Mr.Pos : The Thinking & Learning in My Life
Group Blog
 
<<
กันยายน 2556
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
7 กันยายน 2556
 
All Blogs
 
APOCALYPTO ชายหนุ่มแซ่ลี้ และวิถีคนกล้า

 

APOCALYPTO ชายหนุ่มแซ่ลี้ และวิถีคนกล้า

 

 

                หลังจากชม ‘APOCALYPTO’ หนังโปรเจ็คมหึมาว่าด้วยตำนานชนเผ่าโบราณแถบอเมริกากลาง ที่ตัวละครพูดจาภาษาพื้นเมืองตลอดเรื่อง ของผู้กำกับ ‘เมล กิ๊บสัน’ จบลง ภาพอันลางเลือนของหนังไทย 2 เรื่องที่ออกฉาย เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว คือ ‘วิถีคนกล้า’ หนังว่าด้วยเรื่องราวชนเผ่าบนดอยสูง และ ‘คนแซ่ลี้’ หนังแอ็คชั่นไล่ล่า ที่มีเนื้อหาเสียดสีระบบราชการ ก็เริ่มแจ่มชัดในความทรงจำผมอีกครั้ง

 

                นั่นอาจเพราะตัวเอกจากหนังทั้ง 3 เรื่อง ชายหนุ่มมายัน ใน APOCALYPTO ‘จ่อปา’ นักรบดอยสูงใน วิถีคนกล้า และ ‘ข้าราชการตงฉิน’ ผู้หนีตายจากอำนาจเถื่อนใน คนแซ่ลี้ ต่างก็มีความรู้สึกนึกคิด และชะตากรรมบางอย่างมาพ้องพานกันโดยมิได้นัดหมายนั่นเอง..

 

                หากใครยังไม่ได้ชม APOCALYPTO ก็ขอให้ความกระจ่างไว้ที่นี้ว่า หนังตำนานชนเผ่าโบราณเรื่องนี้ หาใช่ภาพยนตร์มหากาพย์สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ประเภทแย่งชิงความเป็นใหญ่ ที่ทุ่มทุนสร้างตระการตาชนิดที่มีฉากสงครามโรมรันดุดันหยดย้อยดังเช่น 300 , Troy หรือ Kingdom of Heaven อย่างที่เราคิดไว้แต่อย่างใด (แม้หน้าหนังจะชวนให้เราคิดเช่นนั้นก็ตาม) จริงอยู่ที่ เมล กิ๊บสัน เลือกจะหยิบจับตำนานของ ‘ชนเผ่ามายา’ ที่ดูจะมีขอบเขตการเล่าเรื่องอันใหญ่โตมหึมามาสร้าง หากแต่เรื่องราวที่ถูกบรรจุลงไปในหนังนั้น เมล กลับเลือกที่จะถ่ายทอดอย่างแคบจำกัด โดยถูกบอกเล่าผ่านสายตาของ ชายหนุ่มธรรมดา คนหนึ่งเท่านั้น..

 

                ใครที่เคยผ่านตาผลงานกำกับของ เมล อย่าง The Passion of the Christ (2004) มาแล้ว จะเห็นว่า เมล เลือกช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อน พระเยซูคริสต์ จะถูกตรึงกางเขนมาถ่ายทอดอย่างตรงไปตรงมา สมจริง และเปี่ยมด้วยพลัง นั่นจึงพอทำให้เราเห็นสไตล์การทำหนังในแบบฉบับของพระเอกคนดังว่า เขาถนัดที่จะเล่าเรื่องราวอันใหญ่โต โดยเลือกจะหยิบจับเพียงบางส่วนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวละครมาถ่ายทอดเท่านั้น โดยไม่จำเป็นต้องพร่ำพรรณนา หรือให้ความกระจ่างใดๆ ต่อเหตุการณ์ภาพรวมมากมายนัก..

 

 

         ใน APOCALYPTO หนุ่มมายันตัวเอกของเรื่อง เปรียบเสมือน มัคคุเทศก์ท้องถิ่น ที่พาคนดูย่ำตระเวนไปในดินแดนลี้ลับมายา ความรู้สึกของเราไม่ต่างจากการได้เกาะติดตัวละครตลอดเวลา ซึ่งเมื่อเขาเผชิญหน้า หรือตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร เราก็ได้สัมผัสรับรู้ไปพร้อมๆ กับเขาด้วย ไม่ต่างอะไรจากที่เราเคยเฝ้ามองชะตากรรมอันโหดร้ายที่ พระเยซูคริสต์ ได้รับมาแล้ว ถึงกระนั้น หนุ่มมายัน ผู้นี้ก็หาใช่วีรบุรุษ หรือ นักรบกล้าแกร่งเฉกเช่นหนังมหากาพย์สงครามทั่วไป เพราะตลอดเวลา หนุ่มมายัน เป็นเพียงฝ่ายถูกกระทำจากผู้มีอำนาจเหนือกว่าเขา ที่เข้ามาคุกคาม ฉุดลักพาอิสรภาพที่เคยมีในตัวเขา และคนรอบข้างไปหมดสิ้น ก่อนจะยัดเยียดสถานะ เชลย ให้แทนที่

