Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
15 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

รอยอาญา ๓๐ (ธัญรัตน์)




ความวุ่นวายทั้งหลายของบ้านสวนได้เริ่มขึ้นนับตั้งแต่วันที่คุณแม่คนใหม่กลับบ้านได้เกือบสองเดือนแล้ว ทั้งคุณตาและคุณตาโป่งต่างเปลี่ยนจากสถานะผู้สูงวัยมาเป็นพี่เลี้ยงโดยสิ้นเชิง ส่วนคนที่เป็นแม่นั้นแทบจะไม่ต้องพูดถึง เพราะจะต้องดูแลลูกน้อยเองแทบจะตลอด ไม่ว่าช่วงกลางวันหรือกลางคืนที่ทารกจะตื่นขึ้นมาร้องงอแงตามประสา

ความเหน็ดเหนื่อยจากการดูแลลูกควบคู่ไปกับการต้องเจียดเวลามาทำงานของผู้เป็นแม่นั้นฟ้องออกมาผ่านร่างกายที่ผ่ายผอมลงกว่าเมื่อตอนยังไม่คลอดอยู่มาก บางครั้งเธอแทบจะนั่งหลับเวลาลูกตื่นมาร้องกลางดึกเพราะหิวนม แม่ให้นมลูกไปแล้วก็หลับไป ทำให้เธออดคิดถึงแม่ตัวเองไม่ได้ ว่ากว่าจะเลี้ยงลูกให้โตมาได้แต่ละคนนั้นหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน

แล้วก็พลอยคิดไปถึงความลำบากของพ่อที่จะต้องเลี้ยงเธอและพี่ชายมานับตั้งแต่ที่แม่จากไป ถึงใคร ๆ จะบอกว่าพ่อเธอเป็นยังไง แต่สำหรับเธอพ่อก็คือวีระบุรุษของเธอเสมอ การที่ผู้ชายที่วุ่นแต่กับเรื่องทำมาหากิน จะเลี้ยงลูกสองคนให้เติบโตได้และไม่คิดจะแต่งงานใหม่นั้น เธอคิดว่ามีไม่มากนัก

“เป็นยังไงบ้างจ๊ะคุณแม่”
เสียงโสภาที่มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่เธอเองก็ไม่รู้ เพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับการอาบน้ำให้หนูน้อย และก็ให้นมอีกรอบ ซึ่งเป็นรอบที่เท่าไหร่เธอเองก็ไม่ได้นับ เพราะให้มาตั้งแต่เช้าเกือบจะเที่ยงวัน จนเพิ่งจะหลับไปได้สักพัก เธอเอานิ้วชี้ ๆ ไปที่ปากให้สัญญาณว่าให้โสภาพูดเบาลง และอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะเข้าใจ จึงค่อย ๆ เดินเข้ามาในห้องอย่างเบาที่สุด

“พี่ซื้อของมาฝากตาพิงตั้งหลายอย่าง แล้วก็ซื้ออาหารเที่ยงมาให้จ๊ะ เพลงจะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำไง”
โสภามักจะเอื้อเฟื้อกับเธอเสมอในทุก ๆ ครั้งที่เธอและพิสิทธิ์ หรือแม้แต่ภคินกับคนรู้ใจที่แวะเวียนมาเยี่ยมเธอเสมอ และบ่อยครั้งตั้งแต่เธอให้กำเนิดเด็กน้อย แล้วการมาแต่ละครั้งก็จะหอบเอาข้าวของเครื่องใช้ อาหารต่าง ๆ มาด้วย เพราะพวกเขารู้ดีว่าเธอจะต้องเหนื่อยแค่ไหนที่จะต้องเลี้ยงลูกเอง
“ตาพิงเพิ่งจะหลับไปได้สักพักค่ะ ก็พอได้มีเวลาไปอาบน้ำแล้วก็มาเขียนงานต่อได้นิดหน่อยค่ะ”
เธอบอกแล้วหันไปหาหนูน้อยที่ทุก ๆ คนจะเรียกสั้น ๆ ว่า

“พิง” ซึ่งเป็นชื่อที่คุณตาตั้งให้นั่นเอง
“แล้วไปไหนกันมาก่อนหรือเปล่าคะ หรือว่าตั้งใจมาหาเพลงเลย”
เธอถามเพราะวันนี้เป็นวันจันทร์และเป็นวันที่ออฟฟิศจะยุ่งกันมาก ซึ่งปกติโสภากับพิสิทธิ์จะไม่ค่อยได้มาหาเธอในวันนี้นัก
“ก็คุณสิทธิ์สิ ชวนพี่ไปร้านเจลเวอร์รี่มา”
โสภาตอบอ้อมแอ้มหลังจากที่ถูกพิสิทธิ์เซ้าซี้ให้ไปดูแหวนมาหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็เล่นตัวไม่ยอมไปด้วยสักครั้ง จนระพีพรรณต้องช่วยเขาหว่านล้อมอีกแรง

“เพลงดีใจด้วยนะคะ แล้วเลือกวงที่แพงที่สุดในร้านหรือเปล่าคะ” เธอแหย่เพื่อนรักแล้วก็ยิ้มให้ด้วยความดีใจ
“จะเหลือเรอะ ได้แฟนออกจะรวยพี่จะถลุงให้หมดตัวเลย”
“แล้วให้พระดูฤกษ์ให้หรือยังคะ” เธอถามยิ้ม ๆ กับท่าทีของเพื่อน
“เดี๋ยวกินข้าวกับเพลงเสร็จคุณสิทธิ์จะพาไปจ๊ะ....ไหนพี่ขอหอมแก้มหลาน

ก่อนซิ ดูสิหลับปุ๋ยอยู่เลย”
โสภาบอกแล้วก็ยิ้มกับเธอพร้อมทั้งเดินไปเปิดมุ้งครอบอันเล็ก ๆ ที่ด้านในมีเจ้าตัวน้อยนอนหลับอยู่ โสภายื่นจมูกไปหอมแก้มเด็กฟอดใหญ่ ทำให้หนูน้อยขยับตัวเล็กน้อยแล้วก็ยิ้มออกมาทั้ง ๆ ที่ยังหลับอยู่ ทำให้ผู้เป็นป้านั้นยิ้มออกด้วยความดีใจ

