Mr.Pos : The Thinking & Learning in My Life
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2556
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
25 สิงหาคม 2556
 
All Blogs
 
‘ฟรานซิสโก ปีซาร์โร่’ : ปีศาจร้าย แห่งยุคล่าอาณานิคม

 

‘ฟรานซิสโก ปีซาร์โร่’ : Francisco Pizarro

ปีศาจร้าย แห่งยุคล่าอาณานิคม

 

 

ความในใจของผู้เขียน :

 

                เผอิญว่าช่วงนี้ ผู้เขียน กำลังเพลิดเพลิน ติดพันอยู่กับการอ่านหนังสือเล่มโตๆ เรื่อง ‘ประวัติศาสตร์อเมริกา’ History of The United States ที่เรียบเรียงขึ้นโดย ‘.อนันตชัย จินดาวัฒน์’ ของ ‘สำนักพิมพ์ยิปซี’ อยู่ครับ หนังสือเล่มนี้สร้างคุณค่า ให้ความเพลิดเพลินอย่างมากล้น เพราะตัวเอง กำลังตื่นเต้นกับการเดินทางย้อนอดีต ไปพบเห็นเรื่องราวหลากมุมต่างๆ ของ แผ่นดินอเมริกาอยู่นั่นเอง อีกทั้งประวัติศาสตร์ช่วงแรกๆ ของ ทวีปอเมริกา ยังเกี่ยวพันกับ นักเดินเรือระบือนามชาวยุโรป มากหน้าหลายตา ที่ทำให้คนยุโรปสมัยนั้น ที่เคยเชื่อว่า โลกเล็กนิดเดียว และ ยุโรป ก็ยังเป็นทวีปศูนย์กลางอีก ได้รู้ว่ายังมีแผ่นดินขนาดมหึมา และมีชนผิวสีอื่น อยู่มาเก่าก่อนพวกเขาตั้งนาน และประวัติศาสตร์ยุคแสวงหาแผ่นดินใหม่ ก็ทำให้ชื่อของ นักผจญภัยผู้เหี้ยมอำมหิตอย่าง ฟรานซิสโก ปีซาร์โร่ กลับมาอยู่ในความสนใจของ ผู้เขียน อีกครั้ง

 

นี่แหละครับ เลยขอถือโอกาส ฉวยคว้าเอาข้อมูลที่ตัวเองได้อ่าน ได้ผ่านพบ มาเขียนเรียบเรียงใหม่แบบสนุกๆ ตามความคิด ตามสำนวนของตัวเอง ก็เท่านั้นเองครับ   

 

 

--------------------------------------------------------------

 

 

1..

 

                ‘ความโลภ อยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด’ นับเป็นเชื้อร้าย ที่ทำลายความสงบสุขในสังคมมนุษย์เรา ให้พินาศยับมานักต่อนัก แต่ครั้งโบราณโน่นแล้วนะครับ ยิ่งถ้าความใคร่ปรารถนาในทรัพย์สมบัติผู้อื่น ปราศจากศีลธรรม ความรู้สึกผิดชอบทางมนุษยธรรม มาคอยกำกับจิตใจ เกิดขึ้นกับผู้มีอำนาจ มีกำลังเหนือกว่าผู้อื่นแล้ว ความพินาศ ก็ย่อมบังเกิดง่ายดายขึ้นไปอีก ดังเช่นประวัติศาสตร์ในยุคแสวงหาของชาวยุโรป ที่กระทำต่อ ชนพื้นเมืองในอเมริกา นั่นเอง

 

                เรารู้ว่า ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษ ที่ 15 คือ ค..1492 เป็นปีที่ ‘คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส’ ยอดนักเดินเรือชาวเมืองเจนัว อิตาลี ได้สร้างภารกิจยิ่งใหญ่ในนามราชบัลลังก์สเปน ออกเดินเรือสำรวจโลกใหม่ จนค้นพบ ‘ทวีปอเมริกา’ ที่เขาเข้าใจผิดๆ ว่าเป็น ‘เอเชีย’ การบุกเบิกเปิดแผ่นดินใหม่ของ โคลัมบัส ทำให้ชาวยุโรปที่สูงล้ำด้วยอารยะธรรม กระจ่างรู้ว่าโลกใบนี้ ยังมีอีกซีกส่วนทวีป ที่ถูกคั่นกลางด้วย ‘มหาสมุทรแอตแลนติก’ ที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน

