|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
10 อัลบั้มเพลงยอดเยี่ยมประจำปี 2005
โดย merveillesxx
ปี 2005 นี้ถือเป็นเป็นปีที่ผมได้ฟังเพลง (ไม่ว่าจะเป็นเพลง นอก, ในหรือไร้กระแสก็ตาม) น้อยลงเอามากๆ เลยครับ สาเหตุหนึ่งก็อาจจะมาจากการทุ่มเวลา (และเงิน) ไปกับการดูหนังเสียมากกว่า เรื่องที่ไม่ค่อยมีเงินซื้อซีดีใหม่ๆ มาฟังยังไม่เท่าไร แต่ที่เลวร้ายกว่าก็คือ การที่ตัวเอง มีเวลา น้อยมากในการที่จะนั่งลงฟังอัลบั้มชุดหนึ่งๆ อย่างตั้งใจ
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ก็ยังมี 10 อัลบั้มเพลงที่ผมชอบมาก ดังต่อไปนี้ครับ
(ขอนับถอยหลังจากอันดับ 10 ไปอันดับ 1 นะครับ)

10. Damnwrong: LIBERATION EVOLUTION
เห็นปกอัลบั้มแล้วอย่าเพิ่งเข้าใจว่านี่เป็นอัลบั้มรวมเพลงอิเล็กโทรนิกสไตล์หลุดอวกาศหรืออะไรแบบนั้น ตรงกันข้ามนี่เป็นเพลงที่ฟังสบาย และจริงใจเอามากๆ
ถ้าลองแบ่งเพลงในอัลบั้มชุดนี้ดูแล้ว คงแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลักๆ เพลงกลุ่มแรกก็คือ เพลงที่นำด้วยกีต้าร์ไฟฟ้า และอาจจะแซมด้วยซาวด์อิเล็กโทรนิกบ้าง ซึ่งแต่ละเพลงล้วนมีทำนองที่น่าติดตาม อย่างเช่นเพลงอย่าง The Mirage หรือ Free My Mind
เพลงในกลุ่มที่สองมีพระเอกคือ กีต้าร์โปร่ง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่บางเพลงอาจจะดูเชยไปหน่อย แต่สิ่งน่าสนใจไม่แพ้กันก็คือเนื้อเพลง โดยเฉพาะในเพลง ใจเราเป็นของกันและกัน ที่มีลีลาการแต่งเนื้อที่จัดจ้านและเซียนมาก จนน่าจะได้ตำแหน่งเพลงรักที่ผมชอบที่สุดเพลงหนึ่งไปอย่างสบายๆ
เชื่อว่าในอัลบั้มชุดต่อๆ ไป Damnwrong จะสามารถพัฒนาฝีมือไปได้ไกลกว่านี้อีกมาก เพราะตอนนี้เขาเข้าถึงคำว่า Liberation แล้ว ส่วน Evolution นั้นก็อยู่ไม่ไกลนักหรอก
เพลงโดน: ใจเราเป็นของกันและกัน
ใจเราเป็นของกันและกัน และไม่มีวันที่จะเปลี่ยนไป เราโอบกอดรักไว้เต็มหัวใจ มันจะไม่มีใครเปลี่ยน ใจที่มั่นคงในคำว่ารัก เธออยู่กับฉันแม้นานแสนนาน

09. Futon: Love Bites
นอกจากเรื่องน่าตื่นเต้นที่ Futon ได้ ไซม่อน กิลเบิร์ต (อดีต Suede) มาประจำในตำแหน่งวงมือกลองของวงแล้ว สิ่งที่ดูเปลี่ยนไปในอัลบั้มชุดนี้ก็คือ ความดิบ-ลูกบ้าที่ลดลงไปจากชุดแรก แต่สิ่งที่มาแทนก็คือเพลงเนี้ยบซ่อนเปรี้ยวอย่าง Love So Strong และ Give Me More หรือเพลงน่ารักๆ อย่าง Suitcase
ทุกเพลงในอัลบั้มนี้จัดเป็นเพลงที่ดีมาก แต่เหตุที่ทำให้อัลบั้มนี้อาจจะอันดับต่ำไปเสียหน่อยก็คงเพราะ เพลงส่วนใหญ่เราเคยได้ฟังไปแล้วจาก EP ชุด 1000 (ซึ่งติดอันดับอัลบั้มที่ผมชอบที่สุดของปี 2004 ด้วย)
อย่างไรก็ตาม Futon ยังคงเป็นถือวงดนตรีที่น่าจับตา และน่าจะเป็นความหวังหนึ่งของวงการเพลงไทย (ถ้าพวกเขาไม่โกอินเตอร์ไปไกลเสียก่อนอ่ะนะ)
เพลงโดน: Love So Strong
Feelin love so strong, nothing can be wrong Cos the way Im feeling needs no healing Theres a fire in me Its destiny What you do to me
what u do to me

