....OUR FAMILY'S JOURNEY....

หอฟ้าเทียนถาน วัดลามะ เมืองโบราณหูท่ง กายกรรมปักกิ่ง



หอฟ้าเทียนถาน วัดลามะ เมืองโบราณหูท่ง กายกรรมปักกิ่ง
(96 ชม. ที่ปักกิ่ง ตอนที่ 4)


อ่านตอนที่ 3 : คล๊กที่นี่
อ่านตอนที่ 5 : คล๊กที่นี่




Day 2..(ต่อ) หอฟ้าเทียนถาน วัดลามะ เมืองโบราณหูท่ง กายกรรมปักกิ่ง

วันที่ 23 มีนาคม 2009 บ่าย ทานมื้อเที่ยงเรียบร้อย เราก็เดินทางต่อไปที่หอฟ้าเทียนถานซึ่งไม่ไกลจากภัตราคารที่เราทานมื้อเที่ยงนัก ที่นี่เป็นไฮไลท์หนึ่งสำหรับการมาเที่ยวเมืองปักกิ่งของทุกทัวร์ ที่จริงสถานที่ก็ไม่ไกลจากที่พักเรานัก เพียงแค่เดิน 10 นาทีก็ถึง

เราเข้าทางประตูทางด้านทิศตะวันออกซึ่งใกล้กว่าทางเข้าปกติของหอฟ้าเทียนถาน ถ้าเราเข้ามาทางด้านใต้ (ดูจากแผนที่) ก็จะพบกับแท่นบูชาสวรรค์ หยวนชิวถาน หรือ Circular Mound Altar หรือ The Earthly Mount ซึ่งทำด้วยหินอ่อนสีขาว ที่ฮ่องเต้จะใช้บูชาสวรรค์ในช่วงฤดูหนาว



ทางเข้า




ถัดขึ้นมาก็จะเป็นตำหนักหวงฉงอี่ (Imperial Vault of Heaven) ที่เป็นหลังคาสีน้ำเงินเหมือนหมวกขุนนาง (มองเห็นลิบๆในภาพ) ซึ่งใช้เป็นที่บูชาบรรพบุรุษในช่วงฤดูหนาว และที่นี่แหละเขามีกำแพงเสียง หรื Echo Wall ซึ่งว่ากันว่า ถ้าเราเอาหูไปแนบกำแพง แล้วใครกระซิบที่อีกฝั่งของกำแพงก็จะได้ยินชัดเจน

เสียดายไม่ได้ไปถ่ายภาพแบบใกล้ๆมาให้ชม เพราะเวลาเราน้อย พอโผล่ออกจากประตูของตำหนักฉีเหนียนเตี้ยนไปที่ลาน ขาเข้าเจ้าหน้าที่ก็จะเรียกเก็บค่าเข้าชมอีก




ตำหนักฉีเหนียนเตี้ยน หรือ The Hall of Prayer for God Harvest




ลีน่าพาเราเข้าประตูทางทิศตะวันออก ด้านที่รถบัสนักท่องเที่ยวจอด แต่เข้าทางด้านใต้(ทางเข้าปกติ)จะเดินไกลมาก ก็อาจจะจริงเพราะวันหลังที่ไปชมเรื่องผีเซี๊ยะ ก็เห็นนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้าทางด้านนั้นเหมือนกัน

ผ่านประตูเข้ามาก็จะเป็นสวนสาธารณะ ชาวจีนมาออกกำลัง เปิดเพลงเต้นกันอย่างสนุกสนาน พอผ่านเข้าไปถึงระเบียงทางเดินก็จะเจอชาวปักกิ่งมานั่งเล่นไพ่นกกระจอก เตะลูกขนไก่ ร้องเพลงมีทั้งเล่นดนตรีประกอบ ทั้งร้องแบบคาราโอเกะ เป็นที่เพลิดเพลินของชาวเรา.... หลังจากนั้นก้ไปซืที่ด่านเก็บตังค์เข้าชม ก่อนที่จะเข้าไปที่ตำหนัก "ฉีเหนียนเตี้ยน" หรือธ้ำ The Hall of Prayer of The God Harvet.



