Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
10 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

รอยอาญา ๒๕ (ธัญรัตน์)




บ้านไม้สองชั้นหลังกะทัดรัดที่ปลูกเอาไว้กลางสวน มีอาณาบริเวณไม่น้อยกว่า ๕ ไร่ บริเวณโดยรอบถูกรายล้อมด้วยพืชสวนเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นต้นมะม่วง ฝรั่ง และน้อยหน่า ที่ปลูกเอาไว้ไปจนสุดเขตสวน พืชผักสวนครัวต่าง ๆ ที่ปลูกเอาไว้บริเวณรอบ ๆ บ้าน และก็ยังมีชะอมที่ปลูกเอาไว้เป็นแนวแทนรั้วไปในตัวด้วย

ระพีพรรณค่อนข้างพอใจที่ได้บ้านหลังนี้มา สภาพบ้านกลางเก่ากลางใหม่ ส่วนล่างจะปูพื้นด้วยกระเบื้อง มีห้องนอนสองห้อง ส่วนบริเวณที่เหลือระพีพรรณจัดไว้ทำเป็นห้องรับแขก ซึ่งเครื่องเรือนต่าง ๆ นั้น เธอเลือกขนมาจากบ้านเฉพาะที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน และสามารถเข้ากันได้กับสภาพบ้านเท่านั้น แล้วถัดไปก็จะเป็นครัวที่มีข้าวของเท่าที่จำเป็นที่ต้องใช้เช่นกัน

ด้านบนก็จะเป็นไม้ทั้งหมด มีห้องอยู่สามห้อง ระพีพรรณจะใช้แค่ห้องเดียว ส่วนโป่งและกำพลนั้นจะนอนข้างล่างเพื่อความสะดวกของกำพลและโป่งเอง ซึ่งตอนนี้มีสุขภาพที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงสักเท่าไหร่ ซึ่งโป่งไม่เคยเปิดปากบอกให้ใครรับรู้ แต่ระพีพรรณเองก็สังเกตเห็นได้ เพราะโป่งจะเผลอตัวบ่นปวดหัวเป็นประจำ

ระพีพรรณเดินดูพืชสวนโดยรอบ อากาศยามเช้าที่บ้านสวนนั้นทำให้เธอลืมเรื่องร้าย ๆ ได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น พอคิดถึงเรื่องภาระหน้าที่ ที่จะต้องรับผิดชอบต่อคนในครอบครัวก็ทำให้เธออดกังวลไม่ได้ หญิงสาวเผลอเอามือไปลูบท้องด้วยความเคยชิน และรู้สึกเจ็บเข้าไปลึก ๆ ที่หน้าอกเมื่อความใจเผลอไปคิดถึงใบหน้าของผู้เป็นพ่อของลูก

น้ำตาแห่งความอ่อนแอมันไหลออกมาอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อคืนน้ำตาของเธอเพิ่งจะเหือดแห้งไป เขาช่างใจร้ายเหลือเกินในความรู้สึกของเธอ แต่เมื่อเปรียบกับการกระทำของพ่อและพี่ชายไปแล้ว มันก็ทำให้เธอคลายความขัดเคืองที่มีต่อเขาไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยากเหลือเกินที่จะทำใจให้เข้าใจเขาได้ทั้งหมด

แต่ไม่ว่าเธอจะคิดยังไงกับเขา มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อทั้งเขาและเธอต่างก็เหมือนอยู่กันคนละโลก หญิงสาวสลัดความคิดเรื่องเขาทิ้งไป โดยการหันมาให้ความสนใจกับดอกแคที่ออกดอกเต็มต้น ที่สูงแค่หัวไหล่ทำให้เธอเก็บดอกได้ไม่ยากนัก เธอตั้งใจจะแกงส้มดอกแคสำหรับอาหารมื้อสาย ๆ ของครอบครัว เธอเลือกที่จะทำอาหารเป็นแกงหม้อใหญ่เอาไว้แทบทุกวัน

เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ในระดับหนึ่ง ถึงแม้เธอจะได้งานที่ตรงกับตัวเองเรียนมา นั่นก็คืออินทรีเรี่ยดีไซด์ที่บริษัทของโสภา ซึ่งก็มีรายได้ดีไม่น้อย แต่เธอก็จะไม่ประมาทกับการใช้ชีวิต เพราะจะต้องเก็บเงินสำรองเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายของทายาทตัวน้อย ๆ ที่จะเกิดมาในสี่ห้าเดือนข้างหน้านี้
ดอกแคและตำลึงเกือบเต็มตะกร้าหวาย หญิงสาวค่อย ๆ เดินออกมาจากสวนครัวซึ่งจะอยู่ด้านหลังของบ้าน เธอมองเข้าไปในบ้านแต่ก็ไม่พบพ่อและลุงโป่ง ยิ้มบาง ๆ ปรากฎบนใบหน้าเธอ เพราะคิดว่าทั้งสองก็คงจะเข้าสวนช่วยกันเก็บมะม่วงนั่นเอง

