Group Blog
 
 
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
18 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
รอยอาญา ๔ (ธัญรัตน์)




ร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมสัน ผิวขาวสะอาด นั่งกับเก้าอี้ห้องทำงาน พร้อมทั้งเอาขาไขว้ห้างด้วยความสบายใจ เขามองไปหาเพื่อนที่ตั้งแต่ก้าวแรกที่มาถึงบ้านเขา ก็ก้มหน้าก้มตาอ่านสัญญาที่เขาเขียนขึ้น เพื่อจะให้กับลูกศัตรู
“แกจะไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอไอ้ดำ นี่มันสัญญาทาสชัด ๆ นะ อะไรกัน ใจคอแกจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ทางโน้นบ้างรึไง” พิสิทธิ์มีน้ำเสียงค่อนขอดเล็กน้อย หลังจากเข้าใจเนื้อความในสัญญาแล้ว
“ทำไมฉันจะต้องอ่อนข้อให้พวกมันด้วยล่ะ แกจำไม่ได้เหรอ ว่าตอนที่ฉันไม่มีกิน แล้วกระเสือกกระสนไปพึ่งใบบุญพ่อแกน่ะฉันอยู่ในสภาพไหน” เขาไม่วายจะต่อว่าเพื่อน
“ไอ้จำได้มันก็จำได้ แต่แกก็ไม่ได้สูญเสียอิสระภาพซะหน่อย แล้วนี่อะไร อาทิตย์หนึ่งอยู่บ้านแกตั้งหกวัน จะกลับไปหาพ่อก็ต้องรีบกลับมาให้ทันตีห้า สายนาทีเดียวก็เป็นอันว่าสัญญายกเลิก มันจะไม่โหดไปหน่อยเหรอ แล้วถ้าเกิดเขาไปไหน แล้วเกิดเหตุฉุกเฉินจนมาไม่ได้ หรือมาไม่ทัน หรือมีอุบัติเหตุจนทำให้มาไม่ได้ ไอ้ที่เขาทำงานกับแกมามันก็สูญเปล่าสิวะ”
เขาแย้งเพื่อน เพราะเห็นว่าสัญญาที่ทำนั้น ไม่ค่อยยุติธรรมสักเท่าไหร่
“ก็แล้วแต่เขาสิ กลัวจะมาไม่ทันก็ไม่ต้องกลับ แกอย่ามาว่าฉันนะ แกเป็นทนายของฉัน มีหน้าทีทำงานให้ฉัน ไม่ใช่ไปเห็นใจฝ่ายตรงข้าม” เขาไม่วายจะว่าเพื่อนกลับ แต่ก็ไม่จริงจังอะไรนัก แล้วพิสิทธิ์เองก็รู้ดี
“ไปได้แล้ว แม่นั่นมารอก่อนเวลาตั้งชั่วโมงหนึ่งแล้ว สงสัยกลัวจะมาสาย เลยเผื่อเวลาไว้ซะเยอะเลย”
เขาบอกแล้วก็เดินนำหน้าพิสิทธิ์ไป โดยไม่สนใจจะฟังคำติติงของเพื่อนแม้แต่น้อย จนพิสิทธิ์ต้องส่ายหน้าแล้วก็เดินตามเขาไปอย่างไม่มีทางเลือก
“ว่ายังไง ตกลงวันนี้เธอมีเงินมา หรือจะมาทำงาน”
เขาถามทันทีที่เข้ามาถึงห้องรับแขก ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็พอจะอ่านเกมส์ออกว่าไม่มีวันที่ระพีพรรณจะหาเงินมาคืนเขาได้เป็น แล้วเขาก็ทรุดตัวลงนั่ง และเอาขาไขว้ห้างอย่างไม่แยแสต่อสายตาโสภาที่มองมาที่เขาอย่างขุ่นเคือง
“ฉันจะมาทำงานค่ะ เตรียมข้าวของมาแล้ว และนี่ก็พยานของฉันค่ะ คุณโสภา”
เธอบอกเขาออกไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบ และไม่คิดอะไร เพราะเธอตั้งใจมาอย่างแน่วแน่แล้วว่า จะต้องอดทนให้มากที่สุด เพราะไม่เช่นนั้นเธอก็อาจจะทำภารกิจไม่สำเร็จ ดังที่ตั้งใจเอาไว้ก็ได้
แล้วเธอก็ให้สัญญากับตัวเองว่า ต่อให้เขาทำอะไรกับเธอมากแค่ไหน เธอก็จะไม่ถือโทษโกรธเคือง เพราะเธอเองก็เข้าใจเขาค่อนข้างมาก กับการกระทำของผู้เป็นบิดาและพี่ชาย ที่ทำต่อเขาและครอบครัว