หอฟ้าเทียนถาน

หอฟ้าเทียนถานเป็นสถานบวงสรวงเทพยดาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งซึ่งยังคงรักษาไว้ในจีน ประกอบด้วยตําหนักฉีเหนียนเตี้ยน ตําหนักหวงฉงอี่และลานหยวนชิว เป็นต้น




ตำหนักฉีเหนียนเตี้ยน




เทียนถานตั้งอยู่ทางทิศใต้ของกรุงปักกิ่ง มีเนื้อที่ทั้งหมด ๒๗๓ เฮกต้าร์ เป็นสถานซึ่งจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงใช้เป็นที่บวงสรวงเทพยดา ในระยะย่างเข้าฤดูหนาวถึงเดือนอ้ายตามจันทรคติทุกปี พระจักรพรรดิจะเสร็ดไปประกอบพระราชพิธีบวงสรวงที่นั่นเพื่อให้การเก็บเกี่ยวได้ผลอุดม




ด้านใน




ตําหนักฉีเหนียนเตี้ยนเป็นตําหนักเอก เริ่มก่อสร้างเมื่อคศ.๑๔๒๐ห่างจากปัจจุบัน ๕๐๐ กว่าปี เป็นรูปทรงกลมหลังคา ๓ ชั้น มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีนํ้าเงิน ไม่มีขื่อและอกไก่ อาศัยเสาไม้ ๒๔ ต้นเป็นโครงยึดไว้ซึ่งได้ชื่อว่า "ตําหนักไม่มีขื่อ" ภายในตําหนักมีภาพวาดสีประณีตงดงาม บนเพดานวาดเป็นรูปมังกรและหงส์




ด้านเหนือตำหนัก





ด้านหลังตำหนัก





ลานหยวนชิวซึ่งตั้งอยู่ทางด้านใต้ของตําหนักฉีเหนียนเตี้ยนเป็นแบบคล้ายเวทีกลม ๓ ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีนํ้าเงินและสีขาว แต่ละชั้นล้อมรอบด้วยลูกกรงหินอ่อนสีขาว เป็นสถานซึ่งพระจักรพรรดิบวงสรวงเทพยดาหรือขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล









ตําหนักหวงฉงอี่สร้างเป็นรูปทรงกลมหลังคาชั้นเดียว มุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีนํ้าเงินแก่ เป็นสถานสําหรับเก็บรักษาแผ่นป้ายพระนาม"เทพเจ้าผู้ปกครองสวรรค์" ตําหนักนี้ล้อมรอบด้วยกําแพงเตี้ย ๆ กําแพงนี้สร้างถูกต้องตามหลักวิชาว่าด้วยเสียง จึงสะท้อนเสียงได้จนเป็นที่เลื่องลือ เมื่อสองคนยืนอยู่ที่กําแพงคนละฟาก คนหนึ่งพูดใส่กําแพงเบา ๆ อีกคนหนึ่งเอาหูแนบกับกําแพง ก็จะได้ยินเสียงพูดจากฝ่ายตรงกันข้าม






วัดลามะ หรือย่งเหอกง


ก่อนเข้าวัด ชาวจีนเขาให้ความสำคัญของด้านซ้ายมากกว่าด้านขวา ฉะนั้นเวลาที่เขาจะก้าวข้ามธรณีประตูที่วัด หรือก้าวเข้าไปในอาณาเขตวัด เขามักจะก้าวเท้าซ้ายเข้าไปก่อน อันนี้รู้ไว้ใช่ว่าครับ..




ประตูทางเข้าวัดลามะ





วัดลามะ หรือย่งเหอกง เป็นวัดหนึ่งของศาสนาพุทธนิกายทิเบตอันลือชื่อ กินเนื้อที่กว่า 6 หมื่นตารางเมตร ตำหนักต่าง ๆ มีกว่า 1,000 ห้อง วัดลามะแห่งนี้ แต่เดิมสถานที่แห่งนี้เป็นพระตำหนักที่ประทับขององค์ชายสี่หรือหย่งเจิ้ง ปี ค.ศ 1723 องค์ชายสี่ได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 3 ของราชวงค์ชิง และพระองค์เป็นพระราชบิดาขององค์เฉียนหลง ฮ่องเต้กษัตริย์องค์ที่สี่ของราชวงศ์ชิงต่อจากพระองค์ ซึ่งองค์ชายสี่หรือหย่งเจิ้งทรงนับถือพระลามะธิเบตมองโกลอย่างมาก จึงอุทิศถวายพระตำหนักนี้ให้เป็นวัดลามะ ก่อนที่จะทรงย้ายเข้าไปประทับในพระราชวังโบราณ