 

                การเดินทางด้วย ‘เรือซานตา มาเรีย’ เที่ยวนั้นของ โคลัมบัส ได้สร้างคุณูปการต่อการขยับขยายอิทธิพลทางการปกครองของจักรวรรดิสเปน ออกไปอย่างมาก ซึ่งเวลานั้น สเปน กำลังขับเคี่ยวอิทธิพลทางทะเลกับ โปรตุเกส อย่างบ้าคลั่ง หลังจากยุค โคลัมบัส แล้ว นักผจญภัย นักเดินเรือ นักแสวงโชค รุ่นแล้วรุ่นเล่า ก็ทยอยเดินตามความสำเร็จ ด้วยการรอนแรมไปขึ้นฝั่งบนแผ่นดินอเมริกากลาง อเมริกาใต้ ไปจนถึงอเมริกาเหนือ เพื่อประกาศการยึดครอง ก่อนจะค่อยๆ เดินทางผจญภัยลึกเข้าไปยังกลางทวีป บ้างก็หวังที่จะค้นหาเส้นทางข้ามไปให้ถึงเอเชีย จีน ญี่ปุ่นให้ได้ แต่ทั้งหมดทั้งปวงแล้ว พวกสเปนนั้น ต่างก็หน้ามืดตามัว อยากจะครอบครองทรัพย์สมบัติมหาศาล ทองคำ และเงิน ของชาวพื้นเมืองในดินแดนใหม่ กันอย่างถ้วนหน้านั่นเอง ช่วงเวลานี้แหละครับ ที่ทำให้เรารู้จักนักบุกเบิก นักผจญภัยที่ชื่อ ‘ฟรานซิสโก ปีซาร์โร่’ บุคคลที่ว่ากันว่ามีพฤติกรรมน่ารังเกียจ และน่าประณามมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว

 

2..

 

                ปีซาร์โร่ มีฐานะเป็นเพื่อนคนหนึ่งของ ‘วาสโก เดอ บัลบัว’ นักสำรวจชาวสเปน ผู้ค้นพบเส้นทางสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งหลังจาก ปีซาร์โร่ ได้ตามรอยทางความสำเร็จของเหล่านักบุกเบิกร่วมชาติ ไปตั้งมั่นอยู่ ณ แผ่นดินปานามา ในปัจจุบันแล้ว ความโลภ ในคำร่ำลือของ ขุมทรัพย์ทองคำ และเงิน ในดินแดนตอนใต้ของอเมริกา ของ ‘นครคูซโค’ แห่ง ‘อาณาจักรอินคา’ ก็ทำให้เขาออกตามล่าหาขุมทองคำ อย่างไม่รีรอ (นั่นแสดงว่า ทองคำ เป็นวัตถุที่ผู้คน ต่างให้ค่าให้ราคาที่สูงลิ่ว มาตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว)

 

หนังสือประวัติศาสตร์หลายเล่มบันทึกพฤติกรรม ของ ปีซาร์โร่ ที่ผมคิดว่านี่เป็น ‘ความโฉด’ แห่งยุคสมัยได้อย่างชัดเจน ใน ค.. 1532 ปีซาร์โร่ ได้นำไพร่พลทหารกลุ่มหนึ่ง เดินทางข้ามทะเล มหาสมุทร จนเข้าไปถึงอาณาจักรของ ชนเผ่าอินคา ซึ่งกินอาณาบริเวณที่ราบสูงแอนดีส คือ ประเทศเอกวาดอร์ เปรู และโบลิเวีย ในปัจจุบัน  

 

