ก่อนพูดถึงรังสี ... ขอพูดถึงผิวหนังของเราคร่าวๆ ก่อน ... ชั้นผิวหนัง แบ่งเป็น 3 ชั้นด้วยกัน คือ epidermis, dermis, and subdermal fat



1. epidermis (ชั้นนอกสุด) ชั้นบนของ epidermis เป็นชั้นหนังที่ตายแล้ว (stratumcorneum)
2. dermis (ชั้นกลาง) หนาที่สุด ... ถ้าตายแล้ว ไม่สามารถสร้างใหม่ได้
3. subdermal fat (ชั้นในสุด) หนาพอๆ กับชั้น epidermis

รังสี ultraviolet จากแสงแดด สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท UVA, UVB, UVC rays ซึ่งแบ่งตาม wavelength

UVA มี wavelength ยาวที่สุด สามารถทำร้ายผิวนังถึงชั้น dermis ... UVA สามารถส่องผ่านชั้นโอโซนลงมาได้ ... ซึ่งสามารถทำร้ายผิวหนังของเรา

UVB มี wavelength ปานกลาง ... ส่วนใหญ่จะถูกกรองในชั้นโอโซน แต่ก็ยังสามารถส่องผ่านเข้ามาได้บางส่วน (ไม่มากเท่า UVA) ... ซึ่งก็ทำร้ายผิวหนังของเราเช่นกัน ... และด้วยเหตุที่ชั้นโอโซนกำลังถูกทำลายลงทุกๆวัน ... UVB จึงส่องลงมาถึงโลกมากขึ้นทุกวัน ... จากการศึกษาพบว่า 1% ของโอโซนที่ถูกทำลาย จะเพิ่ม UVB 2%

UVC มี wavelength สั้นที่สุด ... ถูกกักไว้ในชั้นโอโซนทั้งหมด ... ดังนั้นจึงไม่สามารถส่องลงมาทำร้ายผิวสวยๆ ของเราได้

ปกติรังสี UVB มักจะถูกเรียกว่า "sunburn radiation" เพราะว่ารังสี UVB ทำให้ผิวหนังแดงและไหม้ (ปกติใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง)

ส่วน UVA จะส่งผลให้ผิวหนังแดง แต่ว่ามีผลรุนแรงกว่า UVB หลายเท่าตัว และยังทำอันตรายผิวไปถึงชั้น dermis ... ถึงแม้ว่าบางครั้ง UVA ไม่ทำให้ผิวหนังแดงขึ้นมา แต่ UVA อันตรายกว่า UVB หลายมาก เพราะว่ามันจะทำลายผิวชั้น dermis และผิวชั้น dermis ไม่สามารถสร้างตัวเองขึ้นมาได้เหมือนผิวชั้น epidermis (ชั้นนอก)

สารกันแดดปกป้องแสงแดดโดยการ (1) กั้นรังสีไม่ให้ส่องผ่านไปถึงผิวหนัง (2) การดูดซับรังสีไว้ ... ขึ้นอยู่กับว่าตัว active ingredients ที่มีอยู่ในสารกันแดดว่าสามารถปกป้องผิวหนังจากการทำลายของ UVB และตัวที่รุนแรงกว่า ซึ่งหมายถึง UVA

ตั้งแต่มีการผลิตสารกันแดดขึ้นมา ... เราสามารถป้องกันรังสี UVB ได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังต้องกันรังสี UVA ด้วย ... ดังนั้นการใช้ครีมกันแดดที่เป็น board-spectrum เท่านั้นจึงจะสามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB

ครีมกันแดดมีทั้งแบบ physical block ซึ่งใช้ zinc oxide หรือ titanium dioxide เป็นตัวสะท้อน หรือกระจายรังสี UVB และ UVA ก่อนที่รังสีสองตัวนี้จะส่งผ่านไปถึงผิวหนัง ... เมื่อไม่นานมานี้ ความนิยมของ physical block ลดน้อยลงไปเนื่องจากว่าสารพวกนี้จะทิ้งคราบขาวๆ บนผิวหนัง ... แต่ทุกวันนี้สารพวกนี้ถูกทำให้มีขนาด particle เล็กลง ทำให้คราบขาวๆ พวกนี้มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น (ทำให้มองไม่เห็นคราบ ขาวๆ)

เรายังมีทางเลือกอีกทางคือ การใช้ chemical block ดูดซับรังสีต่างๆ ... โดยทั่วไปแล้ว ตัวที่ใช้ดูดซับ UVA คือ Avobenzone หรือ Parsol 1789 (มักจะเห็นในฉลากผลิตภัณฑ์ว่า Methoxydibenzoylmethan) ... ตัวดูดซับตัวนี้อาจจะทำให้เกิดการระคายผิวมากกว่าตัว physical block ซึ่งระคายผิวน้อยกว่า ... ตัวกัน UVA อื่นๆ ก็เช่น benzophenones ... ส่วนตัวที่ใช้ป้องกัน UVB ก็เช่น cinnamates