ระพีพรรณต้องการให้พ่อมีส่วนร่วมในการดำเนินชีวิตมากขึ้น จึงจัดหาอิฐตัวหนอนมาปูเป็นทางเล็ก ๆ จากตัวบ้านทอดเข้าไปในสวน เพื่อให้รถเข็นของพ่อสามารถเข้าไปได้อย่างสะดวก ถึงแม้จะไม่ได้ทำไว้ทั่วสวนแต่ก็จัดทำไว้ในที่ ๆ สามารถเข้าไปในสวนได้ โชคดีของเธอและทุกคนเหลือเกินที่มีบ้านหลังนี้เอาไว้รองรับยามที่แทบจะหาทางออกไม่ได้

ถึงแม้ว่าโป่งจะไม่ได้มาอยู่บ้านหลังนี้เป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ยังมีเปลวซึ่งเป็นพี่ชายคนถัดจากโป่งคอยดูแลบ้านและสวนเอาไว้ให้ ถึงฐานะของคนละแวกนี้จะไม่สู้ดีนัก เพราะส่วนใหญ่จะทำอาชีพเป็นชาวสวนกันทั้งนั้น และพืชสวนก็ได้ราคาบ้างไม่ได้บ้าง แต่เรื่องน้ำใจแล้วคนแถวนี้มีให้เพื่อนบ้านใหม่อย่างเธอจนล้นเปี่ยมเลยทีเดียว สังเกตได้จากไมตรีจิตของเพื่อนบ้านที่แสดงออกผ่านผ่านแกงต่าง ๆ ผลัดกันเอามาฝากเธอและคนที่บ้านไม่ขาดสาย มันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นไม่น้อยที่ได้มาอยู่ที่นี่

หรืออาจจะเป็นเพราะคนแถวนี้รู้จักเปลวและโป่งก็เป็นได้ แต่ก็มีสวนบางสวนที่เธอรู้มาว่าถูกชาวต่างชาติหรือพวกนายทุนมากวาดซื้อเอาไว้เกร็งกำไร เหมือนที่ข้าง ๆ บ้านสวนของเธอที่มีแค่คลองน้ำเล็ก ๆ ที่ถูกขุดเอาไว้ใช้น้ำเพื่อรดพืชสวนก็ถูกกวาดซื้อแล้วเหมือนกัน เพราะโป่งเพิ่งจะบอกเธอว่ามีคนมาซื้อไปหลังจากที่เธอย้ายมาอยู่ได้ไม่นาน ซึ่งเจ้าของขายยกหมดแปลงพร้อมบ้าน

เพราะเจ้าของเป็นสองตายายที่อายุมากแล้ว และต้องย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดกับลูกสาว แต่ก็ยังมีพืชสวนที่สองตายายปลูกทิ้งไว้เต็มเนื้อที่ ๆ มีเกือบสิบไร่ ส่วนคนที่มาซื้อใหม่ก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร นอกจากจะมาอาศัยนอนบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรกับสวนนอกจากจะปล่อยให้ร้าง

คิด ๆ แล้วน่าเสียดายที่ของกินได้กลับปล่อยให้เสียเปล่า แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องของคนมีเงินที่พึงจะทำกัน ซึ่งระพีพรรณไม่ได้ถือมาเป็นสาระสำคัญอะไรมาก เพราะอย่างน้อย ๆ เธอก็รู้สึกซาบซึ้งกับสิ่งที่ได้รับจากเพื่อนบ้านรายอื่น ถึงแม้ว่ามันจะไม่มากมายแต่มันก็มีคุณค่าทางจิคใจไม่น้อย หากย้อนเวลาได้ เธอจะขอเลือกที่จะย้ายมาอยู่ที่นี่ แทนที่จะไปทนลำบากเอาตัวเองไปไถ่หนี้สิน มันคงจะไม่สร้างความเจ็บช้ำให้เธอกับพ่อได้มากเพียงนี้ แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิดที่มันเป็นเรื่องอดีตที่จะย้อนคืนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อเธอเลือกทางผิดเธอก็จะก้มหน้ารับกับสิ่งที่ตามมา

“วันนี้คุณเพลงจะทำแกงอะไรคะ”
สมจิตลูกสาวคนกลางของเปลวที่ระพีพรรณจ้างให้มาคอยทำความสะอาดบ้านและดูแล้วความเรียบร้อยต่าง ๆ ภายในบ้าน เพราะเธอต้องออกไปทำงานที่ออฟฟิศอาทิตย์ละไม่น้อยกว่าสี่หรือห้าวัน จึงให้สมจิตคอยช่วยเหลืองาน
“วันนี้เพลงจะทำแกงส้มค่ะ แล้วก็จะผัดผักตำลึงใส่หมูสับด้วย พี่จิตถืออะไรมาคะ”
เธอถามเมื่อเห็นตะกร้าหวายในมือสมจิต
“อ๋อ...พี่เอาแกงบอนมาให้ค่ะ เมื่อวานขากลับบ้าน พี่ไปตัดเอาบอนของที่บ้านโน้นไปด้วยค่ะ ตอนเช้าก็เลยทำให้คุณพ่อไปตักบาตรเลยตักมาเผื่อ พ่อบอกว่าอาโป่งชอบมากค่ะ” สมจิตบอก

