ริมโขงนครพนมกับ หอนาฬิกาเวียดนาม
ในความทรงจำ
คงไม่เกินความจริง ที่จะกล่าวว่า ภาพๆ นี้คือหนึ่งในความทรงจำครั้งวัยเยาว์ ที่แจ่มชัดของตัวผมเองครับ และเมื่อต้นปีที่แล้วนี่เองที่ผมมีโอกาสได้กลับไปเยือน ถนนสายเล็กริมโขง นี้อีกครั้ง
ถนนสายเดิม ที่ยังคงไว้ด้วยบรรยากาศของบ้านไม้เก่าชั้นเดียวที่ปลูกสร้างบนขอบตลิ่งริมฝั่ง ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ บ้านไม้ ที่ผมเคยอาศัย เติบโตและเข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนเป็นครั้งแรกในชีวิต
ถนนสุนทรวิจิตรเทศบาลเมืองนครพนม
ชื่อ สุนทรวิจิตร เป็นย่านการค้า ถนนสายเก่าของเมืองนครพนม ที่มีระยะทางราว ๓ กิโลเมตรซึ่งครั้งหนึ่งเคยผ่านสภาพเป็นถนนดินลูกรังมาก่อน จากนั้นได้ถูกแปรโฉมมาเป็นถนนคอนกรีต ราว ๖๐ ปีที่ผ่านมา ก่อนจะมีการเทคอนกรีตเสริมเหล็กทับอีกครั้งเมื่อ ๒๐ปีที่แล้ว
เสน่ห์ที่ตรึงใจผู้มาเยือน ถนนเลียบโขงนครพนมสายนี้ได้เสมอ นอกเหนือไปจาก ตึกเก่า เรือนไม้ท้องถิ่นโบราณและอาคารเฟรนซ์โคโลเนียล ที่มีอายุเฉียดร้อยปีแล้ว ก็คือ ทิวทัศน์ ลำโขงสีขุ่นที่ไหลผ่านหน้าเมือง ที่มีความอลังการของ เทือกเขาหินปูน รูปทรงแปลกตาเรียงตัวซับซ้อน สลับยาวไกล ตระหง่านเป็นฉากหลังของ เมืองท่าแขก แขวงคำม่วนดินแดนลาว
นี่คือความงามจากธรรมชาติ ที่ปรากฏอยู่ในคำขวัญนครพนม ที่กระชับ กินใจว่า
พระธาตุพนมล้ำค่า วัฒนธรรมหลากหลาย เรณูภูไท เรือไฟโสภา งามตาฝั่งโขงนั่นเอง..
อีกหนึ่งสถาปัตยกรรม ที่มีชื่อเสียงและเป็นสัญลักษณ์คู่เมืองนครพนม บนถนนสุนทรวิจิตร ที่มักปรากฏอยู่ในโปสการ์ดหรือนิตยสารท่องเที่ยวเสมอๆ ที่ผมนึกถึง ก็คือ หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์ ที่มีรูปทรงเรียบง่ายแบบแท่ง สูงราว ๕๐ เมตรฉาบทาด้วยสีเปลือกไข่หม่นๆ ตั้งอยู่กึ่งกลางจุดตัดของถนนศรีเทพ และถนนสุนทรวิจิตร เยื้องตรงข้าม กับบ้านไม้เก่าที่ผมเคยอาศัยเพียงไม่กี่ร้อยเมตร
หอนาฬิกาประวัติศาสตร์แห่งนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันการดำรงอยู่ของ ชาวเวียดนามพลัดถิ่นในเมืองนครพนมได้เป็นอย่างดีครับ เพราะครั้งหนึ่งนานมาแล้ว อดีตประธานาธิบดี โฮจิมินห์ หรือ ลุงโฮ ผู้เป็นที่เคารพรักของลูกหลานชาวเวียดนาม ได้เคยมาพำนัก ที่ บ้านนาจอกตำบลหนองญาติ จังหวัดนครพนม เพื่อวางแผนการกู้ชาติ สู้รบกับฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมที่เข้ามาปกครองเวียดนามอย่างทารุณกดขี่
บ้านนาจอก จึงกลายเป็นชุมชนคนญวนขนาดใหญ่ ที่พวกเขาได้อพยพหนีภัยสงครามจากบ้านเกิดเข้ามาลงหลักปักฐาน สร้างชีวิตใหม่ อย่างยาวนาน
หลังจากที่ โฮจิมินห์ ได้นำพาชาวเวียดนามผู้รักชาติ กลับไปขับไล่ฝรั่งเศส ออกจาก แผ่นดินเกิดได้สำเร็จ จากชัยชนะใน สงครามสมรภูมิ เดียนเบียนฟู แล้ว ชาวเวียดนามในนครพนม จึงร่วมกันสร้างหอนาฬิกาแห่งนี้ ในปี พ.ศ.๒๕๐๓ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางกลับมาตุภูมิ เพื่อเป็นอนุสรณ์ ตอบแทนแก่ชาวนครพนมที่ได้หยิบยื่นมิตรไมตรี และมนุษยธรรมให้การพักพิงแก่พวกเขาในคราวที่ต้องตกทุกข์ได้ยาก ยังต่างถิ่นแดนไกล นั่นเอง
นี่เป็นเพียงเรื่องเล่าเสี้ยวหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่บนถนนสายเล็กๆริมโขง แห่งนี้ ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของผม แม้เส้นทางชีวิตจะทำให้ผมต้องเหินห่างจาก นครพนม มาอยู่ไกลนับพันไมล์
แต่ทุกครั้งที่ได้ระลึกถึง นครพนม ความผูกพันและความรักในตัวตนที่งดงามของเมืองๆ นี้ ก็ยังกระจ่างชัดอยู่ในใจนั่นเอง
ที่นั่นไม่ได้ไปหลายปีแล้ว... ครับ