 

                เมล เลือกเปิดฉาก APOCALYPTO ตามถนัดโดยไม่บอกกล่าวเล่าความปูมหลังตัวละคร ว่าเป็นใครมาจากไหน ดำรงชีวิต ณ ซีกโลกใด ยุคสมัยใดในประวัติศาสตร์ แต่เราก็รับรู้คร่าวๆ แล้วผ่านสื่อต่างๆ (เหตุการณ์ในหนังเกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศักราชที่ 250 – 900 ทางตอนใต้ของเม็กซิโก) โดยหนังเปิดตัว ‘จากัวร์ พาว’ หนุ่มเชื้อสายมายัน พร้อมตัวละครรอบข้างซึ่งเป็นญาติมิตร ครอบครัว และคนรักของเขา ซึ่งดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์ เก็บของป่า ชุมชนพวกเขาตั้งในป่าดิบดงทึบที่แวดล้อมด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด (แต่นั่นก็ยังไม่ร้ายเท่ามนุษย์ด้วยกัน)     

               แบบแผนการดำรงอยู่ของชาวชุมชนยังค่อนข้างไร้อารยธรรมอยู่มาก การนุ่งห่มปราศจากเสื้อผ้าอาภรณ์มิดชิด บ้านเรือนคล้ายเป็นแบบชั่วคราวที่เห็นแล้วไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่ แต่พวกเขาก็ดูมีความสุขตามประสา..  แต่แล้วลางสังหรณ์บางอย่างเกี่ยวกับจุดจบของ ชุมชนกลางป่า ก็คืบคลานมาใกล้ จากัวร์ และผองเพื่อน ได้พบคนอีกกลุ่มที่กำลังอพยพหนีความหวาดกลัวบางอย่างที่ตอบไม่ได้ แต่เราก็ล่วงรู้ความรู้สึกนั้นจากสีหน้า และแววตาพวกเขา

 

                หนังบอกเล่าช่วงเวลาสุขสันต์ของชาวชุมชนเพียงชั่วข้ามคืน ซึ่งพวกเขามานั่งล้อมวงฟังตำนานชนเผ่าจากปากผู้เฒ่า ก่อนจะเต้นรำร่วมกัน จนเช้าตรู่แสนสงบของวันถัดมามาถึง ขณะที่ชาวชุมชนยังคงหลับใหล ชุมชนกลางป่าก็ถึงวาระพินาศย่อยยับด้วยการคุกคามอย่างป่าเถื่อนของ กลุ่มคนผู้มีอำนาจแห่งอาณาจักร (การมาเยือนของพวกมันไม่ต่างอะไรจากการมาถึงอย่างเงียบเชียบของ คลื่นยักษ์สึนามิ) ที่รุกล้ำเข้ามาด้วยอาวุธครบมือ แล้วกวาดต้อนชาวหมู่บ้านทั้งชายหญิงไปเป็นเชลย เหลือไว้เพียงเด็กเล็กแดง ซึ่งแน่นอนว่า จากัวร์ มัคคุเทศก์ของเราก็ถูกจับไปด้วย คนดูอย่างเราจึงพลอยติดร่างแหชะตากรรมโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ก่อนที่คนกลุ่มนี้จะทำลายชุมชนทิ้งด้วยเปลวเพลิง..

 

 

              ตอนนั้นคงไม่มีใครรู้หรอกครับว่าพวกเขาถูกจับไปด้วยฐานความผิดใด และจุดหมายปลายทางของพวกเขาอยู่ ณ ที่ใดกัน จนกระทั่ง จากัวร์ และมิตรสหายผู้เคราะห์ร้าย ถูกนำพาไปจนถึงใกลางอาณาจักร ฉากนี้เองน่าจะเป็นฉากใหญ่อลังการที่สุดเพียงฉากเดียวของหนังซึ่งทำให้เราเห็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นอาณาจักรมายาได้ชัดเจนที่สุด โดยเฉพาะสิ่งก่อสร้างที่เป็น ‘พิรามิดขั้นบันได’ ที่ตั้งตระหง่านไปทั่ว ส่วนเบื้องล่างก็เต็มไปด้วยชาวประชาที่มารวมตัวแน่นขนัด ราวกับกำลังรอคอยปรากฏการณ์สำคัญบางอย่าง