และทุกครั้งที่โสภามองหน้าทารกน้อย มันก็ทำให้ต้องคิดถึงใบหน้าผู้เป็นพ่อตามไปด้วย เพราะแทบจะก๊อปปี้มายังไงยังงั้นเลย มีหลายครั้งที่โสภาและพิสิทธิ์ชวนให้ระพีพรรณพิสูจน์ ดีเอ็นเอ เพื่อเอาไปยืนยันกับคนเป็นพ่อ แต่ทั้งเธอและกำพลก็ปฏิเสธที่จะทำ เพราะมองไม่เห็นประโยชน์อีกต่อไปแล้ว
เพราะทั้งสองพอใจกับชีวิตความเป็นอยู่ที่บ้านสวนดีแล้ว

ไม่อยากจะไปบีบบังคับหาความรับผิดชอบจากใคร แล้วอีกอย่างระพีพรรณให้เหตุผลว่าก็ในเมื่อเขาไม่เคยคิดที่จะคืนให้เธอแต่แรกแล้ว เธอก็จะไม่ไปทวงถามจากเขาอีก เพราะเขาช่างใจร้าย ใจดำเหลือเกินในความรู้สึกของเธอ

“ดูสิหลานยิ้มให้พี่ด้วย แสดงว่าถูกโฉลกกับป้านะเนี่ย”
โสภาตัดเรื่องที่คิดออกจากใจและหันมาหาระพีพรรณ แล้วทั้งคู่ก็เลยผลัดกันหอมแก้มหนูน้อยอยู่เป็นนาน กว่าจะออกมาสมทบกันคนข้างนอกที่หิ้วท้องรออยู่ก่อนแล้ว



มือขาวเนียนถูกยื่นไปรอรับแหวนเพชรที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย และบรรจงสวมไปที่นิ้วนางแ ล้วพิสิทธิ์ก็ก้มลงไปจุมพิตด้วยความนุ่มนวลพร้อม ๆ กับมองไปที่ใบหน้าที่กำลังแดงกร่ำด้วยความเขินอาย เสียงปรบมือของผู้คนใกล้ชิดที่มาแสดงความยินดีในงานหมั้นของเขาดังเกรียวกราว

“ผมรักคุณนะ”
เสียงกระซิบใกล้ ๆ พวงแก้มของโสภาแล้วแกมแดงก็ถูกเขาก้มไปสูดดมหาความหอมด้วยความรักใคร่ ยังผลให้ผู้คนที่นั่งอยู่รอบข้างนั้น ส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความดีใจแทนโสภา ที่ตั้งแต่งานเริ่มจนถึงตอนนี้ก็เอาแต่ยิ้มหวานอยู่อย่างเดียว ซึ่งผิดฟอร์มของตัวเองที่ปกติจะพูดไม่ค่อยหยุด แต่วันนี้กลับพูดไม่ออกได้แต่ยิ้มให้กับผู้ชายที่เธอตัดสินใจฝากชีวิตไว้

“เอาล่ะ พ่อว่าเชิญแขกไปทานข้าวได้แล้วล่ะเจ้าสิทธิ์”
พ่อของเขาบอก ขณะที่นั่งอยู่บนชุดรับแขกชุดใหญ่ รวมกับแขกผู้ใหญ่อื่น ๆ รวมทั้งลัดดาและเด่นรณงค์ที่นั่งรวมอยู่ด้วย
“ครับคุณพ่อ....ไปเถอะคุณ ผมยังไม่เห็นคุณกินอะไรเลยตั้งแต่เช้า สงสัยจะดีใจที่ได้เป็นคู่หมั้นผม”
เขารับคำบิดาแล้วก็หันมาแหย่คู่หมั้นตัวเอง

“คุณนี่...”

โสภาพูดแค่นั้นแล้วก็ส่งสายตาเขียวปัดให้เขาด้วยความอาย แล้วก็ลุกตามเขาไปยังบริเวณสวนหน้าบ้าน ที่ถูกจัดเอาไว้รับรองแขกในงาน ซึ่งพิสิทธิ์อยากจะให้จัดงานที่บ้านของเขา เพราะมีบริเวณที่กว้างขวางกว่าบ้านโสภามากนั่นเอง เพราะเขาไม่ชอบจัดที่โรงแรม เพราะคิดว่าเป็นแค่งานหมั้น จะเชิญเฉพาะคนสนิทเท่านั้น แต่งานนี้ก็ขาดครอบครัวของคุณแม่คนใหม่ไปทั้งหมด เพราะกำลังยุ่งอยู่กับลูกที่อยู่ในวัยกำลังคานเข่าและค่อนข้างจะซน
แต่ถึงแม้ว่าเธอสามารถมาได้ เธอกับพ่อก็เลือกที่จะไม่ขอมาร่วมงานด้วย เพราะรู้ดีว่างานนี้จะต้องมีคนของอีกฝ่ายมาด้วย ดังนั้นทั้งเธอและกำพลเองจึงขอตัว ซึ่งโสภาและพิสิทธิ์เองก็เข้าใจทั้งสองคนดี

และมันก็ค่อนข้างสร้างความผิดหวังให้กับดนุพร ที่มาร่วมงานตั้งแต่เช้านั้น ไม่ค่อยจะอยากเข้าใกล้เพื่อนสนิทเท่าไหร่ เพราะเขารู้ดีว่า ว่าที่คู่หมั้นเพื่อนไม่ค่อยอยากจะญาติดีกับเขาสักเท่าไหร่เลย เขาจึงได้แต่ปลีกตัวไปนั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อน ๆ สมัยเรียนด้วยกันที่มาร่วมงานด้วย ปล่อยให้พิสิทธิ์และโสภาต้อนรับแขกด้วยความสะบายใจ

สายตาของลัดดาที่มองไปยังเพื่อนรักลูกชายและคู่หมั้นนั้น บ่งบอกถึงความดีใจที่ได้เห็นภาพ ๆ นี้เหลือเกิน จะว่าไปแล้วพิสิทธิ์ก็เปรียบเสมือนลูกชายอีกคนของเธอ และเธอก็ดีใจที่เขาได้เลือกผู้หญิงดี ๆ มาเป็นคู่ชีวิต ถึงแม้ว่าลัดดาจะไม่ได้รู้จักมักจี่กับโสภามาเป็นการส่วนตัว แต่จากการกระทำที่เธอปฏิบัติต่อระพีพรรณนับตั้งแต่วันแรกที่ลัดดาได้เห็นนั้น มันทำให้ลัดดาชื่นชมในความดีที่มีในตัวโสภาไม่น้อย