08. Flure: VANILLA
หากอัลบั้มชุดแรกของ Flure เปรียบเป็นดั่ง ลมหนาวอันเกรี้ยวกราด งานชุดสองที่สองอย่าง Vanilla ก็คงถือเป็น ลมหนาวอันหอมหวาน
เปล่าเลย ไม่ใช่ว่า Flure เปลี่ยนแนวมาทำเพลงหวานๆ เลี่ยนๆ ตีหัวคนฟังเอาเงินเข้าค่าย เพลงหนักๆ ยังมีให้เราฟังอยู่ (อย่างเพลง เธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไป นั่นไง) เพียงแต่ว่าสิ่งที่พัฒนาขึ้นมากคือความเป็น เอกภาพ ไม่มีเพลงไหนที่ดุดันจนเกินไป หรือในอีกทางเพลงหวานๆ อย่าง Honeymoon (ที่มีเสียงน่ารักๆ ของนาเดียมาแจมด้วย) หรือ Wasurete Hoshi-i ก็สามารถบรรจุอยู่ในอัลบั้มนี้ได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว
เรื่องโชคดีอีกอย่างก็คือ Flure ท่าทางจะเป็นคนมองการไกล เพราะหน้าหนาวปีนี้ก็หนาวจริงๆ ลงแบบนี้แล้วเพลง ฤดูที่ฉันเหงา คงกลายเป็นเพลงฮิตข้ามปีไปเสียแล้ว
เพลงโดน: ฤดูที่ฉันเหงา
ว่าฉันคิดถึง และยิ่งคิดถึง ในคืนที่ฝนโปรย เราอยู่ด้วยกันตรงนี้ ฉันเหงาเธอรู้ไหม ฉันหนาวจนแทบขาดใจ ไม่มีอ้อมกอด จากเธอที่รู้ใจ รอคอยเธอกลับมาหา เฝ้ารอจนฝนซา สุดท้ายก็ว่างเปล่า

07. Pet Shop Boys: Battleship Potemkin
ลุงทั้งสอง (เอ๊ะ หรือจะเรียกว่า ป้า ทั้งสองดี) แห่งวง Pet Shop Boys นั้นคงถือได้ว่าเป็นหนึ่งในศิลปินยอดอึดของวงการ เพราะทำเพลงล้ำๆ ฮิตๆ ข้ามผ่านกาลเวลามาได้สองศตวรรษแล้ว
แต่รู้สึกว่า Release (2002) อัลบั้มชุดล่าสุดของลุงเนี่ยเพลงมันออกแก่ๆ ไปหน่อย สงสัยคำบ่นเด็กแนวเข้าหู ลุงก็เลยปล่อยอัลบั้มเต้นบ้านแตกอย่าง DISCO 3 (2003) ออกมา หลังจากนั้นเก็บตัวเงียบไปอีก 2 ปี พอกลับมาอีกทีก็ ปล่อยของ ชนิดให้แฟนเพลงตายกันไปข้างหนึ่ง
ของ ที่ว่าของลุงๆ แกก็คือ อัลบั้มชุดนี้
แกเล่น ของสูง ทำเก๋าแต่งเพลงประกอบในหนังในตำนานอย่าง The Battleship Potemkin (1925, เซอร์ไก ไอเซนสไตน์) ว่าแล้วการผสมผสานอันมหัศจรรย์ของเพลงอิเล็กโทรนิกกับออเครสต้าก็เกิดขึ้นได้ แถมยังเป็นการ ตีโจทย์ ที่ ไม่เสียของ เพราะถ้าใครเคยดูหนังแล้วมาหลับตาฟังเพลงในชุดนี้ ฉากในหนังเรื่องที่ว่าจะลอยขึ้นมาในหัวชนิดช็อตต่อช็อต
จะว่าไปแล้ว Pet Shop Boys ก็เป็นศิลปินช่างผสมมือฉมัง เพราะเมื่อครั้งกระโน้น แกก็เอาเพลง Cant Take My Eyes Off You กับเพลง Where the Street Have No Name ของวง U2 มามิกซ์กันได้ ชนิดที่อีตาโบโน่งงเป็นไก่ตาแตก
ทว่าการ ยำใหญ่ ครั้งนี้ถือว่ายิ่งใหญ่กว่ามากนัก เพราะนอกจากจะเป็นอัลบั้มที่ควรจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ แล้ว มันยังเป็น เหรียญเกียรติยศ ของลุงทั้งสองด้วย
เพลงโดน: Full steam ahead และ The squadron