ค่า SPF ที่เราเห็นกันในฉลากข้างขวด (ถูกตั้งขึ้นมาโดย FDA) เป็นตัวที่ใช้บอกค่ากัน UVB เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับ UVA (SPF 60 หมายความแค่ว่า กัน UVB ได้ดี ... ไม่เกี่ยวกับ UVA สักนิดเดียว) ... ง่ายๆ พูดถึงคำว่า SPF ก็ต้องนึกถึงแค่ UVB เท่านั้น (อย่าลืมว่า UVB อันตรายน้อยกว่า UVA)

ค่า SPF15 (ควรใช้อย่างต่ำ PPF15 เป็นอย่างต่ำทุกวัน) หมายถึง ผิวหนังเราสามารถทนรังสี UVB ได้ประมาณ 10 นาที x 15 เท่า = 150 นาที โดยประมาณ (ทาตอนเช้าก็อยู่ได้นานถึงเที่ยง)

ใน United States , ค่า SPF มีถึง 30+ แต่จากการศึกษา ค่า SPF ที่สูงขึ้นจะมีประสิทธิภาพต่ำลง ... ประมาณว่า ความแตกต่างระหว่าง SPF30 กับ SPF50 ต่างกันแค่ 1.3% เท่านั้น แต่สารเคมีที่ใช้ใน SPF50 มากกว่า SPF30 หลายเท่า ซึ่งจะส่งผสรถคายผิวมากกว่าการใช้ SPF30 มากมายหลายเท่า

ในปัจจุบัน ... มาตรฐานการวัดค่า UVA ยังไม่มีค่าหน่วยวัดที่เป็นมาตรฐานสากล (ค่า SPF มีผลเพียงน้อยนิดต่อ UVA) ดังนั้นตอนนี้เราต้องยิดติดกับคำว่า board-spectrum ไปก่อน

เราสามารถป้องกันแสงแดดได้สูงถึงประมาณ 96% ด้วยวิธีการง่ายๆ เช่น การอยู่ในร่ม ใส่เสื้อแขนยาวที่เนื้อผ้าหนาเพียงพอ การใส่หมวกปีกใหญ่ แต่ก็ยังไม่กันได้ 100% ดังนั้นการใช้สารกันแดดจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น

การใช้สารที่ช่วยลดการไหม้ของผิวยังสามารถทำได้ด้วยการใช้พวกสาร antioxidant เช่น vitamin c, vitamin e, grape seed extract, pomegranate extract ซึ่งเป็นตัวที่ส่งเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพของตัวกันแดดให้สูงขึ้น

ตามกฎหมาย สารพวกนี้จำเป็นต้องถูก list ไว้ใน Active ingredients ซึ่งแยกต่างหากจาก Inactive ingredients ทำให้สามารถมองหาได้ง่ายค่ะ

Avobenzone (Parsol 1789)
Zinc Oxide
Titanium Dioxide
Mexoryl SX and Mexoryl XL

- UVA เป็นตัวที่เราให้เราแก่ ... แก่แล้วแก่เลยค่ะ
- UVB เป็นตัวที่ทำให้เราดำ ไหม้ ... ไม่กี่วันก็หายดำ

การที่หลายๆ คน กระหน่ำใช้ UVB protection (ดูจากค่า SPF สูงๆ) มันได้แค่ช่วยใหม่เราไม่ดำแค่นั้น ... และ SPF 30 ก็กันแดดได้ทั้งวันแล้ว ... จะใช้สูงกว่าไปทำไม

หันมาใส่ใจการป้องกัน UVA กันดีกว่า ดูที่คำว่า Board-spectrum

Mexoryl ถูกค้นคว้าขึ้นมาโดย L'Oreal เพื่อที่จะทำให้ avobenzone (Parsol 1789) เสถียรค่ะ เจ้าตัว avobenzone เป็นตัว board-spectrum ที่ดีมาก ... แต่ด้วยความที่เจ้าตัวนี้ไม่เสถียรเมื่อถูกรังสี UVA ... พูดง่ายๆ คือมันจะเสื่อมเร็ว ทำให้เราต้องทาบ่อยๆ ... สังเกตุง่ายๆ ว่า นี่เป็นเหตุผลที่เราไม่เคยเห็นครีมกันแดดที่ใช้ Parsol 1789 มีค่า SPF สูงๆ เพราะว่า ... เมื่อถูกแสงแดด สารตัวนี้จะเสื่อม ... ต้องทาซ้ำอยู่ดี (ปกติ avobenzone จะอยู่ได้นานสุดไม่เกิน 5 ชั่วโมง)

Avobenzone หนึ่ง โมเลคุล จะดูดซับ UVA ได้แค่ครั้งเดียว ... ดูดเสร็จก็หมดความหมาย ... นั่งอยู่บนผิวเราเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรค่ะ ... ซึ่งต่างจาก zinc oxide หรือ titanium dioxide ซึ่งสามารถสะท้อน UVA ได้หลายครั้งค่ะ

ต่อ ... ทีนี้เจ้า mexoryl เป็นตัวต่อชีวิตให้ avobenzone ซึ่งถูกผลิตขึ้นมา 2 แบบ คือ SX และ XL ... Mexoryl SX เป็นตัวที่ละลายในน้ำ (water-soluble) ซึ่งเหมาะกับใช้ในกิจวัตรประจำวันทั่วๆ ไปค่ะ ...