พลอยทำให้ลัดดาอดคิดถึงระพีพรรณไม่ได้ ป่านนี้จะมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง ลูกในท้องของเธอที่ลัดดาค่อนข้างจะเชื่อว่าเป็นหลานเธอนั้น จะเกิดมาเป็นชายหรือหญิง แล้วเรื่องราวความเคียดแค้นระหว่างครอบครัวเธอและกำพลจะลงเอยอย่างไร คิด ๆ แล้วลัดดาก็รู้สึกกลุ้มใจไม่น้อย เมื่อหันไปหาลูกชายคนเล็กที่นั่งร่วมวงอยู่กับเพื่อนอีกฟากของสวน เธอสังเกตุเห็นว่าตั้งแต่เช้ามานี้ ลูกชายแทบจะไม่ปลิปากพูดกับใครเลย คิดแล้วลัดดาก็ถึงกับถอนหายใจออกมา

“แม่ถอนหายใจทำไมครับ” เสียงเด่นณรงค์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ มารดาถามขึ้น
“เอ่อ....ไม่มีอะไรหรอกเด่น แม่กำลังคิดถึงแม่เพลงน่ะลูก”
เธอให้ความกระจ่างแก่เขา ทำให้เด่นณรงค์หยุดบทสนทนาไว้แค่นั้น เพราะที่โต๊ะอาหารมีแขกคนอื่นร่วมอยู่ด้วยนั้น ไม่เหมาะที่จะคุยเรื่องนี้นัก เขาก็ได้แต่ยิ้มให้มารดาแค่นั้น แต่ในใจเขาแล้ว ทุก ๆ ครั้งที่ยินชื่อเธอ มันช่างสร้างความกังวลใจให้เขาไม่น้อยเลย จนเขาเองก็ต้องลอบถอนหายใจตามมารดาไปอีกคน



รูปถ่ายเมื่อวัยเด็กของระพีพรรณถูกเด่นณรงค์หยิบมาดูอีกครั้ง หลังจากที่เขาใช้เวลาอยู่กับน้องสาวแทบทั้งบ่าย จนเธอหลับ เขาจึงได้มีเวลาส่วนตัวในวันหยุดอย่างนี้ เด่นณรงค์อดโกรธตัวเองไม่ได้ ที่ไม่ยอมตัดใจให้เลิกรักเด็กน้อยหน้าใสในรูปนี้สักที ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็ใช้ความพยายามมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่ที่ได้รับรู้ว่าระพีพรรณกับน้องชายนั้นมีความสัมพันธ์กันเช่นไร แต่มันก็แทบจะไม่เคยได้ผลเลย ตรงกันข้ามเขากลับคิดถึงเธอ และเป็นห่วงเธอขึ้นเป็นทวีคูณ

เขารู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ที่พิสิทธิ์มาแจ้งข่าวเมื่อครั้งก่อนว่า หาตัวระพีพรรณไม่พบ แต่เขาก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมายนัก เพราะรู้ว่าพิสิทธิ์คงไม่โกหก แต่พอมาคิด ๆ อีกที เขาก็ไม่อยากจะปักใจเชื่ออย่างที่พิสิทธิ์บอกไว้เสียแล้ว ก็ในเมื่อคู่หมั้นพิสิทธิ์เป็นเพื่อนรักระพีพรรณ

“คิดอะไรอยู่จ๊ะเด่น” เสียงมารดาที่เข็นรถเข็นมาในเรือนกุหลาบคนเดียวเงียบ ๆ และก็เป็นการปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์ด้วย
“คุณแม่...ผมกำลังคิด....เอ่อ” เขาพูดไม่ออก
“คิดเรื่องแม่เพลงอยู่เหรอลูก” มารดาเหมือนจะรู้ทันเขา
“ผมห่วงคุณเพลงครับแม่ ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะคลอดลูกมาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง” เขารับกับมารดาตามตรง

“ถ้าเด่นห่วง ทำไมไม่ไปดูว่าเขาจะอยู่ยังไงล่ะลูก แม่ว่ามันไม่ยากนักหรอกนะ ที่จะตามหาแม่เพลง เพราะคนที่รู้ว่าแม่เพลงอยู่ที่ไหน เราก็รู้จักอยู่แล้วนี่ พ่อสิทธิ์น่ะคงจะขัดคู่หมั้นไม่ได้หรอก ถ้าหากทางโน้นสั่งห้ามมาบอกเรา”
ลัดดาบอก เพราะเดาสถานะการออกนั่นเอง
“แล้วคุณแม่ไม่....เอ่อ...”

“แม่เองก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าป่านนี้แม่เพลงจะอยู่กินยังไง....เฮ้อ...คิด ๆ ไปแล้ว วันนั้นแม่ไม่น่าปล่อยให้แม่เพลงออกจากบ้านไปเลยนะ แม่น่าจะหาความจริงให้มันกระจ่าง จะได้ไม่ต้องมานั่งไม่สบายใจแบบนี้” ลัดดาระบายความในใจกับลูก
“แล้วแม่ไม่โกรธคุณเพลงกับพ่อเขาแล้วเหรอครับ” เขาถามด้วยความอยากรู้

“เรื่องในอดีต มันไม่ง่ายที่เราจะลบมันออกหรอกนะเด่น แต่เราก็ควรที่จะแบ่งให้เป็นเรื่อง ๆ ไป แม่เพลงก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีกับครอบครัวเรามาก่อน จะมาเหมาว่าเขาไม่ดีเหมือนพ่อกับพี่ แม่ว่ามันก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ เมื่อก่อนแม่อาจจะโกรธและเกลียดแม่เพลงเพราะพ่อและพี่เขา แต่แม่ก็เห็นว่าแม่เพลงเป็นคนดี มีความอดทนอดกลั้น ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สมบัติคืน แต่จู่ ๆ ก็มาเกิดเรื่องซะก่อน แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็มาจากคนของเราไปทำเขา แม่ก็เลยคิดว่ามันไม่น่าจะถูก ถ้าแม่มัวแต่เอาความแค้นมาเก็บไว้ และไปลงที่แม่เพลง” ลัดดาบอกความในใจที่มีให้ลูกฟังหลังจากที่ได้คิดมาสักระยะหนึ่งแล้ว

