3..
หลังจากความรักความผูกพันของ ซุกยอง และ จุงอิน ก่อตัวมากขึ้นจนต่างคนเริ่มเผยความในใจออกมา สถานการณ์ทางการเมืองก็บีบบังคับให้นักศึกษาต้องกลับกรุงโซล ซุกยอง ชักจูงโน้มน้าวให้ จุงอิน เดินทางกลับไปพร้อมกับเขาด้วย ซึ่งฝ่ายหญิงก็ตัดสินใจ ตกลงอย่างง่ายดาย (นั่นอาจเป็นเพราะเธออยู่ตัวคนเดียวในหมู่บ้าน และห้องสมุดสถานที่ทำงานของเธอก็ถูกไฟไหม้ไปแล้ว) แต่นั่นก็กลายเป็นจุดหักเหชีวิตคนทั้งคู่ในเวลาต่อมา
เมื่อครึ่งหลังของหนังเดินทางมาถึง เรื่องราวทั้งหมดก็กลับตาลปัตร บีบคั้นอารมณ์ราวกับเป็นหนังคนละเรื่อง ขณะที่ทั้งคู่ยังไม่ทันได้สัมผัสชีวิตคู่อันหวานซึ้งตามแบบฉบับคนหนุ่มสาวกลางเมืองใหญ่ สถานการณ์ประท้วงที่รุนแรง ก็นำพาให้ทั้งสองต้องติดร่างแหถูกจับกุมด้วยข้อกล่าวหาเป็น คอมมิวนิสต์ ก่อนที่ทั้งคู่จะได้รับการช่วยเหลือจากพ่อของ ซุกยอง โดยแลกกับการที่ ซุกยอง ต้องยอมโกหกต่อหน้า จุงอิน ว่าเขาไม่เคยรู้จัก และไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน ขณะที่ จุงอิน ก็ยอมเอ่ยปากว่าไม่เคยรู้จักเขาด้วยเช่นกัน หลังพ้นการถูกจองจำออกมา เมื่อ ซุกยอง กำลังจะพา จุงอิน หลบหนีเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองไปยังจุดหมายที่ไหนซักแห่ง จุงอิน ก็ตัดสินใจผละหนีจาก ซุกยอง ไป และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่คนทั้งสองได้พบกัน โดยปราศจากคำเอ่ยลาใดๆ
4..
ONCE IN A SUMMER เป็นหนังรักสะเทือนอารมณ์ ที่อาจยังไม่เลิศเลอ ถึงพร้อมที่จะทำให้เราต้องหลั่งน้ำตาไปกับชะตากรรมของตัวละครหนุ่มสาวได้ โดยเฉพาะในส่วนแรกของหนัง ที่พยายามถักทอ บอกเล่าความผูกพันของคนทั้งคู่ที่กลับกลายเป็นจุดด้อย ซึ่งแม้จะกินเวลายาวนานเกินครึ่งของความยาวหนัง แต่สัมพันธภาพระหว่าง ซุกยอง และ จุงอิน ก็ดูหลักลอย เรียบเรื่อย ไม่มีอะไรเด่นชัด (ช่วงเวลาที่ทั้งคู่รู้จักกันกินเวลาไม่กี่อาทิตย์) และแทบไม่มีเหตุการณ์สะเทือนอารมณ์ใดๆ สอดแทรกเข้ามาเป็นบททดสอบจิตใจของทั้งสอง เราจึงไม่อาจเชื่อได้ว่าความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นระหว่างคนทั้งสองคือ รักแท้ ไปได้ ส่วนตัวละครแวดล้อมอื่นๆ ของเรื่องก็ดูแบนราบไม่น่าจดจำ จนแทบไม่มีส่วนสำคัญใดๆ กับเรื่องราว และด้วยความรักของทั้งคู่ที่ดูไม่น่าเชื่อถือนี้เอง เมื่อฉากแห่งการพลัดพรากของทั้งสองมาถึง มันจึงไม่อาจดึงอารมณ์คนดูให้มีส่วนร่วมในความปวดร้าวไปด้วยได้เลย รวมทั้งยังไม่อาจเชื่อด้วยว่าช่วงเวลายาวนานที่เหลือในชีวิต ทั้งคู่จะฝังใจกับ รักแรก ของกันและกันจนยอมทนเดียวดาย โดยไม่คิดมีรักครั้งใหม่ไปได้
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่เห็นได้เด่นชัดใน ONCE IN A SUMMER ก็คือ ความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวของหัวจิตหัวใจผู้หญิง ซึ่งดูจะมีมากมายกว่าฝ่ายชายหลายเท่านัก ยามที่ต้องเผชิญสถานการณ์สำคัญที่ต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง ที่ต้องเปลี่ยนชีวิตของตัวเองไปตลอด ผมคิดว่าการกระทำของ จุงอิน นั้นน่าจะเป็นตัวแทนของผู้หญิงทั้งหลายได้ในระดับหนึ่งเช่นกัน