ต้นแปะก๊วยที่ทางเข้าวัด ที่เขาบอกว่าใบที่หล่นหน้าใบไม้ร่วงสวยงามมาก




ส่วนพระตำหนักนี้มีพื้นที่ครึ่งหนึ่งปรับเป็นที่พักผ่อนอิริยาบถนอกวังขององค์ชายสี่ พื้นที่อีกครึ่งหนึ่งทรงถวายพระลามะจังเจียฮูถูเค่อถู จึงกลายเป็นวัดลามะของทิเบตนิกายหมวกเหลือง ซึ่งไม่ใช่ลามะนิกายหมวกดำ อย่างที่มีการเล่าลือกันในตำนานฮวงจุ้ยเต๋าหมวกดำ




หน้าวัด






สิงห์โตคู่นี้ที่ว่าสวย สง่าที่สุดในจีน





พระพุทธศาสนาสายทิเบตนิกายวัชรยาน มีอยู่ ๔ นิกายใหญ่ คือ นิกายหมวกแดง นิกายหมวกขาว นิกายหมวกดำ นิกายหมวกเหลือง แต่ละนิกายนั้นไม่ยุ่งเกี่ยวกัน








นิกายหมวกเหลือง หรือนิกายเกลุกเน้นความเคร่งครัดในวินัยเป็นพื้นฐาน ลามะของนิกายนี้ส่วนใหญ่เป็นพระสงฆ์ เน้นการสอนทั้งทางพระสูตรที่เป็นวิชาการและทางตันตระที่เน้นการปฏิบัติ และการวิเคราะห์ธรรมโดยตรรกวิภาษ หัวข้อใหญ่ที่ศึกษาคือ ปัญญาบารมี ปรัชญามาธยมิก การรับรู้ที่ถูกต้อง ปรากฏการณ์วิทยา และพระวินัย ผู้นำนิกายเกลุกในปัจจุบันคือผู้ดำรงตำแหน่งดาไล ลามะหรือทะไล ลามะ ซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบตด้วย









พระศรีศากยมุนี





นิกายหมวกเหลือง เป็นนิกายย่อยนิกายหนึ่งของศาสนาพุทธนิกายทิเบต ผู้ก่อตั้งชื่อ หลัวปู้จ้าง จงเค่อปา เริ่มบวชตั้งแต่อายุ 8 ขวบ พออายุ 17 ปี ก็เดินทางไปทิเบตเพื่อศึกษาคัมภีร์นิกายลามะ ต่อมาได้เป็นนิกายศาสนาพุทธที่ปกครองทิเบต เนื่องจากพระภิกษุของนิกายนี้สวมจีวรสีเหลือง จึงได้ชื่อว่านิกายเหลือง พระลามะองค์นี้มีคุณูปการสำคัญต่อการปฏิรูปนิกายลามะ ทั้งพระทะไลลามะและพระปันเชนลามะล้วนเป็นลูกศิษย์ของท่าน




พระอรหันต์




ในวัดลามะมีโบราณวัตถุและสิ่งปลูกสร้างโบราณมากมาย ในจำนวนนี้มีของล้ำค่าอยู่ 3 อย่าง

ของล้ำค่าอย่างแรก คือภูเขาพระอรหันต์ 500 รูป สูงเกือบ 4 เมตร ยาวกว่า 3 เมตร แกะสลักด้วยไม้จันทน์หอม หากมองดูไม้แกะสลักชิ้นนี้แต่ไกล จะเห็นเป็นภาพภูเขาเขียวนิ่งสงบ ต้นสนเขียวขจี พระเจดีย์แกะสลักอย่างประณีต ศาลาโบราณเรียบง่าย มีถ้ำลึกลับ ทางเดินเลี้ยวลดคดเคี้ยว มีบันได สะพานและสายน้ำเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน แต่หากมองดูให้ใกล้ชิด จะเห็นฝีมือแกะสลักที่ชำนาญยิ่ง มีเขาหลายรูปติดต่อกันเป็นชั้นๆ ตามเขาเหล่านี้มีพระอรหันต์ 500 องค์กระจายอยู่ แม้จะเป็นรูปแกะสลักเล็กๆ ก็ตาม แต่ทุกรูปมีหน้าตารูปร่างต่างๆ กัน มีชีวิตชีวา เป็นงานแกะสลักที่ยอดเยี่ยมมาก แต่ที่น่าเสียดายก็คือหลังจากผ่านภัยสงครามมาหลายครั้ง พระอรหันต์บนเขามีเหลืออยู่เพียง 449 องค์เท่านั้น