- Mexoryl XL เป็นตัวที่ละลายในน้ำมัน (oil-soluble) ซึ่งจะใช้กับตัวที่ water-resistant sunscreen ค่ะ เหงื่อก็ล้างไม่ออก ... ใช้ตอนไปทะเล อะไรพวกนี้ ค่ะ ... ทีนี้พอเจ้าตัว avobenzone ถูกทำให้เสถียรแล้ว (ต่ออายุให้ยาวนานขึ้น) ... เราถึงได้เห็นว่า ... ค่า SPF สามารถไปได้สูงถึง SPF60 ไงคะ

- Mexoryl SX and Mexoryl XL ทั้งสองตัวนี้ยังไม่ผ่านการรับรองจาก FDA (ในสหรัฐ) แต่ว่าเป็นที่ยอมรับในยุโรปแล้ว … Mexoryl จะผ่านการรับรองโดย FDA หรือไม่ก็ต้องรอกันต่อไปค่ะ ตอนนนี้เค้าก็ยังตรวจสอบกันอยู่

Note: FDA = U.S. Food and Drug Administration ค่ะ

Mexoryl ยังไม่ผ่านการรับรอง ... ไม่ได้หมายความว่าไม่รับรองค่ะ ... เค้าบอกว่าอยู่ระหว่างการศึกษาอะไรพวกนี้แหล่ะ ... เท่าที่เค้าใจ FDA ก็เหมือน อ.ย. บ้านเรา ... ก่อนที่เค้าจะให้ อ.ย. เค้าก็ต้องตรวจสอบอะไรหลายๆ อย่าง ผ่านหลายขั้นตอนจนกว่าจะให้ อ.ย. .... และที่มันมีขายอยู่ตามท้องตลาด ... คิดว่าก็คงจะเหมือนเมืองไทย ... สินค้าหลายๆ ไม่มี อ.ย. ก็ยังมีขายให้เกลื่อนและคนก็ยังซื้อกัน

ค่า SPF สูงๆ ก็แสดงว่ากันรังสี UVB ได้นานกว่า (SPF30 ก็กันได้ทั้งวัน) ... อย่าลืมว่า SPF สูงไม่ได้หมายความว่ากันแดดจัดๆ แรงๆ ได้ดีกว่า ... เพียงแต่กันได้นานกว่า ... ลองนับดูก็ได้ ... ตอน spring/summer มีแดดกี่ชั่วโมงต่อวัน ... แดดแรงไม่แรงไม่เกี่ยว

คนผิวขาว(คอเคเชียน) ส่วนใหญ่จะทนแดดได้ประมาณ 10-15 นาที
คนเอเชีย ส่วนใหญ่จะทนแดดได้นานกว่า คือประมาณ 15-20 นาที

SPF30 x 15min = 450 min = 7 ชั่วโมง 30 นาที
SPF60 x 15min = 900 min = 15 ชั่วโมง

ถ้าแดดที่โน่นไม่ยาวนานเกิน 7-8 ชั่วโมง และเราไม่ตากแดดตลอดไม่เกินวันละ 7-8 ชั่วโมง แล้ว แค่ SPF30 ก็พอค่ะ ... ใช้ SPF สูงเกินไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร ... หน้าเราจะต้องรับสารเคมีมากเกินความจำเป็นค่ะ ... อย่างที่บอก SPF กันแค่ UVB ... แค่ทำให้ตัวเราดำเฉยๆ ... ไปเน้นที่ UVA ดีกว่า ... เดี๋ยวแก่เร็ว

PA+ , PA++ , PA+++ เป็นค่าที่กำหนดโดย ... รู้สึกว่าจะเป็น Japanese นะคะ ... ยังไม่ได้รับการยอมรับในระดับสากลและ FDA ค่ะ ... ค่า +++ สูงก็หมายถึงว่ากัน UVA ได้ดีกว่าค่ะ ... PA+++ , PA++ , PA+ ตามลำดับจากกัน UVA ได้มากไปหาหน้อยค่ะ

ส่วนค่า PA+++ เราไม่มีข้อมูลมาก เป็นไปได้ 2 ประเด็น

1. PA+++ กันได้นานกว่า PA+ (แต่ดีเท่ากันทั้งคู่)
2. PA+++ กันได้ดีกว่า PA+

อันนี้ไม่แน่ใจเพราะไม่มีข้อมูลมากพอ ... แต่จะให้มั่นใจ เลือก PA+++ ก็จะดีกว่า PA+ ... ถ้าจะให้แนะนำ ... เลือก SPF 30, PA+++ น่าจะดีที่สุด สำหรับตอนนี้

Mexoryl ก็ยังไม่มีหน่วยมาตรฐานวัดอยู่ดีว่ากัน UVA ได้มากน้อยแค่ไหน ... ตามความคิดของเรา ... เราก็ assume ไปก่อนว่า ... ปริมาณ Mexoryl สูงๆ ก็จะกัน UVA ได้ดีกว่า