“ขอบคุณค่ะ แล้วพี่จิตไปตัดเอาของเขา เจ้าของเขาไม่ว่าเหรอคะ ตั้งแต่เพลงย้ายมายังไม่เคยเห็นเจ้าของเลยค่ะ”
เธอถามด้วยความสงสัย กับเพื่อนบ้านที่มีแค่คลองน้ำเล็ก ๆ กั้นเอาไว้ แต่เธอก็ไม่ค่อยจะเห็นเจ้าของออกมาเสวนาพาทีกับใครเท่าไหร่นัก
“โอย...จะมาว่าทำไมคะ แถวนี้เขาก็ขอกันกินทั้งนั้น ของบ้านนี้มีเยอะแยะเลยค่ะ คนมาซื้อก็ไม่ค่อยจะเอาไปทำอะไร ดูสิคะมะม่วงก็ปล่อยเอาไว้ เสียดายถ้าเป็นของพี่นะ จะเก็บขายไปแล้วล่ะคงได้หลายเงิน แต่อย่างว่าล่ะนะ คนมีเงินคงไม่สนใจกับเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้หรอก” สมจิตระบายออกมา

“แล้วทำไมเขาไม่เก็บขายล่ะคะ หรือว่าเขาจะไม่อยู่” ระพีพรรณถามแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรสักเท่าไหร่
“ก็อยู่นะคะพี่เห็นรถจอดอยู่ แต่มาแล้วก็จะหมกอยู่แต่ข้างในบ้านค่ะ สงสัยคงจะเป็นคนงานมาเฝ้าให้เจ้าของอีกทีมั้งคะ เพราะเมื่อวันก่อนพี่เห็นรถอีกคัน ใหม่เอี่ยมขับเข้าไปแต่มันก็ดึกแล้วพี่ก็เลยไม่ได้สนใจ นี่ถ้าพี่มีเงินนะ จะซื้อไว้เองเลยนะที่ผืนนั้นน่ะ” สมจิตบ่นต่อ
“อย่าอยากมีมาก ๆ เลยค่ะพี่จิต มีแล้วก็เท่านั้น เอาเท่าที่เรามีก็พอแล้วล่ะค่ะ” เธอบอกตามที่คิดจริง ๆ

“พี่ก็ว่าอย่างนั้นล่ะคะ ตามคำในหลวงท่านนะคะ เศรษฐกิจพอเพียง พอกิน พอใช้ เฮ้อ...ไม่เอาแล้ว ไปทำงานดีกว่าค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวตอนกลับบ้าน พี่จิตก็ตักแกงส้มกลับไปกินที่บ้านด้วยนะคะ เพลงจะทำหม้อใหญ่ค่ะ”
เธอบอกสมจิตแล้วตัวเองก็เดินไปนั่งที่แคร่ไม้ที่ตั้งไว้หน้าบ้าน แล้วก็จัดแจงเด็ดไส้ดอกแคออก

“ค่ะคุณเพลง งั้นพี่ไปทำงานก่อนนะคะ”
สมจิตบอกแล้วก็เดินเข้าไปในบ้าน โดยมีระพีพรรณยิ้มให้บาง ๆ ไม่นานเธอก็ยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ ที่เห็นรถของโสภาขับเข้ามาในบริเวณบ้าน ที่จะเปิดประตูรั้วที่เป็นแค่ไม้ไผ่ที่ผ่าเป็นซี่ยาว ๆ แล้วก็ยึดด้วยตะปูกับไม้เนื้อแข็งทำเป็นแนวยาว ดูจะไม่ค่อยแข็งแรงนัก แต่ประสาบ้านนอกก็ไม่มีพิษภัยอะไรจากคนภายนอก ระพีพรรณรีบลุกขึ้นไปต้อนรับด้วยความเคยชิน เพราะถ้าหากว่าวันหยุดส่วนใหญ่โสภาและภคินก็จะมาเยี่ยมเธอและพ่อเป็นประจำ

“ทำไมวันนี้พี่โสภามาแต่เช้าคะ” เธอถามเพราะปกติโสภาจะมาช่วงบ่าย ๆ
“พอดีพี่จะมาดูบ้านลูกค้าแถวนี้ช่วงบ่ายก็เลยมาหาเพลงก่อน กะว่าจะชวนไปดูด้วย เพราะเพลงจะต้องออกแบบตกแต่งให้ลูกค้าด้วยเลยมาเร็ว วันนี้ทำอะไรเลี้ยงพี่เอ่ย”
โสภาลงมาจากรถแล้วก็ทักทายเพื่อนต่างวัยด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ยิ่งนับวันโสภายิ่งรู้สึกดีเหลือเกิน ที่ได้ระพีพรรณเป็นเพื่อน ถึงแม้ช่วงนี้โสภาจะเป็นคนคอยช่วยเหลือเธอในเรื่องต่าง ๆ แต่โสภาก็ยินดีที่จะได้ช่วย แล้วงานที่ระพีพรรณทำส่งลูกค้าแต่ละรายนั้น ก็ไม่ได้ทำให้เธอผิดหวังเลย เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะชอบทั้งนั้น