หลักนี้จารึกอะไร อ่านไม่ออก แต่คงสำคัญมากๆ





ของที่ล้ำค่าอย่างที่สองคือ พระพุทธรูปพระศรีอริยเมตไตรยที่อยู่ในวิหารว่านฝูเก๋อ วิหารว่านฝูเก๋อยังได้ชื่อว่าเป็นหอพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เป็นวิหารที่สูงใหญ่ที่สุดภายในวัดลามะ สูงกว่า 30 เมตร มีหลังคา 3 ชั้น ก่อด้วยไม้ทั้งหมด ในวิหารเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปพระศรีอริยเมตไตรยปางยืน ที่แกะสลักด้วยไม้จันทน์หอมสีขาว สูง 26 เมตร ส่วนล่าง 8 เมตร ฝังอยู่ใต้ดิน อีก 18 เมตรอยู่เหนือพื้นดิน









พระพุทธรูปทั้งองค์มีน้ำหนักประมาณ 100 ตัน เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากต้นไม้ต้นเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อ ค.ศ 1979 มีการบูรณะซ่อมแซม พบว่าไม้จันทน์หอมที่ฝังอยู่ใต้ดินนั้น แม้ว่าเวลาจะผ่านไปแล้วกว่า 200 ปี แต่เนื้อไม้ยังแข็งแกร่งไม่สึกหรอ แสดงให้เห็นถึงฝีมือระดับสูงในการแกะสลัก และการอนุรักษ์โบราณวัดถุของช่างประติมากรรมโบราณของจีนอย่างเต็มที่







ไม้จันทน์หอมใหญ่ต้นนี้ว่ากันว่ามีอายุกว่าพันปี นำมาจากประเทศเนปาลใช้เวลาเป็นสิบปีในการขนมา และต้องใช้เงินมากมายมหาศาลสำหรับค่าใช้จ่าย

ของที่ล้ำค่าอย่างที่สามคือ แท่นพระพุทธรูปในวิหารเจ้าฝูโหลว ข้างในมีพระพุทธรูปพระศรีศากยมุนี ที่หล่อด้วยทองเหลือง ด้านหลังของพระพุทธรูปมีประภามณฑลเหมือนฉากบังตา แท่นบูชาพระพุทธรูปและประภามณฑลล้วนแกะสลักด้วยไม้ชื่อว่า จินเซอหนานมู่ ฝีมือแกะสลักก็ประณีตมาก แท่นพระพุทธรูปมีส่วนบนสูงจรดเพดาน แบ่งเป็นชั้นนอกชั้นใน 3 ชั้น ในยามตะวันตกดิน พระพุทธรูปประทับยืนอย่างสง่างาม แสงอาทิตย์ส่องกระทบกระจกเงาที่ทำ








ด้วยทองเหลืองที่ติดอยู่บนประภามณฑล แสงสะท้อนตามกระจกเงาทองเหลืองเป็นวงกลมล้อมรอบองค์พระพุทธรูป บวกกับแสงของตะเกียงที่ไม่มีวันดับ ทำให้ข้างในวิหารสว่างไสวไปทั่ว แท่นพระพุทธรูปส่วนบนมีเสาไม้แกะสลักมังกรทองคำ 2 เสาค้ำรับไว้ คานเพดานหุ้มด้วยทองคำ แกะสลักมังกร 99 ตัว พันอยู่โดยรอบมังกรบางตัวกางเล็บออกมา บางตัวทำท่ากำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เหมือนจริงมาก