“ดี...นี่ทนายของฉัน ชื่อพิสิทธิ์ เขาจะเป็นพยานให้ฉัน และเป็นทนายให้ครอบครัวฉันด้วย แล้วฉันกับเขาก็เปิดบริษัททนายด้วยกันด้วย ที่ฉันบอกเพื่อจะให้เธอรับรู้ว่าสัญญาที่ตกลงกันวันนี้ ไม่ได้ทำขึ้นมาแบบฉุ่ย ๆ แล้วเธออ่านร่างสัญญาเข้าใจดีทุกข้อแล้วใช่ไหม”
เขาแนะนำเพื่อน แต่ไม่ปล่อยช่องว่างให้พิสิทธิ์ได้กล่าวทักทายเธอเลย ส่วนเธอก็ได้แต่ยิ้มให้และก้มหนั้าให้กับพิสิทธิ์แค่นั้น
“ค่ะ” เธอรับคำ
“แล้วมีคำถามเพิ่มเติมอะไรรึเปล่า” เขาไม่วายจะถาม
“เอ่อ...ไม่มีค่ะ” เธออยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่กล้า
“มีค่ะ....” โสภาอดที่จะถามแทนเธอไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าระพีพรรณอยากจะถามอะไร
“อะไร” เขาถามด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจนัก
“ก็สัญญาคุณระบุว่า จะให้เพื่อนฉันทำงานทุกอย่างตามแต่คุณจะสั่ง ยกเว้นงานนั้นจะมีอันตรายหรือจะได้รับบาดเจ็บ หรือชีวิต แล้วถ้าเกิดคุณสั่งให้เพื่อนฉันไปทำงานพวก....เอ่อ....อะไรทำนองนั้นล่ะ มันรวมไปในสัญญานี้หรือเปล่า ที่ฉันถามก็เพื่อต้องการความกระจ่างเท่านั้นนะคะ”
โสภารีบอธิบายเพราะไม่อยากให้เขากับทนายเข้าใจผิดว่าเธอดูจะจู้จี้กว่าคนที่จะมาทำงานเองด้วยซ้ำ
“คุณหมายถึงเรื่องอย่างว่าน่ะเหรอ....ถ้าใช่....คุณก็สบายใจได้เลยนะ ผมไม่ขายเพื่อนคุณหรอก หน้าตาอย่างนี้ ไม่รู้จะมีคนสนใจหรือเปล่า หรือถ้าคุณกลัวว่าผมจะสั่งให้เพื่อนคุณ ทำเรื่องอย่างว่าให้ผม คุณยิ่งไม่ต้องกังวลใหญ่เลยนะ ผมไม่เอาเลือดสะอาด ๆ ของผม ไปเกือกกั้วกับไอ้พวกเลือดชั่ว ๆ ของเพื่อนคุณหรอก หรือถ้าไม่ไว้ใจหรือกลัว ก็ยกเลิกสัญญาก็ได้นะ ผมจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลา” เขาทำเสียงเดือดใส่โสภาอย่างเห็นได้ชัด
“เอ่อ...เพื่อนดิฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอกค่ะ แต่ถ้าทำให้คุณเข้าใจผิดแบบนั้น ดิฉันก็ขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะคะ สัญญาทุกข้อฉันอ่านเข้าใจดีแล้ว และก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรค่ะ”
เธอต้องรีบออกรับแทนเพราะรู้ดีว่า โสภาเองก็เป็นคนเลือดร้อน
“คุณระพีพรรณยินยอมทำตามข้อตกลงทุกอย่างเลยใช่ไหมครับ”
พิสิทธิ์รีบสรุปอีกที เพราะไม่อยากให้ดนุพรทำอะไรที่วู่วาม
“ค่ะ” เธอรับคำ
“สาระสำคัญ ๆ ก็คือ คุณจะต้องทำงานตามที่คุณดนุพรสั่งทุกอย่าง ยกเว้นงานที่จะเป็นอันตรายแกตัวเองและชีวิต เวลาทำงานคือสิบหกชั่วโมงต่อวัน คือตั้งแต่ตีห้าถึงสามทุ่ม เวลาพักก็แล้วแต่จะว่างจากงาน ส่วนใหญ่งานบ้านก็ไม่ได้ทำตลอดอยู่แล้ว หรือนายจ้างอาจจะเรียกใช้เวลาใดก็ได้ นอกเหนือจากที่ระบุเอาไว้ในนี้ โดยลูกจ้างจะต้องไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น