“คุณแม่คิดอย่างนั้นเหรอครับ”
เขาถามมารดาด้วยความกังขา เพราะไม่แน่ใจนัก ว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากมารดา
“แม่ว่าบางครั้งการหนีปัญหามันก็ไม่น่าจะทำให้อะไร ๆ มันดีขึ้นหรอกนะลูก” มารดาให้แง่คิด
“งั้นผมก็จะลองตามหาคุณเพลงอีกสักครั้งครับ อะไร ๆ มันจะได้จบ ๆ ซักที”
เขาบอกมารดา แล้วก็ทั้งสองแม่ลูกก็ยิ้มให้กัน


รูปถ่ายตั้งแต่ผู้หญิงที่อยู่ในชุดคลุมท้องไปจนถึงรูปของเด็กน้อยหลาย ๆ ใบ ที่อยู่ในอิริยาบทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในอ้อมกอดของแม่ที่มีร่างกายที่ไม่แตกต่างจากก่อนจะตั้งท้องเท่าไหร่นัก หรือรูปที่หนูน้อยนั้นอยู่ในอ้อมกอดของตาที่ต้องนั่งอยู่รถเข็น แล้วพาหนูน้อยชมไม้ดอกไม้ผลในสวยอยู่นั้น สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ที่เป็นเจ้าของสายเลือดได้ไม่ยากเลย

เขาไม่อยากจะบอกว่าตัวเองคิดผิดที่ลงทุนจ้างนักสืบในคราบของเพื่อนบ้านลึกลับ ให้ติดตามความเคลื่อนไหวแม่ของลูกเขา นับตั้งแต่ที่เธอขนข้าวของย้ายไปอยู่บ้านสวนแล้ว จนเขาได้รับรู้ว่าเจ้าของหัวใจได้ให้กำเนิดทายาทที่น่ารักและน่าเอ็นดูแค่ไหน เขาให้คำตอบตัวเองไม่ได้ว่าจะทำยังไงดีกับชีวิตของเขาและเธอ

มันแทบจะไม่มีอุปสรรคใด ๆ มาขวางกั้นระหว่างเขาและเธอให้ได้ครองคู่กันได้เลย หากแต่มันเป็นเพียงรอยแค้น ที่มันสุมอยู่ในหัวใจเขามานานนับสิบ ๆ ปีต่างหาก ที่เป็นเหมือนภูเขาลูกใหญ่มาขวางกั้นเขาและเธอเอาไว้
อาญาที่ผู้ให้กำเนิดเธอสร้างเอาไว้นั้น มันช่างมีอิทธิพลมากมายเหลือเกิน มากจนทำให้เขาทำใจให้ลืมไม่ได้ ดนุพรทิ้งตัวลงนอนไปกับชุดรับแขกตัวใหญ่ในคอนโดที่ ๆ เขาได้ใช้เป็นที่กักขังตัวเองไว้มาหลายวันแล้ว เพราะไม่อยากจะกลับบ้านหรือไปไหนทั้งนั้น แต่สุดท้ายเขาก็มาพบกับความเจ็บปวดในที่ ๆ เขาทำลายคนที่เขาได้มอบหัวใจให้

นี่นานเท่าไหนแล้ว ที่เขาห่างหายจากร่างที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลัง จนบางครั้งเขาแทบไม่อยากจะผละไปไหน นานเท่าไหนแล้วที่เขาไม่ได้ยินเสียงนุ่มนวลที่เธอเอื้อนเอ่ยกับหลาย ๆ คนในบ้าน นานเท่าไหนแล้วที่เขาไม่ได้เห็นเธอเฝ้าสอนให้ดรุณีหัดวาดรูป

“ก๊อก ๆ ๆ”
เสียงเคาะประตูห้อง ทำให้เขาต้องรีบเก็บข้าวของที่กองอยู่ตรงโต๊ะกลางตัวเล็ก ๆ ให้หมด เพราะรู้ดีว่าคนที่จะมานั้นคือใคร
“ทำอะไรอยู่ดำ ฉันเคาะประตูตั้งนานแล้วนะ” พิสิทธิ์ถามเป็นคำถามแรกเมื่อเขาเดินไปเปิดประตูให้
“เปล่า เข้ามาก่อนสิ” เขาบอกและรีบเดินกลับเข้าไปในห้อง และนั่งลงที่ชุดรับแขกตัวเดิม โดยมีพิสิทธิ์ตามไปติด ๆ
“อะไรนี่ เล่นแต่หัววันเชียวนะแก” เขาถามเพื่อนเมื่อมองเห็นเครื่องดื่มตั้งอยู่ตรงหน้า

“ก็ไม่มีอะไรทำนี่ แล้วแกล่ะ นึกยังไงถึงได้มาหาฉันที่นี่” เขาถามไปอย่างนั้น
“ก็ไม่มีอะไรหรอก เห็นคุณป้าบ่นอีกแล้ว ว่าแกไม่ค่อยจะกลับบ้านก็เลยให้ฉันมาดู” พิสิทธิ์บอก
“ฉันไม่เป็นอะไรนี่ เรื่อย ๆ” เขาบอก
“แกแน่ใจเหรอ แต่หน้าแกนี่มันไม่ตรงกับคำว่าเรื่อย ๆ ของแกเลยนะดำ” เพื่อนท้วง

“จะให้ฉันนั่งยิ้มทั้งวันเลยดีหรือเปล่าล่ะ ถึงจะพอใจกัน ใช่สิ....ใครจะไปมีความสุขเหมือนแกล่ะ แล้วนี่เมื่อไหร่จะแต่ง ๆ ไปซักทีจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีก” เขาแหย่และต่อว่าเพอื่อนนิด ๆ เพราะพักหลังนี้ไม่มีเวลาให้เขาเลย
“โอย...ยังหรอก คุณโสภาต้องการจะรอให้อะไร ๆ มันลงตัวก่อน”
พิสิทธิ์บอก และยิ้มออกไปเมื่อคิดถึงใบหน้าของเจ้าของหัวใจ
“แล้วอะไร ๆ ของแกน่ะมันอะไรล่ะ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องรอเลย แกก็พร้อมทุกอย่างแล้ว” เขาถามไปอย่างนั้น

“เอ่อ....จริง ๆ แล้วแกก็พูดถูกนะ ไม่รู้จะรออะไร อายุก็เยอะแล้ว รีบ ๆ แต่งจะได้มีลูกทันใช้ก็ดีนะ เดี๋ยวก็ตามแกไม่ทันพอดี” พิสิทธิ์แหย่เขา
“แกหมายความว่ายังไงไอ้สิทธิ์” เขาถามและหลบตาเพื่อนทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนหมายความว่ายังไง