เผอิญว่าเวลานั้น อาณาจักรอินคากำลังตกอยู่ในความวุ่นอลหม่าน จากสงครามกลางเมือง แย่งชิงอำนาจ ระหว่างฮัวสการ์ รัชทายาท กับ อะตาฮวลปา ผู้ครองดินแดนตอนเหนือ สงครามนี้กินเวลายาวนาน 3 ปี จนมีผู้คนล้มตายเป็นเรือนแสน นี่จึงกลายเป็น เหลี่ยมเล่ห์ ที่ ปิซาร์โร่ และพลพรรคใช้วางแผนอย่างซับซ้อน โดยเขาได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ อะตาฮวลปา  ปราบปรามศัตรู กลุ่มอำนาจต่างๆ ลง จนอาณาจักรกลับมาสงบอีกครั้ง ด้วยชัยชนะของกษัตริย์อะตาฮวลปา แต่นี่ก็เป็นเวลาเริ่มต้นของความอ่อนแอ แตกแยก และนำจุดจบมาสู่อาณาจักรอินคา ในที่สุดครับ

 

 

3..

 

หลังจากอำพรางตนเป็น พันธมิตรปลอมๆ กับ องค์กษัตริย์มาตั้งแต่ต้น ปีซาร์โร่ ก็เผยตัว แสดงธาตุแท้ตัวตนจริงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ปีซาร์โร่ เริ่มใช้อาวุธทันสมัย และสูงอานุภาพเข้าปราบปราม ชาวอินคา อย่างเหี้ยมโหด และไม่แน่ใจว่านี่จะเรียกเป็น ‘พฤติกรรมโจร’ ได้หรือไม่ เพราะ ปีซาร์โร่ ได้จับกุมตัว กษัตริย์อะตาฮวลปา เพื่อเรียกค่าไถ่ในราคาสูงลิบ ประวัติศาสตร์บอกว่าแผนชั่วของ ปีซาร์โร่ ประสบผลสำเร็จง่ายดาย เพราะชาวอินคาต่างพร้อมใจกันนำทรัพย์สมบัติ เงิน ทองคำ มากมายหลายตัน ที่รวบรวมจากทั่วอาณาจักร มามอบกองให้ เพื่อแลกกับชีวิต และอิสรภาพ ของกษัตริย์พวกเขา นี่อาจเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่กี่ครั้งมั้งครับในประวัติศาสตร์โลก ที่บันทึกว่า ชาวยุโรปผิวขาว ได้จับตัวกษัตริย์ของชนพื้นเมืองเป็นตัวประกัน เพื่อเรียกค่าไถ่ !!

 

แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการครับ หลังจาก ปิซาร์โร่ ได้ทรัพย์สมบัติมหาศาลสมใจแล้ว เขาเองกลับ ตระบัดสัตย์ ที่จะไว้ชีวิต กษัตริย์ชาวอินคา เขาจัดการพิพากษา กษัตริย์อะตาฮวลปา ด้วยการแขวนคอประหารทันที เพียงเพราะข้ออ้างข้อหา ที่ กษัตริย์อินคา ไม่ยอมรับเข้าใจ และศรัทธาในพระเจ้าของชาวคริสเตียน และเหตุการณ์ถัดจากนี้ ก็เดาได้ง่ายๆ เลยล่ะครับ เพราะ ปิซาร์โร่ ได้นำกำลังทหาร เข้าปล้นสะดม เผา ทำลาย นครคูซโก ตามชอบใจ และเข้ายึดครองอาณาจักรอินคา ในที่สุด ก่อนที่ในปี ค.. 1535 ปีซาร์โร่ จะตั้ง ‘กรุงลิมา’ ขึ้นเป็นเมืองหลวงแทนที่ นครคูซโก ซึ่งทำให้ อาณาจักรอินคา หรือ เปรูในปัจจุบัน ตกเป็นอาณานิคมของสเปนโดยสมบูรณ์

 

ซึ่งว่ากันว่า กองเรือของสเปนเวลานั้น แทบไม่ต้องออกเรือเพื่อรบทัพจับศึกอะไรเลย แต่ออกแล่นเรือไปยัง หมู่เกาะอินดีสตะวันตก หรืออเมริกาใต้ เที่ยวแล้วเที่ยวเล่าเพื่อขน โกย ทองคำ และเงินกลับมายังแผ่นดินสเปน จนสร้างความร่ำรวยให้กับราชสำนัก เหล่าขุนนาง ผู้ดี ชนชั้นสูงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ก็คงเรียกได้ว่า เป็นอีกรอยแผลทางประวัติศาสตร์ที่ ชาวยุโรป ได้สร้างความร่ำรวย จากการกดขี่รุกรานชนชาติอื่นอย่างน่าเจ็บปวดขื่นขมที่สุด

 

 

 

4..