สถานที่ปฏิบัติงานก็แล้วแต่นายจ้างจะสั่งการครับ แต่ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่บ้านนี้ สำหรับการลาป่วยก็ลาได้ตามป่วยจริง ส่วนลากิจไม่สามารถทำได้ หรือหากมีความจำเป็นจริง ๆ ก็จะต้องได้รับความเห็นชอบจากนายจ้างก่อนลาเท่านั้น และหากนายจ้างอนุญาตให้ลากิจได้ ก็จะต้องกลับมาทำงานชดเชยให้นายจ้างในอัตราหนึ่งต่อห้า ก็คือลาหนึ่งวัน ต้องทำงานใช้ห้าวันครับ ก่อนลาก็จะต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อยสามวันครับ
ทำงานจันทร์ถึงเสาร์ สามทุ่ม หลังจากนั้นคุณจะกลับบ้านก็ได้ นายจ้างให้หยุดวันอาทิตย์หนึ่งวัน ถ้าคุณระพีพรรณไปพักบ้านหรือที่อื่นในคืนเสาร์และคืนวันอาทิตย์ ก็จะต้องกลับมาทำงานเช้าวันจันทร์ให้ทันตีห้า ถ้าเลยนั้นแม้แต่นาทีเดียว สัญญาจะเป็นโมฆะทันที การทำงานไม่สำเร็จตามเป้าหมายที่นายจ้างมอบหมายตามกำหนด สัญญาก็จะถือว่าเป็นโมฆะ เช่นให้ซักผ้าจำนวนยี่สิบชิ้นให้เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมง คุณก็ต้องทำให้เสร็จเป็นต้น
ในระหว่างวันและเวลาทำงาน นายจ้างไม่อนุญาตให้ญาติหรือคนรู้จักมาหาก่อนได้รับอนุญาต ถ้าละเมิดกฏก็จะถือว่าสัญญาเป็นโมฆะ ในระหว่างที่คุณทำงานเพื่อชดใช้หนี้จำนองนี้ นายจ้างจะให้เงินเดือนไว้ใช้สอยส่วนตัว เดือนละหกพันบาท นายจ้างจะเป็นคนรับรองความปลอดภัยให้คุณตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงานที่นี่
หากคุณถูกกระทำทารุณกรรมในด้านต่าง ๆ เช่น ถูกข่มเหงทางร่างกาย การกดขี่ทางเพศ หรืออื่น ๆ จากนายจ้าง หรือจากบุคคลในการปกครองของนายจ้าง จนเกิดความเสื่อมเสียให้ และภายหลังสืบทราบหรือพิสูจน์ได้โดยแพทย์เฉพาะทาง หรือขบวนการของกฏหมายได้ว่าเป็นการกระทำทารุณกรรมจากฝ่ายของนายจ้างจริง สัญญาฉบับนี้เป็นอันโมฆะเช่นกัน และนายจ้างจะต้องคืนทรัพย์สมบัติทุกอย่างให้คุณโดยไม่มีข้อบิดพริ้วใด ๆ ทั้งสิ้น
หลัก ๆ ที่สำคัญก็มีเท่านี้ครับ ถ้าคุณระพีพรรณไม่ขัดข้อง ก็เช็นต์ชื่อตรงนี้ครับ และก็ให้คุณโสภาลงชื่อเป็นพยานรับรู้ด้วยครับ” พิสิทธิ์ย้ำข้อสัญญาต่าง ๆ ให้เธอเข้าใจโดยละเอียด
“เพลงแน่ใจนะว่าจะทำอย่างนี้”
โสภาไม่วายที่จะห่วงเพื่อนรัก เพราะสัญญาที่ทำขึ้นนั้นเธอรู้ดีว่า มันเหมือนสัญญาทาสชัด ๆ
“ค่ะพี่โสภา ไม่ต้องห่วงเพลงหรอกนะคะ เพลงดูแลตัวเองได้”
เธอบอกแล้วยิ้มให้โสภา ก่อนจะจรดปลายปากกาเซ็นต์ชื่อลงในสัญญา แล้วก็ยื่นให้กับพิสิทธิ์เพื่อส่งให้ดนุพรเซ็นต์ต่อไป

“คุณดำมีอะไรหรือเปล่าคะ ให้เด็กไปตามนิดกับคุณป้า เห็นวันนี้คุณดำบอกว่าจะมีเด็กรับใช้มาเพิ่มอีกคน แล้วให้แม่แก้วไปช่วยงานที่ออฟฟิศคุณพิสิทธิ์แทน ป่านนี้แล้วยังไม่เห็นใครมาเลยค่ะ”
นิตยาหญิงสาววัยสามสิบต้น ๆ เดินมาหยุดที่ห้องรับแขก พร้อม ๆ กับเข็นรถเข็นที่มีลัดดานั่งเข้ามาด้วย ตามที่ดนุพรให้เด็กไปตาม
“นี่ไงเด็กที่นิดถามถึง ผมให้มาเริ่มงานเลย”
เขาบอกเมื่อทุกอย่างตกลงเรียบร้อยแล้ว และโสภาก็ถูกเชิญให้กลับไปแล้ว เพราะเขาไม่ต้องการให้คนนอกเข้ามารู้เห็นความเป็นไปภายในบ้านของเขา