“ดำ....ไอ้เรามันก็เป็นเพื่อนกันมานาน และก็เป็นลูกผู้ชายด้วยกันด้วย แกจะหลอกใครก็หลอกได้นะ แต่จะหลอกตัวเอง หรือจะหลอกฉันไม่ได้ เพราะฉันรู้จักแกดี เมื่อไหร่แกจะเลิกโกรธแค้นซักที วันเวลามันไม่เคยคอยใครนะ ถ้าเกิดวันไหนแกอยากจะได้เขาขึ้นมา แล้วเขาไปมีคนอื่นแล้วแกจะมานั่งเสียใจไม่ได้นะ ที่ฉันบอกก็เพราะฉันรักและหวังดีกับแก”
พิสิทธิ์พูดตรง ๆ กับเขา

“แกพูดเรื่องอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง พอได้แล้ว ๆ เออ...มาก็ดีแล้ว นี่แกเอารายงานผลประกอบการไปอ่านดูด้วยเลย ปีนี้ฉันทำทะลุเป้าไปเกือบสามสิบเปอร์เซ็นต์นะ แล้วบริษัทแกล่ะ ทำได้เหมือนฉันหรือเปล่า”
เขารีบเปลี่ยนเรื่องและเดินไปหยิบเอาแฟ้มเอกสารที่โต๊ะทำงาน มายื่นให้พิสิทธิ์แทน

“แกมันก็อย่างนี้ทั้งปีนะ เฮ้อ...ฉันล่ะกลุ้มใจจริง ๆ เลยให้ตายสิ”
พิสิทธิ์รับแฟ้มมาจากเพื่อนแล้วก็อดบ่นเขาอย่างเอื่อมระอาไม่ได้ พร้อม ๆ กับส่ายหน้าให้กับเขา แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจอะไร ได้แต่คว้าเอาแก้วเหล้าแล้วหันหลังให้เขาด้วยการไปยืนรับลมที่ระเบียงห้องเพื่อหนีอะไรบางอย่างนั่นเอง




เด่นณรงค์ค่อย ๆ สูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดอีกครั้ง หลังจากที่เขาปล่อยให้รถของระพีพรรณผ่านไปได้สักพักแล้ว และเขาก็เดาเอาว่าคงจะไปทำธุระที่ไหน และคงจะยังไม่กลับมาง่าย เขาจอดรถเอาไว้ไกลออกไปจากที่หมายที่ ๆ เขาเพิ่งจะได้มาเยือนเป็นครั้งแรกหลังจากได้แอบขับรถตามโสภาเมื่อหลายวันมาแล้ว

เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูรั้วแล้วก็มองเข้าไปในบ้านหลังกระทัดรัดที่ค่อนข้างจะเงียบเชียบนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลายจนยากที่จะบรรยายได้ แต่เขาก็ค่อนข้างที่จะเห็นด้วยกับคำมารดาที่ว่า ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ใช่มีไว้ให้หนีหน้า และเขาก็รู้ดีว่าปมของปัญหาระหว่างเขากับครอบครัวนี้นั้นมันอยู่ที่เขาและชายที่กำลังนั่งอยู่บนรถเข็นที่หันหลังให้เขานั่นเอง

เขาไม่แน่ใจนักว่ากำพลจะทำหน้ายังไง หากจะต้องเผชิญหน้ากับเขาหลังจากที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็พร้อมที่จะรับมันแล้ว ก็ในเมื่อเขาเลือกที่จะเดินเข้ามาเผชิญกับปัญหาแล้วนี่

ดวงตาของโป่งถึงกับตะลึงจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า เมื่อเห็นร่างของคนที่มาเยือนยืนอยู่ที่หน้าบ้าน ถึงโป่งจะไม่ได้เห็นเขาตั้งแต่วันที่เขาหมดสิ้นอิสระภาพจนบัดนี้ แต่โป่งก็จำได้ว่านั่นคือโจทย์ของเจ้านายตัวเองนั่นเอง สีหน้าของโป่งนั้นทำให้ตาที่กำลังอุ้มหลานอยู่บนตักต้องรู้สึกแปลกใจ จนต้องหมุนรถให้หันไปตามทางที่สายตาโป่งมองไป แล้วเขาก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองไม่แพ้กับโป่งเลย

โป่งดูเหมือนจะรู้หน้าที่ดี จึงรีบมาอุ้มเอาหนูน้อยที่อยู่บนตักของเจ้านายไปอุ้มไว้แทน เขาหันไปมองเจ้านายอีกครั้ง ทันทีที่เจ้านายพยักหน้าให้ เขาก็พาหนูน้อยเดินออกนอกบ้านตรงไปยังสวน เหมือนจะให้คนทั้งสองที่มาเผชิญหน้ากัน ได้มีเวลาเป็นส่วนตัว ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ใคร่จะสบายใจนัก แต่ก็คิดว่าคงจะไม่มีอะไรรุนแรงเป็นแน่ เพราะเขารู้จักผู้มาเยือนดี

“สวัสดีครับคุณท่าน”
เด่นณรงค์รวบรวมความกล้าแล้วก็ยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า ถึงแม้จะไม่สนิทใจนัก แต่เขาก็ถือว่าตัวเองเป็นเด็ก และอีกอย่างชายผู้นี้ก็เคยเป็นเจ้านายเขามาก่อน อีกฝ่ายก็รับไหว้ด้วยอาการงวยงงไม่น้อยกับการมาเยือนของเขาและการปฏิบัติตัวที่คงเส้นคงวาเหมือนเมื่อก่อน
“เชิญนั่งก่อนสิ ตามสบายนะ” เจ้าบ้านบอกและชี้ไปตรงแคร่ไม้ที่ตั้งอยู่หน้าบ้าน ซึ่งเขาใช้เป็นที่รับแขกมานานแล้ว

