถ้าเนื้อเรื่องออกแนวติสต์ (อาร์ต/ศิลป์) ภาษาก็ต้องติสต์ตามไปด้วย @ถ้าเขียนเรื่องเด็กก็ต้องใช้ภาษาเด็กด้วย เช่น เด็กมักพูดว่า จะไปฉุงฉิง คือจะไปห้องน้ำ เป็นต้น @นักเขียนที่ดีต้องจำไว้เสมอว่า ภาษาที่ใช้ต้องไม่ทำให้อ่านแล้วสะดุด @อ.ชมัยภร แนะนำให้อ่านนวนิยายแปลจีนเรื่อง พี่กับน้อง ของหยูหัว สำหนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ เป็นนวนิยายที่เขียนได้ดีมาก รวมทั้งเรื่อง คนตายยาก และ คนขายเลือด ของผู้เขียนคนเดียวกันด้วย @คนไทยยังเขียนเรื่องสู้คนจีนไม่ได้ สาเหตุหนึ่งอาจจะมาจากการที่ประเทศจีนมีสังคมที่มีความซับซ้อนมาก นักเขียนของจีนจึงเขียนเรื่องราวออกมาได้ดีมากกว่า @ประเทศเวียดนามผ่านสงครามที่หนักหนามาแล้ว ทำให้คนในประเทศเขามีการตกตะกอนชีวิตที่ดี @ประเทศไทย , ลาวและเขมร มีสภาพสังคมที่คล้าย ๆ กัน @ในการเขียนเรื่องโดยใช้มุมมองของพระเจ้านั้น จะทำให้เล่าเรื่องโดยที่รู้ทุกอย่างไปเสียทั้งหมด เรียกได้ว่าสามารถอธิบายเรื่องราวทุกสิ่งในเรื่องได้ราวกับว่ามีพระเจ้าเป็นผู้วิเคราะห์ เพราะว่ามุมมองของพระเจ้านั้นมองมาจากข้างบนจึงเห็นหมดทุกอย่าง @สุดยอดของเทคนิคการเขียนคือการที่เล่าเรื่องออกมาแล้วผู้อ่านสามารถเห็นภาพตามไปด้วย เรียกว่าการเล่าเป็นภาพนั้นเอง เราจะเขียนอย่างไรให้ผู้อ่านเห็นตามเป็นภาพเหมือนที่เราเล่า @งานเขียนนั้นเป็นงานที่อิสระที่สุดในโลก เราควรทำใจให้สบายโดยเขียนเรื่องที่เราถนัดหรือเรื่องที่เราชอบ @นักเขียนที่ดีควรจะไว้เสมอว่า ต้องลงมือปฏิบัติ ต้องเขียน ต้องเร่งเขียน และต้องรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นด้วย @การตั้งชื่อเรื่องนั้นต้องตั้งชื่อให้น่าสนใจ ทำให้ผู้อ่านรู้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรแต่ไม่ควรให้รู้ทั้งหมด @การตั้งชื่อเรื่องนั้นอย่าตั้งให้ตรงไปตรงมาเกิน ควรตั้งชื่อเรื่องให้เป็นโวหารด้วยจะยิ่งดี และควรตั้งชื่อเรื่องไม่ให้ซ้ำกับของคนอื่นด้วย @ดอกหญ้าเหนือพื้นดิน เป็นงานเขียนที่ อ.ชมัยภร เขียนอัตชีวประวัติของ อ.ป๋วย อึ้งภากรณ์ ลงในนิตยสารสกุลไทย @มีนักเขียนใหญ่ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า ในเวลาเขียนหนังสือ เรื่องราวต่าง ๆ มันจะมาเองเหมือนปาฏิหาริย์ @ทุกอย่างที่มีลิขสิทธิ์ห้ามนำมาใช้ในการเขียนเพลงเด็ดขาด โปรดระวัง @เรื่องที่เราจะเขียนนั้นเราควรจะต้องรู้ตอนจบแล้วและรู้โครงเรื่องทั้งหมดแล้วเราจึงเขียน โดยระหว่างที่เขียนนั้นเราสามารถเปลี่ยนแปลงรายละเอียดต่าง ๆ ได้ แต่ห้ามเปลี่ยนใจคือห้ามเปลี่ยนโครงเรื่อง และห้ามเปลี่ยนตอนจบของเรื่องเด็ดขาด (เรื่องที่เราจะเขียนจะได้ไม่แกว่งโดยขาดเหตุผลประกอบที่ควรเป็น) @เหยื่ออธรรม นวนิยายคลาสิคที่มีตัวละครหลักเยอะหลายตัว ต้องลองหามาอ่านเพื่อศึกษาวิธีการเขียนดู @ด้วยเสน่ห์รัก ของ รพินทรนาถ ฐากูร เป็นหนังสือที่น่าอ่าน @เวลาที่เขียนติดแล้วเขียนต่อไม่ได้ ให้ไปทำอะไรก็ได้ที่ผิดแตกต่างไปจากเรื่องที่เรากำลังเขียนอยู่ ที่ติดเพราะว่าเราคิดไม่ออกพอเราไปทำอย่างอื่นโดยไม่ได้สนใจเรื่องที่เรากำลังเขียนค้างไว้ เมื่อเรากลับมาเขียนอีกครั้งจะทำให้เขียนออกก็เป็นได้ @การจะเป็นนักเขียนที่ดีนั้นควรจำไว้เสมอว่า เขียนหนังสือต้องเขียนด้วยความสุขเสมอ @อ.ชมัยภร บอกว่าทิ้งท้ายไว้ว่า การเขียนนวนิยายคือการเขียนเพื่อมนุษย์ เป็นการเขียนเพื่อให้สัมผัสถึงความเป็นไปของมนุษย์ ท้ายสุดนี้ผมต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ชมัยภร แสงกระจ่าง ที่ได้ถ่ายทอดความรู้ที่เป็นประโยชน์สำหรับผม และผมต้องขอขอบคุณทางสำนักพิมพ์นานมีบุ๊ส์ด้วย ที่ให้โอกาสผมได้เข้าไปเรียนรู้วิชาการด้านการเขียนสารคดีในครั้งนี้ ขอบคุณครับ
Create Date : 14 ตุลาคม 2558
Last Update : 14 ตุลาคม 2558 17:52:03 น.