นิตยามองไปที่เด็กที่ดนุพรพูดถึง ก็ถึงกับทำหน้าเหมือนมีคำถาม เพราะด้วยสายตาของเธอแล้ว ไม่อาจจะตัดสินได้ว่าผู้หญิงที่ท่าทางสง่า ดูดี มีสกุล ที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้จะมาทำงานเป็นเด็กรับใช้ แต่นิตยาก็ฉลาดที่จะไม่ถามอะไรมากไปกว่านั้น เพราะรู้นิสัยดนุพรดีว่าไม่ชอบให้ใครมาเซ้าซี้ถามโน่นถามนี่
“นี่แม่ของฉัน...และการปรนนิบัติคุณแม่ ก็เป็นหนึ่งในงานที่เธอจะต้องทำ และก็ยังมีอีกงานคือต้องดูแลน้องของฉัน แล้วฉันจะพาเธอไปรู้จัก” เขาบอกเธอ
“สวัสดีค่ะ”
เธอไหว้ลัดดาด้วยความนอบน้อม แต่ก็ไม่ได้รับการรับไหว้จากผู้อาวุโสแต่อย่างใด ตรงกันข้ามสีหน้าและแววตาของลัดดาที่เพ่งมองมาที่เธอนั้น มันช่างเป็นแววตาที่ระพีพรรณไม่เคยเห็นมาก่อน
“นี่เหรอลูกสาวนายกำพล หน้าตาผิวพรรณดีนะ พ่อเธอคงจะรักและหวงเธอไม่น้อยนะ ฉันยังจำได้ตอนเธอเป็นเด็ก ๆ จะไปไหนมาไหนก็ต้องมีพี่เลี้ยงคนปรนนิบัติพัดวี คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ แล้วนี่เธอจะทำอะไรได้ มาอยู่บ้านฉัน ก็ต้องอยู่ในฐานะเด็กรับใช้นะ ไม่ใช่จะคอยมาเป็นคุณหนูเหมือนเมื่อก่อน”
ลัดดาอดค่อนขอดเธอไม่ได้ เพราะความโกรธแค้นที่มีต่อกำพลนั่นเอง แต่ ระพีพรรณก็ฉลาดที่จะไม่ต่อปากต่อคำ ได้แต่นิ่งฟังด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
“และที่มากับคุณแม่ก็คือนิตยา เป็นญาติของฉันแล้วก็เป็นแม่บ้านที่นี่ เขาจะเป็นคนสั่งให้เธอทำงานในเวลาที่ฉันไม่อยู่ หรือคอยป้อนงานให้ในช่วงที่ไม่มีอะไรให้เธอทำ เธอจะต้องทำตามที่เขาบอกอย่างเคร่งครัด ให้ถือเสมือนเป็นคำสั่งของฉัน เพราะงานของเธอฉันจะบอกให้นิตยารู้หมดทุกเรื่อง เขาจะพาเธอไปที่พัก และก็พาไปแนะนำให้รู้จักคนในบ้าน”
เขาบอกทั้ง ๆ หน้าก็แทบจะไม่อยากจะมองไปที่ระพีพรรณด้วยซ้ำ แล้วก็พยักหน้าให้นิตยาเพื่อเป็นการสั่งการแทนคำพูด และอีกฝ่ายก็เหมือนจะรับรู้คำสั่ง
ระพีพรรณได้แต่เดินตามหลังนิตยาออกจากห้องไปในที่สุด พิสิทธิ์ที่นั่งอยู่ด้วย ลอบถอนหายใจออกมา ด้วยวาดภาพออกว่าระพีพรรณจะต้องเจอกับอะไรบ้างในอนาคตอันใกล้นี้
“ดำเมื่อเช้ารู้เรื่องพยาบาลที่ดูแลยายดาลาออกแล้วใช่ไหม” ลัดดาถามลูกชาย หลังจากที่ทั้งห้องเหลือแค่สามคน
“ครับแม่” เขาตอบมารดาและก็ถอนใจด้วยความเหนื่อยอ่อน
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะให้พยาบาลมาแทนก็แล้วกันครับแม่”
“แล้วจะอยู่ได้สักกี่วันกัน ยายดานับวันยิ่งจะอาละวาดหนักขึ้นทุก ๆ วันแล้วนะ แม่ล่ะสงสารน้องจริง ๆ เลยลูก”
ลัดดาระบาย
“ใจเย็น ๆ ครับคุณแม่ ยายดาต้องการเวลาตามที่หมอบอก นี่ถ้าเทียบกับเมื่อกันแล้ว ยายดาดีขึ้นเยอะแล้วนะครับ”
พิสิทธิ์ที่รู้เรื่องราวดีปลอบใจผู้สูงวัย
“อยู่ไม่ไหวก็ให้น้องของคนที่ก่อเรื่องรับผิดชอบไปก็แล้วกัน มันจะได้รู้ว่าพี่กับพ่อมันทำอะไรเอาไว้บ้าง”