“คุณท่านสบายดีเหรอครับ” เด่นณรงค์ถามขณะทรุดตัวลงนั่งที่แคร่ โดยมีกำพลค่อย ๆ เข็นรถเข้ามาหา
“ก็เรื่อย ๆ ตามอัตภาพ แล้วพ่อเด่นล่ะสบายดีหรือเปล่า ฉันรู้มาจากยายเพลงว่าพ่อเด่น....เอ่อ....ออกมานานแล้ว”
กำพลถามไปอย่างนั้น เพราะไม่รู้ว่าจะหาเรื่องอะไรมาพูดกับเขาดี
“ผมสบายดี ขอบคุณครับ” เขาบอกแค่นั้น
“พ่อเด่นมาถึงที่นี่ มีอะไรกับฉันหรือเปล่า...แล้ว....เอ่อ...รู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่นี่” กำพลถาม

“ผมตามคุณโสภามาครับ อยากรู้ว่าคุณท่านกับคุณเพลงอยู่ที่ไหน และอยู่กันยังไง เผื่อว่ามีอะไรจะให้ผมช่วยเหลือบ้างครับ” เขาบอกออกไปตามความจริง
“พวกเราสบายดี พูดธุระของพ่อเด่นมาเถอะ ไม่ต้องเสียเวลาหรอก ฉันรู้ว่าพ่อเด่นต้องมีอะไรถึงได้มาถึงที่นี่ แต่ฉันขอบอกไว้ก่อนนะ ว่าเรื่องระหว่างครอบครัวของเราไม่น่าจะมีอะไรติดค้างกันแล้ว คงไม่ต้องให้ฉันบอกนะว่าเรื่องมันเป็นยังไง”
ผู้อาวุโสกว่ารีบถามและดักคอเขาทันที

“งั้นผมไม่อ้อมค้อมแล้วนะครับ เอ่อ...คือว่าผมคิดว่าเรื่องระหว่างครอบครัวของพวกเรา น่าจะมาเปิดอกพูดคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราวให้มากกว่านี้ครับ เรื่องทั้งหมดจะได้ลงเอยด้วยดีซักที สิ่งที่ยังค้างคาใจทั้งหมดก็ควรที่จะได้รับการสะสางให้หมดสิ้น.........” แล้วเขาก็เริ่มในสิ่งที่เขาตั้งใจจะมาในวันนี้ และเขาก็ดีใจเหลือเกินที่เขาเลือกมาในเวลาที่ระพีพรรณไม่อยู่บ้าน เพราะมันทำให้คุยอะไรกันได้ง่ายขึ้น เพราะผู้ชายกับผู้ชายย่อมไม่มีอะไรมากมายนัก

ระพีพรรณค่อย ๆ ชะลอรถเมื่อเห็นสมจิตกับโป่งเดินอยู่ตามริมถนนเพื่อมุ่งหน้าไปที่บ้าน พร้อม ๆ กับมีหนูน้อยที่สมจิตอุ้มเอาไว้ ส่วนโป่งเป็นคนคอยกางร่มและเดินมาอย่างไม่รีบร้อนอะไร

“ไปไหนกันมาคะลุงโป่ง พี่จิต”
เธอจอดรถขวางทั้งสองคนเอาไว้และถามทันทีหลังจากลงมาจากรถ แทนคำตอบอีกฝ่ายก็ได้แต่ส่งสายตาให้เธอมองเข้าไปในบ้านแทน จนทำให้เธอต้องค่อย ๆ เดินไปด้อม ๆ มอง ๆ เข้าไปในบ้าน โดยใช้ต้นไม้ เล็ก ๆ เป็นที่กำบัง เพื่อไม่ให้คนข้างในเห็น แล้วเธอก็ถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อพบว่าบิดานั่งสนทนาอยู่กับใคร เธอหันมาหาโป่ง ที่ยืนรออยู่ใกล้ ๆ

“พี่เด่นมานานหรือยังคะลุงโป่ง แล้วมีอะไรกันหรือเปล่า ทำไมลุงโป่งไม่อยู่กับคุณพ่อล่ะคะ แล้วว่าแต่พี่เด่นรู้ได้ยังไงคะว่าพวกเราอยู่ที่นี่ หรือว่าจะรู้มาจาก.....”
เธอยิงคำถามรวดเดียว แล้วก็หยุดถามโป่งไว้แค่นั้น เพราะเดาได้จากสีหน้าและสายตาของโป่งที่งงงวยไม่แพ้กันเลย

“ลุงว่าคุณเพลงเข้าไปถามคุณท่านเองดีกว่าครับ คุยกันนานแล้ว น่าจะสักสองชั่วโมงเห็นจะได้ ลุงออกมาตั้งแต่คุณเด่นเข้าไปในบ้านใหม่ ๆ จน คุณพิง เริ่มงอแงคงจะหิวนมผมก็เลยให้แม่จิตช่วยครับ เดิน ๆ มาสงสัยจะง่วงก็เลยหลับไปเลย”

โป่งบอกและส่งสายตาไปหาหนูน้อยที่หลับอยู่ในอ้อมแขนของสมจิต ระพีพรรณรีบอ้าแขนรับบุตรชายจากสมจิตเพราะเดาได้ว่าผู้อุ้มคงจะเมื่อยแขนไม่น้อย เพราะลูกชายนั้นมีน้ำหนักไม่ใช่เล่นทีเดียวในเวลานี้

แต่ก็เหมือนกับการที่ทารกกำลังหลับสบาย ๆ อยู่ถูกรบกวน จึงส่งเสียงร้องงอแงออกมาจนได้ยินไปถึงด้านในบ้าน ทำให้ผู้เป็นตารู้ได้ทันทีว่าถึงเวลาที่หลานจะต้องกินนมและนอนแล้ว จึงร้องเรียกโป่งออกมาจากตัวบ้าน เพราะเดาได้ว่าโป่งคงอยากจะเข้าบ้านนานแล้ว

“โป่ง เจ้าโป่งเอ้ย เอาหลานฉันเข้ามากินนมนอนได้แล้วล่ะ อีกหน่อยยายเพลงก็คงจะกลับ”
ไม่ทันได้สิ้นเสียง โป่งกับ ระพีพรรณและสมจิตก็เดินเข้ามาในบ้าน เด่นณรงค์รีบลุกขึ้นเมื่อเห็นระพีพรรณ แล้วก็ยิ้มให้อย่างมีไมตรีที่ดีเหมือนเคย
“พี่เด่น สวัสดีค่ะ ไปยังไงมายังไงคะ” ระพีพรรณกล่าวแต่ก็ไหว้เขาไม่ได้เพราะอุ้มลูกอยู่