 

ได้ยิน..ได้อ่าน รับรู้ประวัติศาสตร์การพบโลกใหม่ ในช่วงนี้ก็ต้องเศร้าใจไม่น้อย เพราะการเผชิญหน้า พบปะระหว่าง คนขาวผู้เจริญแล้วกลุ่มแรกๆ อย่างชาวสเปน กับ ชนพื้นเมืองอินเดียน ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถที่จะพูดจา อยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ระหว่าง เจ้าของแผ่นดินเดิม กับ ผู้มาเยือน อีกทั้งเพราะความเชื่อของ คนผิวขาว ที่ว่า ชนเผ่าพันธุ์อื่นๆ ที่ยังไม่ได้ยอมรับนับถือพระเจ้า ก็เปรียบได้ดัง ‘คนบาป คนเถื่อน’ เป็นพวกนอกรีต หรือเป็นสัตว์ร้ายที่ต้องกำจัด สังหารเสียให้สิ้น นั่นจึงเกิดโศกนาฏกรรมสุดเหี้ยมเกรียมในประวัติศาสตร์ ที่ชาวสเปน ผู้เรียกตัวเองว่าเจริญแล้ว บุกรุกคุกคาม เข่นฆ่าชาวพื้นเมืองใน อเมริกา ชนิดที่ว่าแทบจะทุกที่ที่เขาย่างเท้าไปถึง ก็หมายถึง หายนะ ของเจ้าของแผ่นดินนั่นเองครับ

 

สิ่งซึ่งน่าสลดหดหู่มากขึ้นไปอีกก็คือว่า การเข้าไปใช้ชีวิต ตั้งรกรากของชาวสเปน ยุคแรกๆ ในทวีปอเมริกา พวกเขาสามารถอยู่รอดปลอดภัยได้ เพราะมีตัวช่วยหลักอย่างชาวอินเดียน นี่แหละ ชาวอินเดียนพื้นเมือง คอยต้อนรับขับสู้พวกเขาด้วยท่าทีเป็นมิตร หยิบยื่นแบ่งปันอาหารให้ สอนการปรับตัวใช้ชีวิต สอนวัฒนธรรมการดำรงอยู่ในด้านต่างๆ ให้กับพวกเขา แต่ความโลภ ไม่สิ้นสุดของ พวกสเปน ก็ทำให้พวกเขาไม่ได้มีสำนึกในบุญคุณของชาวพื้นเมืองแต่อย่างใดเลย ต้องเรียกว่า ฆ่าได้ ทรยศได้ แม้กระทั่ง เจ้าของบ้านผู้ให้น้ำ อาหาร ที่พักพิงบังแดดบังฝนแก่ตัวเอง นั่นแหละครับ ถ้าใช้มาตรฐานสมัยนี้วัด ก็ต้องบอกว่า บุคคลอย่าง ปีซาร์โร่ นั้นอยู่ในเฉดสีดำสนิททีเดียว เป็นตัวอย่างบุคคลประเภท ‘กินบนเรือนขี้บนหลังคา’  เลวไม่มีที่ติ และโลกก็ได้รับรู้ชื่อของเขาว่า เป็นบุคคลผู้หยิบยื่น ความพินาศสิ้นสุดให้กับ อาณาจักรอินคา อันยิ่งใหญ่เพียงชั่วพริบตา !!