ดนุพรอดที่จะมีอารมณ์โกรธแค้นไม่ได้ เมื่อนึกถึงผู้ที่เป็นต้นเหตุแห่งเรื่องทั้งหมด
“พอเถอะดำ คิดไปก็เท่านั้น ไปเราพาคุณแม่ออกไปสูดอากาศข้างนอกเถอะ วันนี้อากาศดีนะครับคุณแม่ ไหน ๆ วันนี้ก็มาแล้ว งั้นผมก็ขอฝากท้องมื้อเย็นไว้ด้วยก็แล้วกันนะครับ” พิสิทธิ์รีบตัดบทเพราะไม่อยากให้เพื่อนมีความรู้สึกที่แย่ไปมากกว่านี้
“แกพาคุณแม่ไปเถอะ ฉันจะนั่งทำอะไรในห้องทำงานก่อนแล้วจะตามไป” เขาบอก
“ตามใจ งั้นเราไปนะครับคุณแม่”
เขาบอกแล้วก็เข็นรถลัดดาออกไป ดนุพรเดินออกมาแล้วก็ตรงไปยังห้องทำงานของเขา



ห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ที่ในห้องมีที่นอนขนาดไม่น่าจะเกินสามฟุตปูไว้กับพื้น หมอนเล็ก ๆ กับผ้าห่มที่มีสภาพเก่าเก็บวางเอาไว้บนที่นอน ถัดจากที่นอนก็มีตู้เครื่องแป้งที่ทำจากเหล็กฉาบสีแดงสดตั้งไว้ข้าง ๆ ส่วนที่มุมห้องอีกมุมหนึ่งก็มีตู้เสื้อผ้าไม้ที่มีขนาดพอใส่เสื้อผ้าได้แค่คนถึงสองคน ติดกันก็มีพัดลมขนาดเล็กแบบตั้งพื้น สภาพของมันก็ไม่ได้ต่างจากที่นอนไปมากนัก
“เธอพักห้องนี้ล่ะ คุณดำสั่งฉันมา รีบจัดข้าวของซะ แล้วไปหาฉันที่ห้องครัว จะแนะนำให้รู้จักคนในบ้าน”
สิ้นเสียงที่ไร้ซึ่งความเป็นมิตรของนิตยา ประตูห้องก็ถูกปิดดังปัง
ระพีพรรณทรุดตัวลงนั่งกับที่นอนด้วยความสะเทือนใจกับสภาพห้อง ที่ทั้งชีวิตของเธอ ก็เพิ่งจะเคยพบกับห้องที่มีขนาดเล็กที่สุด เครื่องนอนที่เก่าที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา หญิงสาวให้คิดถึงห้องนอนที่ใหญ่โตโอ่อ่ามีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายพร้อม หรือหากมีสิ่งใดที่ขาดตกบกพร่องไป บิดาก็จะสรรหาเอามาให้ได้ไม่ยากนัก
แต่กับสภาพแวดล้อมที่ตัวเองจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ถึง ห้าปี เพียงแค่นึกคิดเท่านั้น น้ำตาแห่งความกังวล หวาดกลัว มันก็ไหลออกมาได้ไม่ยากเลยแม้แต่น้อย จากความมุ่งมั่น เข้มแข็งที่แสดงออกให้พ่อ และคนอื่น ๆ เห็นตั้งแต่แรก มันก็เปลี่ยนมาเป็นความอ่อนแอเอาเสียง่าย ๆ ด้วยไม่คาดฝันว่า ดนุพรจะให้ตัวเองอยู่ในสภาพห้องแบบนี้
ระพีพรรณต้องรีบลบความคิดเหล่านั้นทิ้งให้หมด แล้วดึงตัวเองกลับมาจัดแจงกับข้าวของที่หอบติดตัวมาไม่กี่ชิ้น เสื้อผ้าไม่กี่ชุดที่ถูกเก็บยัดใส่ไว้ในกระเป๋าใบย่อมมาจากบ้าน เธอใช้เวลาไม่นานนักในการจัดเข้าไปเก็บไว้ในตู้ แล้วก็รีบออกจากห้อง เดินตรงไปยังครัวซึ่งตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน แต่ไม่นานเธอก็เดินหาจนได้คำตอบ
“มาแล้วเหรอ เอ้า...นี่พวกเธอมารู้จักเพื่อนใหม่กันหน่อย นี่แตนเป็นหลานของฉัน และก็เป็นญาติห่าง ๆ คุณดำด้วย เป็นคนดูแลคุณป้า นี่รำพึง หน้าที่หลักก็คือผู้ช่วยแม่ครัว กับทำความสะอาดบ้าน ช่วงกลางวันไม่มีอะไรทำก็ช่วยกันปัดกวาดเช็ดถูบ้านให้สะอาด เธอก็จะต้องช่วยงานทุกอย่างที่คนไม่พอ