ไล่ตั้งแต่การที่เธอตัดสินใจที่จะไป โซล กับ ซุกยอง ทั้งๆ ที่ไม่มีสิ่งใดรับประกันอนาคตของเธอแม้แต่น้อย หรือฉากไคลแม็กซ์ ของหนัง ที่ทั้งคู่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐผู้เถื่อนถ่อย บังคับบีบคั้นให้สารภาพความผิดว่ามีส่วนร่วมในการต่อต้านรัฐบาล เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หากการเอ่ยปากของ ซุกยอง ว่าไม่เคยรู้จัก จุงอิน นั้นคือการกระทำเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากข้อกล่าวหา (ซึ่งนั่นดูเหมือนจะเป็น ตราบาป ที่ติดตัวเขาไปตลอดชีวิต) การที่ จุงอิน ตัดสินใจเอ่ยปากว่าไม่รู้จัก ซุกยอง ย่อมเป็นการกระทำเพื่อปกป้องชายหนุ่มที่เธอรัก ให้รอดพ้นจากอันตรายนั่นเอง
และเมื่อทั้งคู่รอดพ้นจากการคุมขังออกมา และกำลังจะหนีไปอยู่ยังชนบทห่างไกลด้วยกัน เมื่อสถานการณ์แวดล้อมทวีความเลวร้ายเกินกว่าทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันได้ จุงอิน ก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายไปจากชีวิตของ ซุกยอง นี่เป็นการตัดสินใจที่เข้มแข็งที่สุดของ จุงอิน แล้ว เพราะแน่นอนว่าปรารถนาในส่วนลึกของเธอย่อมต้องการจะอยู่ร่วมกับ ซุกยอง ชายที่ตนรักอย่างไม่มีข้อสงสัย แต่เมื่อการกระทำเช่นนั้นอาจมีผลร้ายตามมาอย่างหนักหน่วง จุงอิน ซึ่งมีสถานภาพเป็น ลูกสาวคอมมิวนิสต์ จึงเลือกที่จะจากไปเพื่อให้ชีวิตของ ซุกยอง มีสวัสดิภาพ และมีอนาคตที่ดีกว่า
5..
นี่คือการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เด็ดเดี่ยวของ จุงอิน เธอเลือกที่จะอยู่กับความทรงจำดีๆ ของความรักไปตลอดชีวิต นี่คือการเสียสละครั้งใหญ่ จนทำให้เราคิดกลับไปว่าหากตัวเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์บีบคั้นรุนแรงเช่นเดียวกับเธอแล้ว เราจะมีหัวจิตหัวใจที่หาญกล้าพอที่จะทำเช่นนั้นได้หรือไม่ ถึงตอนนี้ผมเองก็ไม่อาจตอบได้จริงๆ..
มันอาจเป็นเพียงประโยคในอุดมคติที่แสนสวย หากมีใครซักคนบอกเราว่า ความรัก คือเรื่องราวที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจคนสองคน ที่อยู่เหนือทั้งเหตุผล และไม่อาจมีอุปสรรคใดๆ ทั้งปวงจะมาขัดขวาง
นั่นเพราะในโลกความเป็นจริง บ่อยครั้งที่หัวใจของคนคู่หนึ่ง มักมีตัวแปร ปัจจัยมากมาย ที่มีอิทธิพลมากพอจะทำให้ความรักที่สวยงามของคนทั้งคู่ไม่อาจสมหวังได้
แต่ ONCE IN A SUMMER ก็บอกกับเราว่า ที่สุดแล้ว แม้ความรักไม่อาจมีพลังพอให้คนคู่หนึ่งได้ใช้ชีวิตอยู่คู่กันได้ แต่การที่หนึ่งชีวิตของเรา ได้มีความทรงจำอันงดงามต่อใครซักคน ซึ่งจะติดตรึงในใจเราไปตลอดชีวิตนั้น ก็เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดแล้วมิใช่หรือ ?