              ถึงเวลานี้ทั้งคนดู และตัวละครในเรื่องก็รับรู้ได้ทันทีว่าสาเหตุที่พวกเขาถูกจับมาก็เพื่อใช้เป็นเครื่องพลีสังเวยบูชายัญต่อเทพเจ้า ตามความเชื่อของอาณาจักรนั่นเอง เหยื่อเคราะห์ร้ายแต่ละคน รวมทั้ง จากัวร์ ล้วนถูกละเลงกายด้วยสีฟ้าไปทั่วร่าง คล้ายเป็นสัญลักษณ์ว่าพวกแกนี่แหละต้องยอมสละชีพเพื่อให้ความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินกลับคืนมา

 

                ผองเพื่อนคนแล้วคนเล่าก่อนหน้า จากัวร์ ล้วนไม่พ้นชะตากรรมไปเฝ้าเทพตามประสงค์ของชนชั้นปกครองกันถ้วนหน้า แต่พอถึงคิวเชือดพระเอกของเรา ก็กลับกลายมีเหตุให้เขารอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิด (ชื่อ หวุดหวิด นี้ยังเป็นชื่อเรียกที่แสนจะเหมาะเจาะที่เจ้าทหารคนหนึ่งผู้มีใบหน้ายียวนกวนอวัยวะเบื้องล่างเป็นที่สุด เป็นผู้ตั้งให้กับเขา) จากนั้นมาตลอดครึ่งหลังของ APOCALYPTO จึงเป็นเรื่องราวของการไล่ล่า และหนีเอาชีวิตรอดอย่างเอาเป็นเอาตายของ จากัวร์ ซึ่งการหนีของเขานอกจากจะมุ่งเอาชีวิตตัวให้รอดแล้ว เขายังมีจุดหมายเพื่อกลับไปพบหน้าลูกเมีย ที่เขาซ่อนไว้ในบ่อลึกเพื่อให้พ้นมือศัตรูอีกด้วย

 

                เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ มันจึงทำให้ชะตากรรมของ จากัวร์ ดูไม่ต่างไปจากความเคราะห์ร้ายของตัวเอกใน คนแซ่ลี้ แต่อย่างใดเลย คนแซ่ลี้ เป็นหนังแจ้งเกิดของ ‘จักรกฤษณ์ อำมรัตน์’ ในปี 2536 ที่มีเนื้อหาวิพากษ์ระบบราชการ โดยตัวเอกเป็นข้าราชการผู้น้อยที่ไม่ยอมกินตามน้ำ ซึ่งถูกไล่ล่าหมายชีวิต เนื่องจากเป็นพยานปากสำคัญที่จะเอาผิดกับขบวนการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ใหญ่โต จนต้องอพยพไปอยู่แผ่นดินอื่น (เข้าประเด็นคนดีไม่มีแผ่นดินอยู่) เขาจึงต้องสะกดคำว่า หนี หนี แล้วก็ หนี แทบทุกขณะจิต หากแต่การหนีจากอำนาจเถื่อนของคนทั้งคู่นั้น ดูเหมือนว่าหนุ่มมายันผู้มีสมญา ‘หวุดหวิด แซ่ลี้’ จะมีโชควาสนามากกว่า หนุ่มราชการตงฉิน อยู่หลายเท่า เพราะชายหนุ่มข้าราชการแม้จะลงทุนหนีตายไปอีกซีกโลกในดินแดนที่ไม่มีใครรู้จักแล้ว แต่ฝ่ายอำนาจเถื่อนก็ยังอุตส่าห์ตามมากำจัดเขาได้สำเร็จ จนตัวเขาต้องจบชีวิตลงในดินแดนที่ไม่คุ้นเคยในท้ายที่สุด ต่างไปจาก จากัวร์ หนุ่มมายัน ที่แม้จะสะบักสะบอมหนีปางตายแต่ก็รอดปลอดภัยครบ 32 ไปเจอะหน้าลูกเมียที่รักได้สำเร็จ

 

            