นอกจากของล้ำค่า 3 อย่างดังกล่าว สถาปัตยกรรมและของประดับประดาภายในวัดลามะ ล้วนมีลักษณะพิเศษโดดเด่น เช่น วิหารฝ่าหลุนเตี้ยน เป็นสิ่งปลูกสร้างทรงจตุรมุข บนหลังคาวิหารมีเจดีย์บุทองคำ 5 องค์เลียนแบบทรงทิเบต เป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของชนชาติทิเบต ซึ่งรวมเอาศิลปวัฒนธรรมทั้งแบบชนชาติจีนและชนชาติทิเบตเข้าด้วยกัน ในวัดยังมีแท่นศิลาจารึกที่มี 4 ด้าน 4 ภาษา แต่ละด้านแกะสลักตัวอักษรภาษาจีน ภาษาแมนจู ภาษามองโกล และภาษาทิเบต เนื้อหาของตัวอักษรเหล่านี้มาจากหนังสือ หล่ามาซัว(ทฤษฎีลามะ)ซึ่งจักรพรรดิ์สมัยราชวงศ์ชิงทรงนิพนธ์ กล่าวถึงความเป็นมาของศาสนาพุทธนิกายทิเบตและนโยบายของรัฐบาลชิงที่มีต่อนิกายลามะ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีของชนชาติต่างๆ ในจีน ปัจจุบันวัดลามะมิเพียงแต่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาเท่านั้น หากยังเป็นคลังแห่งศิลปวัฒนธรรมของชนชาติจีน แมนจู มองโกลและทิเบตด้วย




หลวงจีนที่กำลังออกมาจากวัด




เราออกจากวัดลามะด้วยความทึ่งในความสวยงามที่พบเห็น โดยฉเพาะพระพุทธรูปพระศรีอริยเมตไตรยที่อยู่ในวิหารว่านฝูเก๋อซึ่งสวยงามจริงๆ นอกจากนี้ขาออกจากวัดเรายังได้ชมพิพิธภัฑ์เกี่ยวกับรูปจำลองต่างๆในศาสนาพุทธแบบธิเต.... เสียดายว่าเขาไม่ให้เราถ่ายภาพด้านใน ซึ่งมีพระพุทธรูปสวยงามจำนวนมาก.




เมืองโบราณหูท่ง

กำเนิดหูท่ง ประวัติศาสตร์ของหูท่งมีความยาวนานเท่าๆ กับประวัติศาสตร์ปักกิ่งเมืองหลวงของจีน โดยเขตเมืองเก่าของปักกิ่งในปัจจุบันเป็นเขตเมืองหลวงเก่าในราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1271-1368) ซึ่งมีประตูเมือง 11 แห่งรอบเมือง ถนนสายใหญ่จากประตูเมืองแต่ละแห่งเชื่อมโยงกันเป็นเส้นทางคมนาคมหลักของเมือง เส้นทางหลักที่พาดผ่านกันก่อให้เกิดเขตชุมชนสี่เหลี่ยมผืนผ้า ในเขตชุมชนมีตรอกเล็กจากทิศตะวันออกไปตะวันตก ตรอกเหล่านี้ก็คือหูท่งนั้นเอง ซึ่งในสมัยหยวน มีระเบียบกำหนดความกว้างของถนนสายใหญ่ราว 37.2 เมตร ถนนสายเล็กราว 18.6 เมตร และให้หูท่งกว้างราว 9.3 เมตร

แต่เมื่อมาถึงสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368-1644) กฎระเบียบการวางผังเมืองไม่เข้มงวดเท่าสมัยหยวน จึงเกิดถนนหนทางที่เป็นแนวเฉียงและไร้ระเบียบมากมาย ทำให้มีตรอกหูท่งที่โค้งไปโค้งมาและคับแคบให้เห็น.





เข้าเมืองโบราณ




ตามโปรแกรมเราต้องนั่งสามล้อชมเมืองโดยมีเวลาแค่ประมาณครึ่งชั่วโมง จึงเก็บภาพที่สวยๆมาฝากชาวบล๊อกแก็งค์และท่านผู้อ่านได้ค่อนข้างน้อย และอีกอย่างอากาศที่ค่อนข้างขมุกขมัว เลยได้ภาพไม่ค่อยดีนัก ภาพส่วนใหญ่ถ่ายขณะนั่งสามล้อครับ




สามล้อที่พาเราชมเมือง





บ้านหลายแห่งพัฒนาเป็นร้านอาหาร



ตามรอบๆทะเลสาบซึ่งชื่อว่า สือช่าไห่ (Shi Cha Hai) หรือชื่อเรียกรวมของสามทะเลสาบ มีเฉียนไห่ โห้วไห่ และซีโห่ ซึ่งเป็นที่เดินชมวิวของนักท่องเที่ยว และชาวปักกิ่ง

ที่เห็นคือบ้านที่ถูกพัฒนามาเป็นร้านขายเครื่องดื่ม และอาหารจำนวนมาก โดยเฉพาะริมทะเลสาบ และเห็นพัฒนาเป็นที่พักด้วยก็มี