“วันนี้จะทำแกงส้มกับผัดตำลึงหมูค่ะ” เธอบอกพร้อมกับยิ้มให้
“พี่โสภาเข้าบ้านเถอะค่ะ” เธอเชื้อเชิญตามมารยาท
“แล้วคุณลุงไปไหนล่ะ” โสภาถาม
“สงสัยจะเข้าสวนกับลุงโป่งค่ะ เห็นเมื่อวานบอกเพลงว่ามะม่วงในสวนโตพอดีเก็บแล้ว” เธอบอก
“คุณลุงนี่ขยันจังเลยนะ”
“เพลงอยากให้คุณพ่อคลายกังวลบ้างค่ะ ได้ทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ดีเหมือนกัน”
เธอบอกขณะที่ตัวเองกลับมานั่งที่แคร่โดยมีโสภาเดินตามมาและนั่งลงข้าง ๆ พร้อม ๆ กับช่วยเด็ดไส้ดอกแคไปด้วย

“พี่ว่าเพลงน่าจะใส่ชุดคลุมได้แล้วนะ ท้องเริ่มจะมองเห็นแล้ว”
โสภาออกความคิด เมื่อสังเกตเห็นว่าร่างกายเพื่อนเริ่มจะมีเนื้อมีนวลขึ้น
“เพลงไม่ค่อยอยากใส่ค่ะ เวลาไปพบลูกค้ากลัวเขาจะไม่มั่นใจ” เธอบอกตามความจริง
“โธ่เพลง เราท้องนะไม่ได้ไปฆ่าใครมา จะได้มากลัวเรา ดีซะอีกเขายิ่งจะเห็นใจเรา และรีบ ๆ ให้งานเราผ่านเร็ว ๆ ด้วยซ้ำ”
โสภาแย้งแล้วก็ยิ้มให้
“เอาไว้สักพักก่อนก็แล้วกันค่ะพี่โสภา ตอนนี้ก็ใส่กางเกงหรือกระโปรงเอวยืดไปก่อนก็ได้” เธอบอก
“อื่ม...ท้องแรกยังไม่ค่อยโตเท่าไหร่ นี่ก็สี่เดือนกว่า ๆ แล้วสิใช่ไหมเพลง”
“ค่ะ” เธอรับคำแค่นั้น

“เอ่อ...เพลงพี่ลืมบอกเพลงไป เมื่อวานเย็น ๆ นะ อีตาพิสิทธิ์โทรมากวนพี่อีกแล้วล่ะ”
โสภาบอกด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้มีอคติมากเท่าไหร่กับคนที่ถูกพูดถึง
“แล้วพี่โสภาทำยังไงคะ” ระพีพรรณถามพลางในมือก็เด็ดดอกแคไปด้วย
“พี่ก็ไม่พูดด้วยหนะสิ เรื่องอะไรจะพูดด้วย คนอะไรรู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนตัวเองเป็นคนก่อเรื่อง แล้วยังมาบอกเราว่าไม่มีหลักฐานอีก คอยดูนะ พี่จะไม่พูดด้วยตลอดไปเลย” โสภาอดที่จะโกรธไม่ได้

“พี่โสภาคะ อย่าทำอย่างนั้นเลยค่ะ สงสารคุณพิสิทธิ์แก เพลงว่าเอาไว้ให้เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลไปก็แล้วกันนะคะ คุณพิสิทธิ์เป็นคนดีค่ะ เขาไม่เคยทำอะไรให้เพลงไม่พอใจเลย ตรงกันข้ามกลับเป็นเพื่อนที่ดีกับเพลงตลอด พี่โสภายกโทษให้แกเถอะนะคะ” ระพีพรรณขอร้อง
“ยังก่อนเพลง พี่จะแกล้งเอาไว้นาน ๆ ก่อน เอ่อ...แล้วยังถามพี่ด้วยนะ ว่าเพลงย้ายไปอยู่ที่ไหน พี่ไม่ยอมบอกหรอก เดี๋ยวจะเอาไปบอกนายดำใจร้ายให้มาแกล้งเพลงอีก คราวนี้พี่ไม่ยอมจริง ๆ ด้วย เพลงไม่ต้องห้ามพี่นะ” โสภาบอก

“ขอบคุณค่ะที่หวังดีกับเพลง แต่เพลงว่าเขาคงจะไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้แล้วมั้งคะ เราต่างคนก็ต่างอยู่แล้ว”
น้ำเสียงที่พูดออกมาทำให้โสภารับรู้ได้ถึงความสะเทือนใจที่ระพีพรรณมี
“พี่ว่าเราเลิกพูดถึงสองคนนี้เถอะ โน่นแหนะคุณลุงมาแล้ว”
โสภารีบตัดบท เพื่อไม่ให้ระพีพรรณต้องสะเทือนใจไปมากกว่านี้ แล้วรีบลุกไปช่วยรับกระเช้ามะม่วงที่กำพลเอาวางไว้ที่ตักขณะที่เข็นรถออกมาตามทาง โดยมีโป่งที่เข็นรถที่เต็มไปด้วยเข่งมะม่วงและผลไม้อื่น ๆ ตามหลังมา
“คุณลุงสวัสดีค่ะ”