นี่สมพงศ์คนขับรถคุณดำ นี่สมพรเป็นคนสวนและทำหน้าที่ขับรถไปทำธุระให้คุณท่านและพาฉันไปทำโน่นนี่แล้วแต่จะสั่งงาน สมพรเป็นน้องชายสมพงศ์ เป็นแฟนของรำพึง ทุกคนอยู่ที่นี่มานานแล้ว...อ้าว....แล้วแม่ครัวหายไปไหนแล้วล่ะนี่ ฉันอุตส่าห์สั่งเอาไว้ว่าไม่ให้ไปไหน ทำไมไม่ฟังฉันบ้างเลยนะ เดี๋ยวจะให้คุณดำไล่ออกให้เข็ดเลย”
นิตยาทำเสียงเกรี้ยวกราด และมันก็เป็นอาการที่ทุกคนชินตามานานแล้ว กับแม่บ้านสาวโสดที่อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ คนนี้
“มาแล้วค่ะ” แม่บ้านที่ถูกกล่าวหารีบส่งเสียงบอก เพราะมาทันได้ยินเสียงนิตยาบ่นถึงตัวเองพอดี
“แม่แพงไปไหนมา ฉันบอกให้รอฉันก่อนอย่าไปไหน ไม่คิดจะเชื่อฟังกันบ้างเลยรึไงนะ ทำไมจะต้องให้คอยบอกซ้ำซากเหมือนเด็ก ๆ อยู่เรื่อยเลย” นิตยาขึ้นเสียงใส่หญิงวัยกลางคน ที่มีร่างค่อนข้างท้วม ผิวขาวและเตี้ย แต่แววตาดูเป็นคนมีเมตตา
“คุณท่านเรียกอีฉันไปพบค่ะ” แพงรีบบอกด้วยความขุ่นเคืองใจ กับคำบริภาษของคุณแม่บ้าน
“เหรอ...เอ่อ...นี่เธอ แม่ครัวที่นี่ชื่อแพง คนที่นี่จะเรียกว่าป้าแพง เธอจะเรียกตามก็ได้นะ เธอเองก็ต้องมาช่วยแม่แพงเตรียมอาหารด้วย ทุกคนนี่แม่คนนี้ ...เอ่อ....แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ” นิตยาจำได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อผู้ที่จะมาอยู่ร่วมเลย
“ฉันชื่อระพีพรรณค่ะ ทุกคนจะเรียกฉันว่าเพลงก็ได้ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะคะ” เธอบอก
“เอาล่ะ...แม่เพลงนี่จะมาช่วยงานทุกคน ตามแต่ฉันจะสั่งให้ทำอะไร รู้จักกันหมดแล้วก็แยกย้ายกันไปทำงานได้แล้ว ฉันจะไปหาคุณป้าก่อน ส่วนเธอก็ช่วยแม่แพงเตรียมอาหารเย็นก็แล้วกัน เอาไว้วันหลังฉันจะบอกว่าจะต้องมีหน้าที่ทำอะไรบ้าง”
นิตยาบอกแล้วก็ผละจากไป โดยไม่ได้สนใจกับใครทั้งสิ้น เพราะนี่ก็คือบุคคลิคของนิตยา ที่ไม่ใคร่จะสนใจใครเท่าใดนัก นอกจากวัน ๆ เอาแต่สั่งโน่นสั่งนี่และวางอำนาจแม่บ้านไปวัน ๆ และถือว่าตัวเองก็เป็นญาติของเจ้าของบ้านนั่นเอง จนทุกคนในบ้านก็แทบจะไม่อยากจะทำตัวเป็นอริด้วยสักเท่าไหร่
เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเดือดร้อน จนถึงขั้นต้องออกจากงานด้วยซ้ำไป อย่างเช่นแม่ครัวคนก่อน ที่ทำตัวมีปัญหากับนิตยา จนต้องออกจากงาน และก็ได้รับแพงเข้ามาทำแทน
“คุณเพลง ๆ จริง ๆ ด้วยค่ะ ป้าแพงไงคะ จำป้าได้ไหมคะ”
แพงแม่ครัวรีบทักเธอ ทันทีที่นิตยาพ้นจากครัวไป พร้อม ๆ กับทุกคนที่ก็ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง
“จำได้ค่ะป้าแพง ทำไมเพลงจะจำคนที่ทำกับข้าวให้เพลงกินมาตั้งแต่เกิดไม่ได้คะ ป้าแพงสบายดีไหมคะ”
เธอรีบตอบทันที
“ก็งั้น ๆ ล่ะค่ะคุณเพลง ชีวิตลูกจ้างนี่คะ แต่ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ป้าชินแล้ว เกิดอะไรขึ้นคะคุณเพลง ทำไมคุณเพลงถึงต้องมาทำงานที่นี่ แล้วคุณท่านเป็นยังไงบ้างคะ”