ร้านอาหาร




พอเข้าไปในซอยๆแคบๆคดเคี้ยว จะเจอบ้านเก่าๆสร้างเป็นตึกคล้ายๆเราเห็นในหนังจีนกำลังภายใน ส่วนมากทาสีเทา... เห็นบางบ้านมีรถเก๋งจอดอยู่ แสดงว่าเศรษฐกิจที่นี่คงจะเฟื่องฟูมาก




ริมทะเลสาบ และต้นหลิว




จะว่าไปแล้วถ้าเรามีเวลาน่าจะเดินชมเมืองมากกว่า โดยเฉพาะตามทางเดินริมทะเลสาบ ทีสงบใต้ต้นหลิวที่กำลังออกใบสีเขียว




ขายเครื่องดื่มริมทะเลสาบ






มุมสงบ




ประมาณ ครึ่งชั่วโมงรถสามล้อทั้งขบวนก็พาเรากลับมาจอดส่งที่เดิม โดยเราก็ไม่ลืมที่จะจ่ายทิปให้แก่สามล้อคนละสิบหยวนก่อนที่จะไปขึ้นรถบัสเพื่อไปชมกายกรรมปักกิ่งต่อไป




กายกรรมปักกิ่ง

โปรแกรมสุดท้ายของวันที่ก่อนจะไปทานซีฟูดในมื้อเย็น คือ การไปชมกายกรรมปักกิ่ง โรงละครที่แสดงกายกรรมปักกิ่งนั้น ลีน่าบอกว่าในปักกิ่งนั้นมีมากมายหลายที่ แต่ที่ๆเขาพาเรามาเป็นที่นิยมมากที่สุดว่างั้น

เมื่อเราเข้าไปสัมผัสจริงๆ ก้เห็นความสุดยอดของเขาจริงๆ จนบางครั้งเรายังคิดว่ามนุษย์เรานี้ ถ้าฝึกฝนกันแบบเอาจริงเอาจัง อะไรๆก้ทำได้หมด จขบ.ประทับใจการแสดงทุกชุดที่นี่มาก โดยเฉพาะระบำเปลี่ยนหน้าจากเสฉวนที่ใช้ความสัมพันธ์หลายๆอย่างประกอบกัน เวลา 1 ชั่วโมงที่นั่นจึงคุ้มมากๆสำหรับการไปชม




ความอ่อนช้อย






ความแข็งแร็ง






หญิงสาวใช้เท้าเลี้ยงโอ่งที่มีคนเข้าไปอยู่ด้านใน





ความแข็งแร็ง





ระบำเปลี่ยนหน้าจากเสฉวน





10 กว่าคนเลี้ยงตัวบนจักรยานคันเดียวกัน



เราจบการชมกายกรรมปักกิ่งเกือบหนึ่งทุ่ม แล้ไปทานอาหารซึ่งมื้อนี้เป็นซีฟูดสไตล์ปักกิ่ง ก็อย่างที่บอกจืดๆมันๆครับ.



อ่านตอนที่ 3 ll อ่านตอนที่ 5



______________








 

Create Date : 04 เมษายน 2552
7 comments
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 22:25:45 น.
Counter : 6598 Pageviews.

 

ต้องมาเวลานี้ค่ะเข้าเวลาอื่นยากมาก

 

โดย: tuk-tuk@korat 4 เมษายน 2552 9:11:37 น.  

 

ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศเย็นๆ คุณ wicsir คงเดินชมเพลินไปเลยนะคะ

หยุดสามวันนี้ยุ้ยไม่มีแผนไปเที่ยวไหนเลยค่ะ คงออกเดินเล่นหาข้าวทานนอกบ้านบ้าง

Have a nice weekend ด้วยเช่นเดียวกันนะคะ

 

โดย: nLatte 4 เมษายน 2552 9:55:58 น.  

 

ตามมาอ่านต่อค่ะ
วัดลามะอยากไปมาก เพราะดู หนังเรื่อง หย่งเจิ้น
แล้วชอบ จึงค่อนข้างอินค่ะ ส่วนกายกรรมลูกชายคงชอบค่ะ
สามีจะไปซื้อลูกประคำค่ะ กับเครื่องราง คุณ wicsir แนะนำที่ซื้อให้หน่อยค่ะ คุณภาพดี ราคาถูก มีมั๊ยอ่ะค่ะ อิ อิ เน้นของถูก (ฮา)

 

โดย: ตาลเหลือง IP: 117.47.2.246 4 เมษายน 2552 10:43:21 น.  