“วันนี้ทำไมหนูโสภามาเช้าจังลูก ปกติลุงเห็นจะมาบ่าย ๆ ไม่ใช่เหรอ เอ่อ...นี่ตอนกลับเอาผลไม้ไปกินด้วยนะลูก เต็มไปหมดเลย” กำพลบอกด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“ขอบคุณค่ะคุณลุง โอ้โห เยอะแยะเลย สงสัยวันนี้จะขายได้หลายร้อยนะคะ” โสภาร้องทักเมื่อเห็นผลไม้เต็มรถ
“ยังไม่หมดครับคุณโสภา เดี๋ยวลุงจะไปขนมาอีกสามเข่งแหนะ” โป่งบอกขณะที่ยกเข่งผลไม้ลงจากรถ
“เหรอคะ ดีจริง ๆ เลยค่ะ”
“งั้นลุงไปก่อนนะครับ เจ้าจ้อนมันรออยู่ในสวน”
โป่งพูดถึงลูกคนเล็กของสมจิตที่มีอายุสิบกว่าขวบ ที่พอวันหยุดจะเข้ามาขลุกอยู่กับเขาและกำพลเป็นประจำ แล้วเขาก็เข็นรถเปล่ากลับไปทางเดิมที่ออกมา

“คุณพ่อหิวหรือยังคะ เพลงจะหาอะไรให้กินก่อนค่ะ” ระพีพรรณถามเขาด้วยความอาทร
“ยังหรอกลูก พ่อจะรอแกงส้มของเราไง ไหนเห็นบอกไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะทำให้พ่อกิน” กำพลทวงลูกสาว
“นี่ไงคะดอกแค งั้นคุณพ่อคุยกับพี่โสภาไปพลาง ๆ ก่อนนะคะ เพลงจะเข้าครัวก่อน”
เธอบอกแล้วก็รีบหิ้วตะกร้าที่มีดอกแคที่เด็ดไส้แล้ว พร้อมกับตำลึงเดินเข้าครัวไป
“ดูคุณลุงจะสบายใจขึ้นมากนะคะ” โสภาบอก ขณะที่ช่วยเข็นรถกำพลให้เข้ามาใกล้ ๆ แคร่

“ลุงไม่รู้ว่าจะกลุ้มใจไปทำไม ยิ่งลุงกลุ้มใจก็ยิ่งจะทำให้ยายเพลงพลอยไม่สบายใจไปด้วย ลุงสงสารยายเพลงหนะหนูโสภา ดูสิกำลังท้อง กำลังไส้แต่ก็ต้องมารับภาระหาเลี้ยงคนแก่ตั้งสองคน แล้วไหนจะเจ้าพีอีก ไม่รวมกับหลานที่จะเกิดมาด้วยนะ อะไรที่ลุงจะแบ่งเบาภาระยายเพลงได้ ลุงก็อยากจะทำ”
กำพลบอกโสภาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสดใสสักเท่าไหร่เมื่อนึกถึงความลำบากที่ลูกสาวจะต้องพบ
“แค่นี้คุณลุงก็ช่วยยายเพลงได้มากแล้วล่ะค่ะ ยายเพลงรักและห่วงคุณลุงมาก ไปทำงานที่ออฟฟิศก็รีบทำนะคะ บอกว่าจะรีบกลับบ้าน ไม่อยากให้คุณลุงเป็นห่วง” โสภาบอกเพราะระพีพรรณมักจะบอกเธอเป็นประจำตั้งแต่ได้ทำงานร่วมกันมา

“ลุงก็ห่วงเขาไม่อยากให้ขับรถดึก ๆ กว่าจะกลับถึงบ้านก็ใช้เวลาพอสมควร ยิ่งไม่ใช่คนตัวเปล่าแล้วด้วย”
กำพลอดห่วงไม่ได้
“แต่หนูว่าอีกหน่อยคงจะไม่ให้ยายเพลงไปทำประจำที่ออฟฟิศแล้วล่ะคะ ท้องเริ่มจะโตแล้ว คงจะให้เอางานมาทำที่นี่ จะให้คนคอยมารับและส่งงานให้ดีกว่า เอาไว้จำเป็นจริง ๆ ค่อยไป” โสภาเสนอ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิหนูโสภา ลุงห่วงยายเพลงมากเลย” กำพลยิ้มออกบ้างเมื่อได้ยินสิ่งที่โสภาบอก
“ได้สิคะคุณลุง ยายเพลงน่ะทำงานไปได้เรื่อย ๆ จนถึงวันคลอดเลยนะคะ โดยที่ไม่ต้องออกไปไหนเลยด้วยซ้ำ”
โสภาบอก

“ลุงต้องขอบคุณหนูมาก ๆ นะลูก ยายเพลงโชคดีมาก ๆ เลยนะ ที่มีหนูเป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือ ถ้าเราไม่ได้หนูพวกเราก็คงจะแย่เหมือนกัน”

กำพลบอกด้วยความปลาบปลื้มใจในความเอื้ออาทรของโสภาที่มีต่อเขาและลูก ทำให้หวนคิดไปถึงการกระทำของตัวเองสมัยก่อน เขาละเลยเรื่องน้ำใจไมตรีกับผู้ที่ตกยากไปบ่อยครั้งเหมือนกัน หรือบางทีอาจจะดูเหมือนใจดำด้วยซ้ำ แต่เพื่อนผู้อาทรของลูกก็เหมือนทำให้เขาต้องรับกรรมจากการกระทำของตัวเองทางอ้อม

นี่ถ้าเขารู้จักปล่อยวาง ละความโลภ โกรธ หลง ได้ เขาก็คงจะไม่ต้องเป็นแบบนี้ ถ้าหากเขาย้อนเวลาได้ เขาอยากจะกลับไปแก้ไขในสิ่งต่าง ๆ ที่เขาทำไว้เหลือเกิน แต่มันก็ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็คือ ก้มหน้ารับกับผลกรรมด้วยความเข้มแข็งนั่นเอง