29 comments
Counter : 2359 Pageviews.
โดย: ปลายแป้นพิมพ์ IP: 171.6.245.94 วันที่: 14 ตุลาคม 2558 เวลา:11:01:03 น.
โดย: มี้เก๋+ป๊าโอ๋=ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 14 ตุลาคม 2558 เวลา:11:43:48 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 ตุลาคม 2558 เวลา:12:00:53 น.
โดย: หางเต่า วันที่: 14 ตุลาคม 2558 เวลา:12:19:51 น.
โดย: ณ ปลายฉัตร วันที่: 14 ตุลาคม 2558 เวลา:16:02:58 น.
โดย: หอมกร วันที่: 14 ตุลาคม 2558 เวลา:18:42:27 น.
โดย: ชีริว วันที่: 14 ตุลาคม 2558 เวลา:23:40:16 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 15 ตุลาคม 2558 เวลา:0:00:39 น.
โดย: เศษเสี้ยว วันที่: 15 ตุลาคม 2558 เวลา:13:06:13 น.
โดย: PZOBRIAN วันที่: 15 ตุลาคม 2558 เวลา:14:00:46 น.
โดย: sawkitty วันที่: 15 ตุลาคม 2558 เวลา:18:30:28 น.
โดย: haiku วันที่: 15 ตุลาคม 2558 เวลา:23:44:38 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 16 ตุลาคม 2558 เวลา:14:48:03 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 16 ตุลาคม 2558 เวลา:14:49:32 น.
โดย: เนินน้ำ วันที่: 16 ตุลาคม 2558 เวลา:16:17:08 น.
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 16 ตุลาคม 2558 เวลา:22:43:23 น.
โดย: นัทธ์ วันที่: 17 ตุลาคม 2558 เวลา:21:01:42 น.
โดย: sawkitty วันที่: 18 ตุลาคม 2558 เวลา:17:47:17 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 19 ตุลาคม 2558 เวลา:8:41:38 น.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 62 คน [? ]
อาคุงกล่องเป็นชายไทยนิสัยดีมีความฝัน ผู้ผันตัวมาเป็นทาสวรรณกรรมอย่างแท้จริง ใช้ชื่อกำหนดตัวตนว่า อาคุงกล่อง เป็นนามปากกาสร้างสรรค์ผลงานในเชิงหัสนิยาย และงานเขียนในรูปแบบต่าง ๆ อาทิเช่น เรื่องสั้น นวนิยาย สารคดี ความเรียง บทกลอน ไดอารี่เพ้อเจ้อละเมอเพ้อฝันต่างๆ ฯลฯ ปัจจุบัน อาคุงกล่อง เป็นนักอ่าน นักคิดและนักเขียน รวมทั้งเป็นนักจินตนาการออกมาเป็นตัวอักษรด้วย ผู้มีความฝันอันยิ่งใหญ่คือการเป็นนักเขียนมีคุณภาพที่สรรค์สร้างผลงานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ คาดว่าในเวลาอันใกล้นี้นาม อาคุงกล่อง จะเกิดปรากฎชัดในโลกวรรณกรรม จนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในหมู่หนอนนักอ่านทั่วไทย "ในชีวิตจริงของคนเรา มีอะไรอีกมากมายที่จะต้องรับรู้และรับผิดชอบ ในแต่ละวันเรามีโอกาสที่จะหัวเราะได้สักกี่ครั้ง? แต่ถ้าเราได้มีโอกาสหัวเราะเสียบ้างเพื่อเป็นการผ่อนคลายหรือคลายเครียด ก็คงจะเป็นสิ่งที่ดีนะครับ" ถ้าคุณเข้ามาในบล็อคของผมแล้ว คุณสามารถอมยิ้มหรือหัวเราะได้ ผมก็คงจะดีใจแล้วครับ (กรุณาช่วยทิ้งคอมเม้นท์วิจารณ์ไว้ให้ผมด้วยนะครับ จักขอบพระคุณมากเลยครับ) akungklong@gmail.com