 

หวัดดีครับคุณตุ๊ก...... เน็ทมันอืดก็แบบนี้ล่ะครับ (แวะเข้าไตอบที่บล๊อกแล้วนะครับ)

หวัดดีครับ คุณยุ้ย...... ไม่ลองไปแถวบางขุนเทียนดูล่ะครับ เคยไปสองสามครั้ง ตอนนั้นไม่พร้อมที่จะถ่ายภาพมาลงบล๊อก พร้อมแต่หม่ำลูกเดียวน่ะ...

หวัดดีครับ คุณตาลเหลือง...... เครื่องรางก็คงตามสถานที่เช่นวัดแบบนี้มั๊งครั๊บ หรือจะซื้อ (เขาให้เรียกว่าบูชา) ผีเซี๊ยะก็แถวๆนี่เลยหอฟ้าเทียนถาน...แต่ราคาไม่เป็นใจเท่าไหร่ครับ.....5555+
ของถูกที่ไปก็เห็นแต่ตลาดรัสเซียนั่นแหละครับ ต่อมากๆเลย 1 ใน 4 อย่างน้อย ยิ่งรู้ว่ามาจาก ไทย์แลนด์แดนต่อราคาแล้ว เขาจะบอกผ่านมาก (เผื่อฟลุ๊ค)....เที่ยวให้สนุกนะครับ

 

โดย: wicsir 4 เมษายน 2552 11:39:36 น.  

 

เพิ่งไปแลกเงินหยวนมาเมื่อซักครู่เองค่ะ ให้แต่แบงค์ร้อย ใจร้าย

กลับมาถึงปุ๊ปตามมาอ่าน blog ต่อเลยค่ะ ถ่ายรูปสวยเช่นเคยนะคะหอฟ้าเทียนถานดูอลังการมากเลยค่ะ

 

โดย: ให้ตายก็หาไม่เจอ 4 เมษายน 2552 16:04:51 น.  

 

หวัดดีครับคุณ ให้ตายก็หาไม่เจอ.... แบ๊งค์ 100 แบ๊งค์ 50 ที่โน่นต้องระวังเป็นพิเศญนะครับ ไก๊ด์เขาจะมีวิธีแนะนำให้เราดูแบ๊งค์ปลอมด้วยแหละ.... เช่น น้ำหนักเบาเกินไป สบัดไม่มีเสียง หรือการพิมพ์เป็นต้น แลกไปก่อนแหละดี ที่สนามบินเราเสียเปรียบมากครับ

 

โดย: wicsir 4 เมษายน 2552 17:38:10 น.  

 

สีสันวัดเค้าสวยจัง เห็นแล้วรู้สดใสดีจัง

 

โดย: d_regen 6 เมษายน 2552 0:20:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


wicsir
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 75 คน [?]











...... ชอบเดินทาง ชอบท่องเที่ยว และชอบถ่ายภาพ แม้ฝีมือจะไม่ให้ แต่ใจก็รัก เพราะได้ทำแล้วมีความสุข แถมยังมี bloggang ได้ให้โอกาสนำสิ่งเหล่านั้นมาแสดงด้วย ยิ่งทำให้หัวใจพองโต .......


อยากจะบอกว่า

@ ดีใจที่ได้แบ่งปันความสุขเล็กๆน้อยๆ กับเพื่อนๆในบล็อกแก๊ง ตลอดจนคุณๆที่ผ่านเข้ามาอ่าน.... แม้ภาพถ่ายจะไม่สวยนัก แต่กว่าจะได้มาก็แสนยากลำบาก จึงขอสงวนสิทธิไว้เป็นการส่วนตัว

@ ภาพทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของบล๊อก ถ้ามีความประสงค์จะใช้ภาพเพื่อการใด กรุณาติดต่อเจ้าของบล็อกด้วย เพราะจะได้พิจารณาเป็นเรื่องๆไปครับ.

@ ขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกที่คอยให้กำลังใจกันเสมอมา และขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่าน หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าท่านคงแวะเข้ามาอีก...


ด้วยจริงใจ
นาย wicsir.




Rec. 11.06.08
New Comments
Group Blog
 
<<
เมษายน 2552
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
4 เมษายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add wicsir's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.