06. Depeche Mode: Playing the Angel
นอกจาก Pet Shop Boys แล้ว อีกหนึ่งวงดนตรีที่ฝ่าฟันยุคสมัยจนอยู่รอดมาได้ถึงปัจจุบันก็มี Depeche Mode วงนี้นี่ล่ะ
ลุงๆ เสียหลักไปพักใหญ่หลังจากอัลบั้มชุดที่แล้ว Exciter ไม่ค่อยดังเปรี้ยงปร้างเท่าไร พวกลุงหายไปนานมากจนแฟนหลานๆ วิตกจริตกันไปพักหนึ่งว่าลุงจะชิ่งยุบวงหนีไปจากวงการเสียแล้ว พอได้ข่าวว่า Depeche Mode จะออกอัลบั้มใหม่อีกครั้ง ก็เรียกได้ว่าเฮกันลั่นบ้าน
หลังจากซ่อนนัยยะเรื่องเหตุการณ์ 9/11 ไว้ในมิวสิกวิดีโอ Enjoy the Silence (ฉบับรีมิกซ์ปี 2004) ดูเหมือน Depeche Mode ยังคงจะวนเวียนกับห้วงเวลานั้น เพราะ Playing the Angel เต็มไปด้วยเพลงหม่นเศร้า หดหู่ ไปจนถึงดำมืด เหมือนกับ โทนสีเทา ที่ฉาบไปทั่วทั้งอัลบั้มชุดนี้
ปกหลังของอัลบั้มชุดนี้เขียนบอกกับเราไว้ว่า Pain and suffering in various tempos เช่นนั้นแล้ว Playing the Angels ก็คืออัลบั้มที่เต็มไปด้วย บาดแผล และ ความเจ็บปวด และสองสิ่งนี้เองที่ทำ Depeche Mode กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการ ทวงบัลลังก์คืน
เพลงโดน: a pain that Im used to
All this running around Well its getting me down Just give me a pain that Im used to I dont need to believe All the dreams you conceive You just need to achieve Something that rings true

