จังหวัดน่าน
ไปเที่ยวภาคเหนือคราวนี้ ถูกใจจังหวัดน่านมากที่สุด เพราะเป็นเมืองเล็ก ๆ สงบ ที่สำคัญสะอาดมาก ๆ คนเมืองน่านน่ารัก อัชฌาสัยไมตรีดี และร่วมมือร่วมใจกันอนุรักษ์ความเป็นน่านไว้ได้อย่างน่ายกย่อง ความจริงปอป้าเคยแวะมาจังหวัดน่านแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีเวลาเที่ยวชมเมือง ครั้งนี้ คุณพี่ชายพามาเที่ยว นอนพักกันหนึ่งคืน รู้สึกว่ายังไม่จุใจเอาเสียเลย ตั้งใจไว้ว่าจะต้องมาอีกครั้ง มาอยู่เที่ยวสัก ๓-๔ วัน เป็นอย่างน้อย เพราะน่าน ยังมีอะไรดี ๆ ให้น่าติดตามชมและศึกษาอีกมากมาย วันนี้ ขอนำเรื่องราวประวัติความเป็นมาของจังหวัดน่านมาให้อ่านกัน ก่อนที่จะออกท่องเที่ยว...นะคะ
จังหวัดน่าน มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ ๗ ล้านไร่เศษ เป็นพื้นที่ป่าเสียประมาณ ๕ ล้านไร่ ทิศเหนือและทิศตะวันออก ติดกับประเทศลาว ทิศใต้ติดจังหวัดอุตรดิตถ์ ส่วนทิศตะวันตกติดกับจังหวัดแพร่ พะเยา และเชียงราย
คนเมืองน่าน ประกอบด้วยชนหลายเผ่าพันธุ์ มีทั้งพวกไทยวน ไทลื้อ ขมุ ม้ง เย้า มลาบรี (ผีตองเหลือง) ลัวะ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานมาแต่ดั้งเดิม รายละเอียดของชนแต่ละเผ่า ปอป้าคงไม่นำมาเล่า..นะคะ เพราะจะทำให้เนื้อเรื่องยาวมากเกินไป เราไปดูประวัติศาสตร์เมืองน่านกันดีกว่า..ค่ะ
อนุสาวรีย์พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้าเมืองผุ้ทรงคุณากรต่อเมืองน่าน
กับความสะอาด สวยงาม ของเมืองน่าน ที่ท่านวางรากฐาน สร้างไว้
จากบันทึกหลายแห่งเล่าไว้ว่า ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ขุนน่านและขุนฟอง ได้นำผู้คนอพยพจากตอนบนของแม่น้ำโขง มาตั้งถิ่นฐานยังที่ราบลุ่มตอนบนของแม่น้ำน่าน ใกล้กับเทือกเขาดอยภูคา และในปี พ.ศ. ๑๙๐๒ เจ้าพระยาการเมือง ได้ทำการย้ายเมืองไปยังเวียงภูเพียงแช่แห้ง ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน
ต่อมาในปี พ.ศ. ๑๙๑๑ เจ้าพระยาผากอง บุตรของเจ้าพระยาการเมือง ได้ย้ายเมืองไปยังฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน ซึ่งก็คือเมืองน่านในปัจจุบัน ในปี พ.ศ. ๑๙๓๕ เจ้าพระยาผากอง ได้ผูกสัมพันธ์กับเมืองสุโขทัย ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทั้งยามสงบและยามเกิดสงครา ความสัมพันธ์ดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งเมืองสุโขทัยถูกผนวกเข้ากับอยุธยาในปี พ.ศ. ๑๙๘๑ นับว่าเมืองน่านมีความสัมพันธ์ติดต่อการค้าที่ดีกับเพื่อนบ้าน เช่น หลวงพระบาง ล้านช้าง และสิบสองปันนา
ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๙๖-๒๑๐๑ เมื่อเมืองเชียงใหม่ตกเป็นประเทศราชของพระเจ้าหงสาวดีแห่งพม่า เจ้าพระยาพลเทพรือชัย เจ้าเมืองน่านได้หลบหนีไปอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงพระบาง น่านจึงตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าจนกระทั่งสิ้นกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ อย่างไรก็ตาม ชาวเมืองน่านได้พยายามต่อสู้เพื่ออิสรภาพหลายครั้ง จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๒๔๖ ผู้คนต้องหลบหนีเข้าไปอยู่ในป่า บ้างก็ถูกจับไปเป็นเชลยในพม่า ทั้งเมืองและวัดวาอารามถูกเผาทำลายยับเยิน
นั่งรถรางชมเมือง