แพงถามด้วยความสงสัย เพราะไม่นึกว่าจะได้เจอลูกเจ้านายอยู่ที่นี่ และในสภาพที่ไม่ได้คาดคิดไว้แบบนี้
“เรื่องมันยาวค่ะ เอาไว้เพลงจะเล่าให้ป้าแพงฟังทีหลังนะคะ แต่ตอนนี้เพลงว่าป้าแพงทำกับข้าวก่อนดีกว่าค่ะ มีอะไรที่เพลงพอจะช่วยได้บ้างคะ แต่ป้าแพงต้องสอนเพลงนะคะ เพราะเพลงไม่เคยทำเลย”
เธอรีบบอกเพราะไม่อยากให้ใครเข้ามาได้ยินบทสนทนาของเธอและแพงเข้า เพราะแพงเองอาจจะเดือดร้อนก็เป็นได้
“โธ่...คุณเพลง งานพวกนี้คุณเพลงเคยทำที่ไหนกันคะ ดูสิคะมือไม้ขาว ๆ บาง ๆ นุ่ม ๆ เคยจับแต่ดินสอปากกา แล้วจะทำงานพวกนี้ไหวเหรอคะ” แพงไม่วายจะแย้ง
“เพลงทำได้ค่ะ แต่ป้าแพงต้องสอนเพลงนะคะ ต่อไปเพลงจะได้ทำกับข้าวกินเองเป็นไงคะ ป้าแพงรู้ไหมคะ ว่าเพลงดีใจมาก ๆ ค่ะ ที่เพลงเจอกับป้าวันนี้” เธออดที่จะดีใจไม่ได้
“ป้าก็ดีใจค่ะ เอาไว้คืนนี้เราค่อยคุยกันนะคะ ....งั้นคุณเพลงช่วยป้าหั่นผักพวกนี้ก็แล้วกันค่ะ วันนี้ป้าจะทำแกงเขียวหวานไก่ ยำยอดมะพร้าว ผัดผักรวมกุ้งสด แล้วก็ทอดมันปูค่ะ นี่มะเขือหั่นสี่ซีกแบบนี้นะคะ เหมือนที่ป้าเคยทำให้คุณเพลงกินตอนเด็ก ๆ ไงคะ” แพงบอกเธอและก็ทำให้เป็นตัวอย่างเอาไว้
“เพลงจำได้ค่ะ”
เธอตอบ และก็รีบเดินตรงไปยังตะแกรงผักที่แพงเพิ่งจะวางไว้ แล้วก็จัดแจงทำตามโดยไม่มีคำพูดใด ๆ เล็ดลอดออกมาจากปากอีก
“มาแล้วจ๊ะป้า” รำพึงเพิ่งจะเดินมาถึงครัวอีกครั้งหลังจากไปทำงานที่ทำค้างไว้ให้เสร็จ
“มาก็ดีแล้ว รำพึง มาโขลกพริกแกงให้ป้าด้วย เร็วเข้า มัวไปทำอะไรก็ไม่รู้” แพงรีบให้งานรำพึง
“ป้าแกก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะพี่ ชอบเอ็ดหนูอยู่เรื่อยเลย”
รำพึงพูดท่าทางอารมณ์ดี แล้วก็จัดแจงถือครกเดินไปนั่งใกล้ ๆ กับระพีพรรณ และเธอก็ยิ้มให้รำพึงด้วยสีหน้าที่เป็นมิตร
“หนูขอเรียกพี่ก็แล้วกันนะ ดูอายุพี่แล้วน่าจะมากกว่าหนู ว่าแต่พี่อายุเท่าไหร่แล้วจ๊ะ” รำพึงถาม
“ยี่สิบห้าจ๊ะ แล้วรำพึงล่ะจ๊ะ” เธอถามกลับ
“หนูน่ะเหรอสิบแปดจ๊ะ” รำพึงบอกพร้อม ๆ กับยิ้ม
“จริงหรือจ๊ะ แล้วทำไม รำพึงมีแฟนเร็วจัง” เธออดถามไม่ได้
“เร็วที่ไหนกันคะพี่ บางคนเขามีแฟนตั้งแต่อายุสิบห้าปีด้วยซ้ำ” รำพึงบอกอีก
“เด็กสมัยนี้ก็ยังงี้ทั้งนั้นล่ะค่ะคุณเพลง เป็นสาวหน่อยก็มีแฟนแล้ว คุณเพลงอยู่แต่เมือง....เอ่อ...อยู่แต่ในกรุงเทพฯ จะไปรู้อะไรคะ”
แพงเกือบเผลอหลุดปากออกไปแล้ว แต่ก็โชคดีที่ยังตั้งสติได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้รำพึงสงสัยอะไรนัก เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดแจงกับพริกแกงที่จะโขลกนั่นเอง
“มีอะไรแตน” รำพึงทักแตนที่เดินมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะเป็นมิตรนัก
“วันนี้คุณท่านให้มาบอกว่าคุณพิสิทธิ์จะกินข้าวที่นี่ ให้ทำกับข้าวเผื่อด้วย เมื่อกี้ท่านลืมบอกป้าแพง”
พูดแล้วแตนก็เดินสบัดออกไปนอกครัว ด้วยไม่อยากจะเห็นเพื่อนร่วมงานใหม่เท่าไหร่นัก เพราะตัวเองรู้สึกว่า แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นสังเวียนด้วยซ้ำ