“โธ่...คุณลุงอย่าพูดแบบนี้เลยค่ะ หนูบอกตั้งกี่ครั้งแล้ว ว่าแค่นี้มันยังน้อยไปมาก ถ้าเทียบกับเรื่องที่เพลงเคยช่วยหนูสมัยที่เราอยู่เมืองนอกด้วยกัน ถ้าไม่มีเพลงวันนั้นก็ไม่มีหนูวันนี้หรอกค่ะคุณลุง เอาเป็นว่าเราต่างคนต่างพาพึ่งซึ่งกันและกันดีกว่านะคะ” โสภาบอกเขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“ขอบคุณหนูมาก ๆ เลย งั้นลุงขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ ช่วยเจ้าโป่งเก็บมะม่วงจนยางมะม่วงเปื้อนหมดแล้วล่ะ ตามสบายนะลูก” กำพลบอก
“ค่ะ งั้นหนูช่วยนะคะ” โสภารับคำแล้วก็รีบช่วยเข็นรถกำพลเข้าบ้านไป



บรรยากาศในยามบ่ายคล้อยของเรือนมะลิยังคงเงียบเชียบเหมือนเคยในความรู้สึกของผู้ที่สาวท้าวเข้ามาด้วยท่าทีที่รีบร้อนไม่น้อย และก็ไม่แพ้กับอีกคนที่ใบหน้านั้นจะนวลผ่องแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ว่าได้ ที่เดินหรือแทบจะเรียกได้ว่ากึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อที่จะตามมาให้ทันกับร่างสูงใหญ่ที่ดูจะไม่ได้สนใจจะรอผู้ที่ตามมาด้วยซ้ำ ว่าในมือของนิตยาจะถือถาดยาของลัดดามาด้วย เพราะความรีบร้อน

“เข้ามาสิลูก”
ลัดดาบอกหลังจากที่เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น แล้วแตนก็เดินไปเปิดประตู เขาเหลือบมองมารดาที่อยู่ในท่านั่งเอาหลังพิงหัวเตียงไว้ เหมือนกำลังรอคอยการมาของเขาอย่างใจจดใจจ่อ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันทันที ที่เห็นสีหน้าของมารดาไม่ได้บ่งบอกว่าป่วยขนาดหนักเหมือนที่นิตยาโทรไปบอกเขาเลย
“คุณแม่เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ จะให้ผมโทรตามพี่เด่นมาด้วยหรือเปล่า”
เขาทรุดตัวลงนั่งบนเตียงแล้วเอื้อมมือไปจับมือมารดาเอาไว้ แต่มารดาก็ตัวรุม ๆ เมื่อเขาได้สัมผัส

“ไม่ต้องหรอก แม่ไม่เป็นอะไรมากแล้ว” ลัดดาบอกแค่นั้น
“คุณป้าจะรับของว่างเลยหรือเปล่าคะ” นิตยาที่เพิ่งจะวางถาดในมือไว้ที่โต๊ะหัวเตียง
“เอาวางไว้ตรงนั้นล่ะแม่นิดขอบใจมาก ฉันจะคุยกับพ่อดำตามลำพังจะไปทำอะไรกันก็ไปเถอะทั้งสองคน” ลัดดาบอก
“แล้วคุณป้าจะกินข้าวเย็นที่บ้านใหญ่ หรือที่นี่หรือจะที่เรือนกุหลาบคะ” นิตยายังยืดเวลาที่จะได้อยู่ใกล้ ๆ อีกคน

“เอาไว้ก่อนแล้วฉันจะโทรไปบอก ไปได้แล้วล่ะ ล็อคประตูด้วย” ลัดดาตัดบทเพราะรู้จุดมุ่งหมายของหลานสาว
จนนิตยาต้องละความพยายามเพราะรู้ว่าไม่เป็นผล จึงได้แต่พยักหน้ากับแตนแล้วก็เดินออกไปนอกห้องด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวที่เก็บซ่อนเอาไว้ภายใน
“คุณแม่มีอะไรครับ”
เขาถามมารดาออกไปอย่างนั้นเมื่อส่วนเกินทั้งสองพ้นห้องไปแล้ว แต่เขาก็เดาทางมารดาได้ว่าต้องการจะคุยกับเขาเรื่องอะไร
“แม่จะถามดำเรื่องแม่เพลงน่ะลูก”
ลัดดาต้องใช้ไม้อ่อนกับลูกคนเล็ก เพราะรู้ว่าเรื่องที่จะคุยนั้นจะทำให้เขาหงุดหงิดได้ง่าย ๆ

“แม่ไม่รู้ว่าเรื่องวันนั้นตกลงเรื่องจริง ๆ มันเป็นยังไง แม่ก็เลยจะถามดำอีกครั้ง” เธอเอ่ยต่อเมื่อลูกชายมีอาการเงียบ
“แล้วคุณแม่เชื่อใครล่ะครับ ระหว่างแม่นั่นกับผม” เขายังคงพูดแบบมีปม