 

อ้อ ! เกือบลืมไปว่าชีวิตช่วงสุดท้ายของ ปีซาร์โร่ หลังจากเขาทำการพิชิต อาณาจักรอินคา ลงอย่างราบคาบแล้ว เขาเองกลับไม่ได้เสวยสุขอยู่ใน ปราสาทราชวัง หรือ คฤหาสน์หลังงาม ท่ามกลางกองเงินกองทอง จนแก่เฒ่าแต่อย่างใดหรอกนะครับ เพราะหลังจากยึดบ้าน ปล้นเมืองเขามาได้แล้ว พวกสเปนกันเองนี่แหละ ก็เกิดความขัดแย้ง งัดข้อทางอำนาจ กันเองพัลวัน จนมีกลุ่มอำนาจใหม่ๆ ลุกขึ้นมาท้าทายกันอีกอย่างฝุ่นตลบ และ ปีซาร์โร่ ก็จบชีวิตลง ด้วยน้ำมือทหารสเปนอีกฝ่าย ที่ลอบสังหารเขากลางเมืองลิมา ในวันที่ 26 กรกฎาคม 1541หรือเพียง 6 ปีให้หลัง ที่เขาสถาปนาเมืองหลวงนี้ขึ้นมานั่นเอง

 

 

------------------------------------------------------------------

 

 

                การก้าวเดินไปถึงอำนาจ ความมั่งคั่ง จุดสำเร็จสูงสุดในชีวิตของ ปีซาร์โร่ กล่าวได้ว่าเต็มไปด้วย ซากศพ กลิ่นเลือด การทรยศหักหลัง และการสังเวยชีวิตของผู้คนบริสุทธิ์จำนวนมาก กระทั่งว่ากันถึงขนาด เมื่อเขาอำลาโลกไปแล้ว เขาก็ถูกตราสถานะเป็น ‘วิญญาณบาป’ เป็นศพที่ไม่ได้รับการประกอบพิธีทางศาสนาแต่อย่างใด

 

                ความยิ่งใหญ่ ทะเยอทะยานของบุรุษผู้หนึ่ง เมื่อครั้งยังมีชีวิตบนโลก จะฝากให้ผู้คนรุ่นหลัง เลือกจดจำว่ามีสถานะเป็น ‘วีรบุรุษ’ หรือ ‘ซาตานร้าย’ ก็ย่อมอยู่ที่การกระทำของคนผู้นั้นนั่นเองครับ.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

           

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 25 สิงหาคม 2556
Last Update : 25 สิงหาคม 2556 15:32:30 น. 3 comments
Counter : 4845 Pageviews.

 
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะคะ
เคยได้ยินชื่อค่ะ
แต่ไม่เคยหาข้อมูลเลย



โดย: lovereason วันที่: 25 สิงหาคม 2556 เวลา:23:41:46 น.  

 
พวกเขาฆ่ากันจนได้ที่ ผลัดกันกระทำต่อกันในแต่ละยุคสมัยที่ผ่านมา แล้วถึงทีฝรั่งมา ได้ฆ่าบ้าง มาเพื่อต้อน(ใช่..ต้อน)ให้เข้าสู่ยุคแห่งสมัยโลกใหม่ โลกของฝรั่ง นำคริสต์ศักราชใช่ค่อนโลก แผ่ศาสนาใหม่ให้แก่ข้าทาสบริวารใหม่ ผิดอะไรกับการฆ่าสังเวยบูชาผีสาง และผู้พิชิตก็ต้องยึดทุกอย่างที่ต้องการ ทรมานเข่นฆ่าเพื่อหาให้ได้มากขึ้น ผิดกันตรงไหน พวกอินเดียนที่ไม่ใช่อินคาก็ชื่นชอบ ที่ได้รับใช้เจ้านายคนใหม่


โดย: ก็ดีแล้ว IP: 101.109.122.80 วันที่: 28 กันยายน 2556 เวลา:12:03:54 น.  

 


ขอบคุณมากค่ะสำหรับเรื่องราวในยุคล่าอาณานิคม


โดย: ~My Birthday is on April 14~ วันที่: 31 ตุลาคม 2556 เวลา:16:26:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

โปสการ์ดราดซอส
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add โปสการ์ดราดซอส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.