เพราะด้วยรูปร่าง หน้าตา และผิวพรรณของระพีพรรณนั้นงามพร้อม จนแม้แต่สายตาอย่างแตนมองแล้วก็กลัว เพราะรำพังที่มีน้าตัวเองคือนิตยาเป็นคู่แข่ง คอยดึงความสนใจจากเจ้านายหนุ่มอย่างดนุพร แตนก็แทบจะรั้งไม่ไหวแล้วในความคิด แล้วไหนจะมีมาใหม่อีก
“มันเป็นอะไรของมันนังนี่ พูดกับผู้ใหญ่นี่ไม่มีหางเสียงหรอกนะ ถือว่าเป็นญาติคุณแม่บ้านล่ะสิท่า” แพงอดบ่นไม่ได้
“ป้ายังไม่ชินกับมันอีกเหรอ นังนี่มันก็เป็นมาตั้งนานแล้วนะ ป้าไม่รู้เหรอว่ามันเป็นอะไร หนูยังรู้เลย จริงมั้ยพี่เพลง”
รำพึงพูดอย่างรู้ทัน
“จริงอะไรจ๊ะ พี่ไม่รู้เรื่องเลย” เธอบอกออกไปด้วยอาการขำ ๆ พร้อม ๆ กับมือก็หั่นมะเขือไป
“นังนี่ มันจะไม่ชอบให้ใครเด่นกว่ามันหรอก พี่เพลงไม่รู้อะไร มันแอบปิ้งคุณดำน่ะสิ มันน่ะไม่เจียมตัว ทั้งสองคนน้าหลานนั่นล่ะ พอพี่เพลงมาใหม่ สวยกว่าพวกมันสองคน มันก็เลยกลัวไง” รำพึงแอบกระซิบ เพราะกลัวแพงได้ยินด้วย
“น้อย ๆ หน่อยนะนังรำพึง...คุณเพลงอย่าไปฟังมันนะคะ นังนี่ปากไม่มีหูรูดค่ะ”
แพงรีบกำราบเพราะรู้ดีว่ารำพึงคิดอะไร แล้วระพีพรรณก็มีความฉลาดพอที่จะเดาสีหน้าของแพงได้ ว่าไม่อยากให้ยุ่งกับเรื่องนี้ จึงได้แต่ยิ้มให้ทั้งสองแล้วก็ทำงานของตัวเอง
“แล้วนี่ทำไมป้าแพงเรียกพี่เพลงว่าคุณเพลงล่ะ”
รำพึงอดสงสัยไม่ได้ เพราะได้ยินแพงพูดซ้ำ ๆ หลายคำ จนทำให้ทั้งสองคนนั้นหันไปมองหน้ากัน เพราะไม่รู้จะให้คำตอบยังไง
“ก็...มองดูสิ พี่เพลงของเธอน่ะผิวพรรณ หน้าตา ท่าทางยังกะคุณหนูแหนะ ฉันก็เลยอดคิดถึงลูกเจ้านายเก่าไม่ได้ ท่าทางเหมือนคุณเพลง ก็เลยเรียกไปอย่างนั้นล่ะ แกไม่ต้องมาเอานิยายอะไรกับฉันหรอก รีบ ๆ ทำงานเข้าไป”
แพงตั้งสติได้และก็รีบบอกออกไป
“เอ่อ...ก็จริงอย่างป้าแพงว่านะ ทำไมพี่เพลงสวยจังเลย ผิวก็ข๊าวขาว หน้าตาก็เกลี้ยงเกลียง ใช้เครื่องสำอางค์อะไรเหรอพี่ บอกหนูมั่งสิจะได้ไปซื้อมาใช้มั่ง ดูสิยิ่งดู พี่ก็ยิ่งดูเหมือนคุณหนู ๆ ยังไงก็ไม่รู้น้อ สงสัยพ่อแม่คงจะสวยและหล่อน่าดูเลย ใช่ไหมพี่” รำพึงพูดพร้อม ๆ กับละมือจากครกแล้วก็เดินไปสำรวจดูร่างระพีพรรณรอบ ๆ จนทำให้เธอนั้นนึกหวั่นใจไม่หาย
“แต่หนูขอเรียกพี่ว่าพี่เพลงก็แล้วกันนะ”
รำพึงบอกในที่สุด และก็ทำให้ทั้งระพีพรรณและแพงออกอาการโล่งใจไปตาม ๆ กัน









Create Date : 18 กันยายน 2551
Last Update : 18 กันยายน 2551 6:56:30 น. 0 comments
Counter : 454 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธัญญะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อคแห่งนี้ ตามพ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง แก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน จะดำเนินตามกฎหมายสูงสุด!!
Friends' blogs
[Add ธัญญะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.