“แม่ก็ต้องเชื่อลูกแม่สิจ๊ะ แต่แม่ก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าแม่เพลงจะ...เอ่อ...ท้องกับใคร เพราะแม่เพลงแทบจะไม่ได้ไปไหนมาไหนเลยนะลูก แล้วอีกอย่างเรื่องที่เพื่อนแม่เพลงบอกว่าลูกให้แม่เพลงลาไปดูพ่อ มันก็ตรงกับช่วงที่ลูกไม่อยู่บ้าน แล้วไหนจะเรื่องที่จู่ ๆ ให้แม่นิดไปดูแลงานให้ แล้วให้แม่เพลงขึ้นมานอนบนบ้านใหญ่อีกล่ะลูก แม่ก็เลยคิดว่า...เอ่อ...”ลัดดาหยุดไว้แค่นั้น

“ก็เลยคิดว่าผมเป็นคนทำให้ระพีพรรณท้องอย่างนั้นเหรอครับแม่”
เขาดักทางมารดาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปกตินักจนอีกฝ่ายถึงกับพูดไม่ออก
“ทำไมคุณแม่คิดอย่างนั้นครับ อะไรที่ทำให้คุณแม่ใจอ่อนกับพวกนั้น คุณแม่ลืมแล้วเหรอครับว่าพวกเราต้องเผชิญอะไรบ้างจากการกระทำของไอ้กำพล” เขาเริ่มอารมณ์ไม่ปกติเมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
“แม่ไม่ได้ลืม แต่แม่แค่...เอ่อ...”

“คุณแม่แค่ไม่เชื่อใจผมเท่านั้น ใช่หรือเปล่าครับ ถ้าเป็นคนอื่นคิดแบบนี้กับผม ผมจะไม่เสียใจเลยนะครับแต่นี่เป็นคุณแม่ ใครจะคิดยังไง จะใจอ่อนเห็นใจฝ่ายโน้นยังไงก็ช่าง แต่สำหรับผมแล้ว ผมจะไม่มีวันลืมเด็ดขาดว่าผมลำบากมากแค่ไหนจากการกระทำของไอ้กำพล แม่ก็รู้ว่ากว่าที่ผมจะดิ้นรนจนฐานะเรามีมาได้ขนาดนี้ มันยากลำบากแค่ไหน ทุก ๆ ครั้งที่ผมท้อถอยขึ้นมา พอคิดถึงว่าสักวันจะต้องตามไปเอาคืนกับไอ้กำพลให้ได้แล้ว มันก็ทำให้ผมฮึดสู้ขึ้นมา ถึงแม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อย ยากแสนยากก็ตาม แต่พอผมมีโอกาสได้เอาคืนแล้ว คุณแม่กลับไม่เชื่อใจผม” เขารู้ว่าจะต้องหาเหตุมาลบล้างความคิดของมารดา

“เอาล่ะ ๆ ดำ แม่ไม่ได้คิดแบบนั้นหรอกลูก แม่แค่ถามเพื่อความแน่ใจ ถ้าไม่มีอะไรก็แล้วไปนะลูก”
ลัดดาล้มเลิกความคิดที่จะไตร่ถามต่อ เพราะเห็นอารมณ์ของลูกชายแล้ว คงจะไม่ใช่เวลาที่ดี ที่จะคาดคั้นในตอนนี้ และเธอก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูดมา เพราะมันคงไม่ง่ายนักสำหรับลูกชายที่กว่าจะสร้างฐานะให้ร่ำรวยขึ้นมาได้มากขนาดนี้ ถึงแม้ว่าลัดดาจะรับรู้ความก้าวหน้าของลูกชายแทบจะตลอด แต่ก็แค่จากการบอกเล่าคร่าว ๆ ของเขาและพิสิทธิ์เท่านั้น ส่วนลายละเอียดนั้นลัดดาก็พอจะเข้าใจว่าลูกชายจะต้องทุลักทุเลและล้มลุกคลุกคลานไม่น้อย

“แม่ว่าดำไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะลูก แล้วถ้าดำไม่ไปไหนก็มาหาแม่ที่เรือนกุหลาบ ป่านนี้ยายดาคงจะตื่นแล้วล่ะ”
ลัดดาลดความตึงเครียดลง
“ครับ” เขารับคำแค่นั้น แล้วก็ออกจากห้องไป
“เอ่อ...พอดีนิดจะเอาของว่างมาให้คุณดำค่ะ จะรับที่นี่เลยหรือจะให้นิดเอากลับไปที่บ้านใหญ่คะ”
นิตยารีบบอกเมื่อเขาเปิดประตูห้องออกมาก็พบว่ามีใครยืนอยู่ใกล้ ๆ ประตู
“เอาไปไว้ที่เรือนกุหลาบก็แล้วกัน”
เขาบอกแค่นั้นแล้วก็เดินจากไป ทำให้นิตยาหายใจเข้าท้องได้อย่างสะดวกกว่าครั้งไหน ๆ ที่ได้เจอหน้าเขา

“อะไรน้านิด”
แตนถามด้วยความงงที่จู่ ๆ ผู้เป็นน้าก็แย่งเอาถาดของว่างไปถือเมื่อสักครู่ก่อนที่ดำจะออกมา แล้วก็ส่งกลับให้หลานเมื่อดำจากไป
“เอาไปไว้เรือนกุหลาบตามที่คุณดำบอกสิ ยื่นเซ่ออยู่ได้”
นิตยาบอกแล้วก็เดินออกจากเรือนมะลิ โดยไม่สนใจสายตาของหลานที่มองตามแล้วก็ส่ายหน้าไปมาด้วยความระอาในตัวน้าสาว