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๓๑ เจ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าหลวงเมืองน่านในขณะนั้น ได้หันมาสวามิภักด์ต่อรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และอีก ๒ ปีถัดมา จึงเริ่มนโยบาย เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง มีการอพยพชาวไทลื้อเป็นจำนวนมากกลับเมืองน่าน
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ กรุงเทพฯ ถูกคุกคามจากลักทธิล่าอาณานิคมของอังกฤษ และฝรั่งเศส จึงก่อให้เกิดการปฏิรูปการปกครองหัวเมืองล้านนา เพื่อรวมศูนย์อำนาจที่ส่วนกลาง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๕ รัฐบาลกลางกรุงเทพฯ ได้แต่งตั้งข้าหลวงเข้ามาแทนคณะขุนนางผู้ช่วยเจ้าผุ้ครองนครในการบริหารกิจการบ้านเมือง
หลังจากเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ราว พ.ศ. ๒๔๓๖ ไทยต้องยอมเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส เมืองน่านจึงเพิ่มความสำคัญมากขึ้นในฐานะเมืองหน้าด่านติดกับเมืองหลวงพระบางในลาว ซึ่งเป็นของฝรั่งเศส ความสัมพันธ์ระหว่าง เจ้าเมืองน่านกับกรุงเทพฯ ดำเนินไปด้วยดี รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เป็นพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช พื่อตอบแทนคุณงามความดีที่น่าน ช่วยกรุงเทพฯ ในสงครามปราบกบฏที่เชียงตุง
เมืองน่านกลายเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยอย่างสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ ๗ หลังจากเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าเมืองน่านองค์สุดท้ายถึงแก่กรรมในปีพ.ศ. ๒๔๗๔ จึงยกเลิกระบบการปกครองโดยเจ้าผู้ครองนครนับแต่นั้นเป็นต้นมา
คุ้มเจ้าเทพมาลา เดิมเป็นที่พำนักของเจ้าเทพมาลา ธิดาคนที่ ๑
ของพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ กับแม่เจ้ายอดหล้า ต่อมาขายให้กับเจ้าบุญศรี เมืองชัย
ปัจจุบัน ทายาทเจ้าบุญศรี ยังคงอนุรักษ์เก็บรักษาไว้ให้ชมแต่ภายนอกเท่านั้น
วัดที่กล่าวกันว่า เล็กที่สุดในประเทศไทย
ประวัติเมืองน่านคร่าว ๆ ก็มีเพียงเท่านี้ แต่ในความเป็นจริง กว่าเมืองน่านจะเป็นเมืองน่านให้เห็นอย่างในปัจจุบันนี้ได้นั้น ต้องผ่านศึกสงครามและเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ปอป้ามาเมืองน่านแล้ว รู้สึกอบอุ่น มีความสุข ราวกับได้กลับมาบ้านเก่าเลยทีเดียว ประชาชนเมืองน่าน อยู่กันอย่างสงบ มีสังคมที่เข้มแข็ง ต่างรักถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเอง ช่วยกันทำนุบำรุงบ้านเมืองให้สะอาด สวยงาม ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส วัดวาอารามมีขนาดเล็ก ๆ กระทัดรัด แต่สวยงามจับตาจับใจ ด้วยความร่วมแรงร่วมใจกันของชาวน่าน ในการอนุรักษ์ความเก่าแก่ไว้ได้เป็นอย่างดี ว่ากันว่า ถ้ามาเที่ยวเมืองน่านในฤดูหนาว จะหลงรักเมืองน่านจนถอนใจไม่ขึ้นทีเดียว ด้วยเหตุนี้ ปอป้าจึงจดไว้ในบัญชีการเดินทางไว้แล้วว่า จะหาเวลามาหลงรักเมืองน่านสักหนาวหนึ่ง และถ้าเลือกได้ อยากจะมาหนาวตายอยู่ที่เมืองน่านเสียเลย..อิ อิ
ขอบคุณ ข้อมูลเมืองน่าน จากกูเกิ้ล
เพลง ไทรโยคแห่งความหลัง
| | |
| ถ้าจะโหวตให้ปอป้า...สาขา Dharma Blog...นะคะ ขอบคุณ...ค่ะ
| |
| | |
กาตุ มนุสฺเสน ตถา มนุสฺสา
แผ่นดินนี้ ไม่อาจทำให้เรียบเสมอกันทั้งหมดได้ ฉันใด
มนุษย์ทั้งหลายจะทำให้เหมือนกันหมดทุกคนก็ไม่ได้ ฉันนั้น