“พี่ว่าเอาหลานไปกินนมนอนก่อนดีกว่านะคุณเพลง แล้วค่อยมาคุยกัน วันนี้พี่ไม่มีธุระที่ไหน ตั้งใจมาหาคุณเพลงกับคุณท่านโดยเฉพาะเลย”
เด่นณรงค์บอกด้วยน้ำเสียงค่อนข้างปีติยิ่ง ระพีพรรณก็ทำตามโดยไม่ได้โต้แย้งอะไรรีบจัดแจงให้นมบุตรชาย และเอาเข้านอนได้สักพัก เมื่อเห็นว่าหลับสนิทแล้วก็เดินออกมาหน้าบ้านอีกครั้ง ก็พบว่ามีเพียงแต่บิดาที่นั่งอยู่เพียงลำพัง เธอจึงเดินเข้าไปหาและมองหน้าบิดาด้วยความสงสัย คล้าย ๆ อยากจะถามอะไร แต่ก็ไม่ทันได้เอ่ยปากถาม ผู้เป็นพ่อก็เหมือนจะรู้ใจจึงเอ่ยขึ้นมาก่อน

“พ่อเด่นเข้ามาคุยปรับความเข้าใจกับพ่อ”
“แล้วคุณพ่อว่ายังไงคะ” เธอรีบถาม
“ก็ไม่ว่ายังไงหรอกลูก ผู้ชายคุยกันไม่กี่คำก็รู้เรื่องแล้ว พ่อว่าการที่เขามาหาเราก็ถือว่าให้เกียรติเรามากทีเดียว และอีกอย่างพ่อเด่นก็ไม่ใช่ผู้ที่ทำ....เอ่อ...พ่อก็เลยไม่ได้ว่าอะไร ส่วนพ่อเด่นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก”
กำพลบอกลูกสาวคร่าว ๆ แค่นั้น เพราะตัวเองก็ไม่อยากจะเอ่ยถึงเรื่องในอดีตที่ตัวเขาเองเป็นคนก่อเรื่องร้าย ๆ เ อาไว้

“เพลงเข้าใจพ่อใช่ไหมลูก....พ่อไม่อยากจะคิดอะไรมากไปกว่านี้แล้ว คนเราเกิดมาก็เท่านี้ เกิด แก่ เจ็บ และตาย เรื่องไหนไม่ดีเราก็ไม่ควรจะจำเอาไว้ จะได้ไม่รกจิตใจ” กำพลบอกต่อ
“เพลงดีใจค่ะ ที่ได้ยินแบบนี้ แล้วพี่เด่นกลับแล้วเหรอคะ” เธอถามหาแขก
“ยังหรอกลูก เห็นบอกว่าจะรอคุยกับลูกก่อน ตอนนี้ก็เข้าไปในสวนกับเจ้าโป่งมัน เพลงลองเดินตามไปสิ แล้วบอกให้เจ้าโป่งมาช่วยพ่อที อยากจะอาบน้ำสักหน่อย” กำพลบอก

“ค่ะ”
เธอรับคำแค่นั้น แล้วก็เดินหายเข้าไปทางท้ายสวน ไม่นานก็พบว่าเด่นณรงค์กำลังช่วยโป่งเก็บมะม่วงจากต้นลงในเข่งอย่างสบายใจ เมื่อเขาเห็นเธอก็ละมือจากมะม่วงแล้วก็ตรงมาหา
“หลานพี่หลับแล้วเหรอครับคุณเพลง” เขาทักเธอ แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายถึงกับทำหน้าไม่ถูกเมื่อเขาใช้คำว่า
“หลาน” กับลูกของเธอ จนทำให้เด่นณรงค์เข้าใจได้โดยง่าย ว่าเขาคงทำให้เธอคิดไปในทางอื่น จึงรีบบอกว่า

“พี่หมายถึงว่า คุณเพลงเป็นน้องพี่ พอลูกออกมาก็เป็นหลานพี่น่ะ” ระพีพรรณจึงยิ้มจาง ๆ ให้กับเขา
“ลุงโป่งคะ คุณพ่ออยากจะให้ช่วยพาคุณพ่ออาบน้ำค่ะ เห็นบ่นว่าร้อน” เธอบอกโป่งที่กำลังเก็บมะม่วงอยู่
“ครับคุณเพลง”
โป่งรับคำแค่นั้นก็รีบวางมือจากมะม่วง แล้วก็เดินผละไปโดยง่าย เพราะรู้ดีว่าเจ้านายสาวคงต้องการความเป็นส่วนตัวนั่นเอง

“ไม่เจอกันนาน คุณเพลงสบายดีนะครับ พี่ว่าจะมาหาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ติดเรื่องโน้นเรื่องนี้อยู่ เลยไม่ได้มาสักที”
เด่นณรงค์เป็นฝ่ายเริ่มบทสนาก่อน
“ก็เรื่อย ๆ ค่ะ เพลงดีใจนะคะ ที่เห็นพี่เด่นวันนี้ และยิ่งดีใจมาก ที่ได้เห็นพี่เด่นกับคุณพ่อ...เอ่อ” เธอหยุดไว้แค่นั้น

“พี่ก็ดีใจครับที่พี่รวบรวมความกล้า แล้วก็มาหาท่านวันนี้ พี่ไม่อยากให้เรื่องบาดหมางในอดีตมันค้างคากันทั้งสองฝ่าย เรื่องมันแล้วไปแล้ว ก็ให้มันผ่าน ๆ ไป หรือคุณเพลงเห็นเป็นยังไงครับ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และก็ถามเธอ
“เพลงเองก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ เพราะมันเป็นเรื่องในอดีตระหว่างพี่เด่นกับคุณพ่อและพี่พี ถ้าทุกคนหันหน้ามาตกลงและทำความเข้าใจกันได้เพลงก็ดีใจค่ะ แล้วทำไมจู่ ๆ พี่เด่นถึงได้มาวันนี้ล่ะคะ ทั้ง ๆ ที่มัน....เอ่อ...”