นิตยามาทันได้เห็นประตูห้องของผู้ชายที่เธอเฝ้าหลงรักมานานหลายปีปิดเสียงดังปัง บ่งบอกให้รู้ว่าภาวะอารมณ์เขาไม่ปกติ แทนการที่จะเข้าไปถามโน่นถามนี่นิตยาเปลี่ยนใจเดินเข้าห้องตัวเองอย่างเสียไม่ได้ สีหน้าที่เริ่มจะมีมันออกมาแต่ไม่มากนักเมื่อเธอส่องดูหน้าตัวเองในกระจก และนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ที่เต็มไปด้วยกระปุกครีมต่าง ๆ

“แม่เพลงท้อง” นิตยาทวนคำพูดผู้เป็นป้าที่ได้ยินเต็มสองรูหู
“แล้วจะท้องได้ยังไง กับใคร เมื่อไหร่ แล้วทำไมคุณป้าถึงมาคาดคั้นเอากับคุณดำ หรือว่าที่คุณป้าคิดมันจะจริง”

นิตยาพยายามประติดประต่อเรื่องที่ได้ยินมาและเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นภายในบ้านที่ป้ากับดนุพร จงใจจะปิดบังเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ แล้วไหนจะเรื่องแม่ของดอนที่นิตยาพยายามจะหาคำตอบมานานแล้วว่าใครคือแม่ของเด็กชาย แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่ได้คำตอบให้ตัวเองเลย

แล้วจู่ ๆ ลูกชายคนโตของป้าเธอก็โผล่มาในบ้านทั้ง ๆ ที่นิตยาไม่เคยได้ยินป้าจะเอ่ยถึงเลยว่ามีลูกชายอีกคน ถึงแม้นิตยาจะสงสัยอยู่ไม่น้อยว่ารูปในห้องของผู้เป็นป้านั้นคือใคร นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ดรุณีที่สติสตังที่ไม่สม

ประกอบอีก มันเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนี้ ยิ่งคิดยิ่งทำให้นิตยาอยากรู้เหลือเกิน แต่ก็ต้องหยุดความคิดเอาไว้แค่นั้น เพราะเหลือบไปมองนาฬิกาก็พบว่าใกล้เวลาที่เธอจะต้องลงไปตรวจความเรียบร้อยเรื่องอาหารแล้ว เธอรีบลุกคว้าเอาผ้าเช็ดตัวเดินไปเข้าห้องน้ำเพราะอยากให้ตัวเองดูสดชื่นอยู่เสมอ







 

Create Date : 10 ตุลาคม 2551
3 comments
Last Update : 10 ตุลาคม 2551 10:43:28 น.
Counter : 758 Pageviews.

 

ยายนิตยานี้
วันวันทามเปนเเต่เเต่งตัวจิง

อ้อ นักสืบอีกตำเเหน่งนึง
ชิชิ

นายดำก้อีกคน นี้ก้อทามตัวเปนเงาโกดๆ
สุ้คุนคินก้อม่ะด้าย

ชอบเเต่คราวที่เเล้วๆๆ
อิอิ

รักฝังใจ

 

โดย: ออย IP: 222.123.217.82 10 ตุลาคม 2551 20:43:46 น.  

 

เรื่องนี้ตอนที่นายดำต้องง้อนางเอกเนี่ย จะง้อยากหรือง่ายกว่าพี่ปลายคะ? ตอนที่ปลายง้อน้องขิมโดนไปเยอะแล้วเรื่องนี้ล่ะ อิอิ จิงๆแล้วก็เริ่มจะเห็นใจนายดำอยู่เหมือนกัน แต่สมควรละพวกทิฐิมากปากกับใจไม่ตรงกันก็ต้องโดนยังงี้ล่ะ แล้วใช่นายดำป่าวคะที่อยู่ข้างบ้านนางเอกอ่ะ งี้เท่ากับนายดำเป็นถ้ำมองด้วยอ่ะดิ เหะๆๆ แล้วลุงโป่งจะรอดมั๊ย สงสารจังเลย คนเขียนอย่าให้คนแก่ตายเลยนะ สงสัยหลายเรื่องเลยถามให้หมดค่าาา 555

 

โดย: Dozaemon IP: 212.30.211.225 11 ตุลาคม 2551 4:17:22 น.  

 

ปกตินิยายของคนเขียน ไม่เคยจะให้ตัวละครสำคัญ ๆ ตายนะคะ เพราะทำใจไม่ได้เหมือนกันค่ะ

ดังนั้นเรื่องลุงโป่งนี้ สบายใจได้ค่ะ

คุณออยขา เปลี่ยนแนวบ้างก็ดีนะคะ ดิฉันไม่อยากจะให้น้องเพื่อนอย่างภคิน มาชอบเพลงอีกคนค่ะ
มันดูว่าเพลงจะเสน่ห์แรงเกินไป ใคร ๆ ก็มารุมรัก

เอาให้เป็นแบบธรรมดา ๆ ดีกว่าน้อ

 

โดย: ธัญญะ 11 ตุลาคม 2551 12:40:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.