          นอกจาก คนแซ่ลี้ แล้ว วิถีคนกล้า ก็เป็นหนังไทยอีกเรื่องที่ดูจะมีประเด็นสอดคล้องกับAPOCALYPTO ในประเด็นที่ว่าด้วย ความกล้า และความกลัวในใจตนนั่นเอง ‘วิถีคนกล้า’ หนังไทยฟอร์มยักษ์ปี 2534 ของ ยุทธนา มุกดาสนิท เล่าถึงเรื่องราวชนเผ่าจอมูฮเต อันมีความหมายว่า ‘เชื้อสายคนกล้า’ ที่ดำเนินผ่านเรื่องราวของ ‘จ่อปา’ ชายหนุ่มเลือดนักรบพลุ่งพล่านผู้หลงใหลตำนาน จอมูเอ วีรบุรุษของเผ่า เขาจึงใฝ่ฝันจะเป็นนักรบผู้กล้าของเผ่า  ความกระสันอำนาจ ทำให้เขาไม่กลัวเกรงผู้ใด คิดถึงแต่ความยิ่งใหญ่จนลืมเหลียวแลลูกเมีย ซึ่งจะว่าไปแล้วความกล้าของ จ่อปา นั้นเข้าขั้นทะลักปรี่จนขาดสติยั้งคิด จนเกิดผลเสียมากกว่าผลดี ซึ่งนี่อาจไม่ใช่ความกล้าในความหมายที่จริงแท้ก็ได้ เพราะความกล้านั้นใช่ว่าเราจะต้องดาหน้าเดินชนกับอันตรายทุกสิ่งจนขาดซึ่งการไตร่ตรอง ความกล้าของ จ่อปา นับเป็นสิ่งที่ไม่น่านำไปเป็นเยี่ยงอย่าง เพราะจุดจบของเขา เกิดจากความเบาปัญญาที่คิดว่าชนเผ่าของตนดีเลิศประเสริฐที่สุดแล้ว จึงนำพากองทัพแสนกระจ่อยร่อยบุกเข้าหาศัตรู จนเขาต้องมีจุดจบจากการถูกอาวุธปืนทันสมัยของฝ่ายศัตรู ปลิดชีพ ตายลงอย่างไร้ความหมายไร้ศักดิ์ศรี

 

                หันมาดูที่ จากัวร์ บ้าง แม้เขาจะมีเพียงความกลัวแผ่ปกคลุมจิตใจ ต้องตกเป็นเบี้ยล่างผู้มีอำนาจเหนือกว่าเขามาตลอด และหาได้มีความกล้าทัดเทียม จ่อปา แต่อย่างใด แต่เมื่อความกล้าในใจได้เตือนเขาว่าถึงเวลาสิ้นสุดการถอยหนีแล้ว เมื่อนั้นเขาก็สามารถหันมาเผชิญหน้า และจัดการศัตรูผู้ล่าเขาได้อย่างมีสติ เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว จนในที่สุดก็สามารถเอาชนะความกลัวในใจตนเอง ซึ่งถือเป็นศัตรูที่แท้จริงในชีวิตของคนทุกคนลงได้

 

                ตราบใดที่ความกลัวยังแผ่ปกคลุมในใจเรา แน่นอนว่าตราบนั้นเราก็ยังจะเป็นฝ่ายหนี และอยู่ใต้ผู้มีอำนาจที่สามารถตามบงการชีวิตเราได้ทุกหนแห่ง แต่ตราบที่เราตัดสินใจละทิ้งความกลัวไปสิ้นแล้ว ความกลัว ก็จะถูกโยนสลับข้างไปยังฝ่ายศัตรูแทน ดูเหมือนว่าวรรคทองใน วิถีคนกล้า ที่ว่า ‘ทำให้คนอื่นกลัว ทำให้ไม่กลัวคนอื่น’ ท้ายที่สุดแล้ว จากัวร์ จะเข้าใจได้ถ่องแท้กว่า จ่อปา เสียอีก

 

                การเผชิญหน้าศัตรูอย่างเด็ดเดี่ยวของ จากัวร์ คล้ายจะบอกกับเราว่า.. ชีวิตของเรา หากต้องถอยหนีปัญหา ที่คอยคุกคามหลอกหลอน คงไม่ใช่เรื่องผิด และนับเป็นความอ่อนแอแต่อย่างใด แต่เราก็ไม่อาจหนีมันไปได้ตลอด

 

หากต้องหนีอย่างมีสติ เพื่อหาหลักยึด ตั้งรับให้มั่น พร้อมเมื่อไหร่ก็พุ่งเข้าใส่ปัญหาให้รู้แล้วรู้รอด !!

 

                      




Create Date : 07 กันยายน 2556
Last Update : 7 กันยายน 2556 23:00:39 น. 0 comments
Counter : 4395 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

โปสการ์ดราดซอส
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add โปสการ์ดราดซอส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.