“ผ่านมานานแล้ว” เขาต่อให้เมื่อเห็นเธอรู้สึกอึดอัดไม่กล้าพูด
“พี่กับคุณแม่เห็นว่า เรื่องที่คุณท่านทำไว้ในอดีตก็น่าจะถูกลบล้างจากเรื่องในปัจจุบันที่คุณเพลง...เอ่อ...เป็นคนชดใช้ให้แล้ว....พี่หมายถึงเรื่องที่คุณเพลงไปทำงานที่บ้านเกือบห้าปีน่ะครับ” เขาบอกเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายเจื่อน ๆ ไป
“คุณแม่ก็เลยคิดว่า เราทั้งสองครอบครัวไม่น่าจะมาผูกใจเจ็บกันให้มากไปกว่านี้อีกแล้ว อย่างน้อย ๆ ก็ควรจะได้พูดคุยทำความเข้าใจกันบ้าง แล้วผลจะตามมายังไงก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของกรรมเวร” เขาบอกเรียบ ๆ เหมือนเคย

“เพลงฝากกราบขอบพระคุณ คุณท่านด้วยนะคะ ที่ท่านยังนึกถึงข้อนี้อยู่ เพลงกับคุณพ่อก็ไม่ได้คิดอะไรมากแล้วค่ะ เพียงแต่อยากจะให้มันผ่าน ๆ ไป ถ้าหากว่าคุณท่านกับพี่เด่นเห็นว่าสิ่งที่เพลงได้รับถือเป็นการชดใช้ให้ เพลงก็ดีใจค่ะ อย่างน้อย ๆ เพลงกับคุณพ่อก็ไม่ได้เสียเวลาเปล่า ๆ ถึงแม้ว่าหลาย ๆ อย่างมันจะไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวังเอาไว้ก็ตาม แต่เพลงก็ถือว่าพวกเราได้ชดใช้ให้แล้ว และต่อไปนี้ ก็อยากจะให้ต่างคนต่างอยู่ ไม่ผูกใจเจ็บซึ่งกันและกันอีก พี่เด่นเห็นเป็นยังไงคะ” เธอถาม

“เรื่องไม่ผูกใจเจ็บพี่ก็เห็นด้วย แต่เรื่องต่างคนต่างอยู่เห็นทีพี่ต้องขอนะ เพราะพี่ตั้งใจว่าจะมาหาคุณท่านและคุณเพลงอีกบ่อย ๆ ถ้าคุณเพลงอนุญาต เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ให้พี่ได้ตอบแทนบุญคุณที่คุณเพลงเคยช่วยพี่ไว้เมื่อสมัยก่อน พี่อยากให้เราสองคนกลับมาเป็นเหมือนเดิม คุณเพลงคิดว่ายังไงครับ”
เขาบอกออกไปพร้อม ๆ กับสีหน้าแสดงอาการโล่งอก ที่ได้พูดในสิ่งที่เขาตั้งใจเอาไว้ และมันก็เป็นเหตุผลหลักที่เขามาที่นี่นั่นเอง

“แล้วคนทางบ้านพี่เด่น....เอ่อ...เขาจะไม่...”
“พี่กับดำคนละคนกันนะคุณเพลง ขอเพียงแค่คุณเพลงอนุญาตแค่นั้นพี่ก็ดีใจแล้ว” เขารีบบอกเธอทันที
“ที่นี่ยินดีต้อนรับพี่เด่นเสมอค่ะ แต่เพลงขอร้องพี่เด่นอย่างหนึ่งได้หรือเปล่าคะ” เธอรีรอแล้วก็บอกความต้องการไปในที่สุด
“อะไรครับคุณเพลง ถ้าพี่ให้ได้พี่จะรีบทำให้ทันที” เขารีบรับคำด้วยความดีใจ

“เพลงอยากจะให้พี่เด่นเก็บเรื่องที่มาพบพวกเราวันนี้เป็นความลับค่ะ เพลงไม่อยากจะรับรู้เรื่องอื่น ๆ มากไปกว่านี้แล้ว ทุกวันนี้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราก็กำลังมีความสุขไปด้วยดี เพลงไม่อยากจะ....เอ่อ...” เธออ้ำอึ้งที่จะบอกความนัยที่แท้จริงกับเขา
“พี่เข้าใจ และพี่รับรองว่าพี่จะไม่บอกใครว่าพี่มาพบคุณเพลงแล้ว”
เขารับคำอย่างหนักแน่น จนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจขึ้นมา

“ขอบคุณค่ะ อ้าว...ลุงโป่งกลับมาแล้ว สงสัยจะมาเก็บมะม่วงต่อให้เสร็จ” เธอบอกเมื่อเห็นโป่งเดินมาอีกครั้ง
“ครับคุณเพลง จะรีบเก็บแล้วจะใด้เอาไปขายที่ตลาดพรุ่งนี้เช้าครับ เอ่อ...ลืมไปเลย เมื่อกี้คุณพิงตื่นแล้วนะครับ กำลังเล่นอยู่กับคุณท่านอยู่” โป่งบอกและก็ให้ความสนใจเก็บมะม่วงต่อ

“ทำไมตื่นเร็วจังเลย งั้นเพลงไปดูลูกก่อนนะคะ พี่เด่นจะเดินดูอะไร ๆ ในสวนก่อนก็ได้นะคะ แล้วก็อยู่กินข้าวเย็นกับพวกเราก่อนแล้วค่อยกลับ” เธอบอก
“คงจะไม่รบกวนดีกว่าครับ วันนี้ออกจากบ้านมาแต่เช้าแล้ว คุณแม่จะคอย งั้นพี่ก็ขอตัวเลยก็แล้วกัน เดี๋ยวจะไปลาคุณท่านด้วย เอาไว้วันหลังพี่จะมาฝากท้องไว้กับคุณเพลงครับ” เขาบอกและยิ้มให้เธอ
“ด้วยความยินดีค่ะ” เธอตอบรับและยิ้มให้เขาก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกจากสวนไป







 

Create Date : 15 ตุลาคม 2551
3 comments
Last Update : 15 ตุลาคม 2551 9:38:53 น.
Counter : 829 Pageviews.

 

สงสารนางเอกนะค่ะ พระเอกทำไมใจแข็งนักละเนี่ย

 

โดย: ติีก IP: 86.31.30.140 16 ตุลาคม 2551 0:41:37 น.  

 

สังหรณ์ว่าต่อไปเราคงต้องกลับไปสงสารพระเอกแทนรึป่าวคะเนี่ย เพราะว่าพี่ชายนายดำเขารักเพลงด้วย แต่สมน้ำหน้าแล้ว นายดึกดำบัน อิอิ

 

โดย: Dozaemon IP: 212.30.211.225 16 ตุลาคม 2551 11:22:18 น.  

 

หึหึหึ ตกลงจะพากันสงสารใครดีหนอ สองคนนี้

 

โดย: ธัญญะ 16 ตุลาคม 2551 12:11:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.