05. Billy Corgan: The Future Embrace
คำถามที่น่าสนใจในตอนนี้ก็คือ ตาเหม่ง-บิลลี่ย์ คอร์แกน เป็นคน มองโลก ยังไงกันแน่
ในยุคสมัย Smashing Pumpkins คอร์แกนเป็นคนหนุ่มที่ทวีการมองโลกในแง่ร้ายมากขึ้นทุกวัน สิ่งที่ถ่ายทอดออกมาก็คือบทเพลงที่เกรี้ยวกราด
ถัดมาวง Zwan ก็เป็นเป็นดั่ง Smashing Pumpkins แบบมองโลกในแง่ดี แต่สงสัยเฮียเหม่งคงจะไม่เหมาะกับอะไรแบบนี้ เพราะไม่นานนัก Zwan ก็สลายโต๋กันไป
ณ วันที่ชีวิตล่วงเลยมาถึงเลข 4 แล้ว คอร์แกนก็มีอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของตัวเองจนได้ จากบทเพลงใน The Future Embrace เราคงคาดกันได้ไม่ยากนักว่าเขากลับไปมองโลกด้วย สายตาคู่เดิม อีกครั้งแล้ว ทว่าท่วงทำนองอิเล็กทรอนิกอันหลอกหลอน กับซาวด์กีต้าร์หวีดหวิวไม่ได้บอกเราถึงการมองในแง่ร้าย แต่เป็นสายตาที่ เย็นชา และไม่ยี่หระต่อสิ่งใดต่อไปอีกแล้ว
คอร์แกนขึ้นชื่อในความ เผด็จการ ดังนั้นการทำงานโซโลที่ได้เผด็จการกับหัวสมองตัวเองอย่างเต็มที่ ก็ทำให้เรารับรู้ว่าภายใต้กบาลใสๆ ของเขานั้นยังอุดมไปด้วยความล้ำลึกอีกมากมาย
The Future Embrace เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า อัจฉริยะก็ย่อมเป็นอัจฉริยะวันยังค่ำ
เพลงโดน: To Love Somebody (เพลงนี้เป็นเพลงเก่าของ Bee Gees ส่วนเวอร์ชันใหม่นี้ได้ โรเบิร์ต สมิธ แห่งวง The Cure มาช่วยเล่นกีต้าร์ให้)
you dont know what its like you dont know what its like to love somebody, to love somebody the way I love you

04. The Tears: Here Come The Tears
ว่ากันว่าไม่มี มิตรแท้ และ ศัตรูถาวร ในวงการบันเทิง ถ้าเช่นนั้นแล้ววงการเพลงก็คงไม่เว้นไปจากเรื่องทำนองนี้เช่นกัน
เมื่อในอดีต เบรท แอนเดอร์สัน (นักร้องนำที่ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครระบุเพศของเขาได้) กับ เบอร์นาร์ด บัทเลอร์ (มือกีต้าร์ที่หล่อที่สุดในโลก) ไม่มองหน้ากันไปเกือบสิบปี แต่คงเพราะกาลเวลาที่ผ่านไป อีโก้ ที่ลดลง กับ สังขาร ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน คงทำให้สองหน่อนี้คิดได้ และหันมาจูบปากกันอีกครั้ง
นี่คือ การกลับมา ที่ทั้งโลกรอคอย
เพลงของ The Tears ไม่ใช่อะไรแปลกใหม่ มันคือส่วนผสมของเสียงร้องเปี่ยมจริตของแอนเดอร์สัน และเสียงกีต้าร์เปรี้ยวๆ ของบัทเลอร์ ทั้งซาวด์คึกคักในเพลงอย่าง Refugees หรือ Lovers (ที่คล้ายกับงานที่บัทเลอร์ทำกับ เดวิด แม็คอัลมอนต์) หรือถ้าใครคิดถึงเสียงกีต้าร์แตกพร่าอย่างในชุด Dog Man Star เขาก็มีให้ในเพลงอย่าง The Ghost of You และ Brave New Century
มันอาจจะฟังดูซ้ำซากหรือน่าเบื่อ แต่นี่คือสิ่งที่เราถวิลหาและเฝ้ารอมาแสนนาน เพราะไม่มีใครอีกแล้วที่เพลง แบบนี้ ได้เหมือน คนคู่นี้
เพลงโดน: The Ghost of you
I wake in the morning and try to be brave
But its hard to move on when the ghost of you stays

03. Pru: ZERO
ที่จริงแล้วคำว่า คอนเซ็ปต์ อัลบั้ม ไม่ใช่สิ่งใหม่ในวงการเพลงบ้านเรา มันเคยปรากฏขึ้นแล้วหลายครั้งหลายครา อย่างน้อยก็ในอัลบั้มของ ธเนศ วรากูลนุเคราะห์ หรือมาโนช พุฒตาล แต่ทุกชุดนั้นล้วนมีจุดร่วมกันคือมันจะ ขายไม่ออก
หากมองในแง่ยอดขาย ถ้าเทียบกับชุดที่แล้ว Pru ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แต่ถ้ามองในแง่ตัวเพลงแล้วคงไม่ใช่แค่ประสบความสำเร็จเท่านั้น เพราะ ZERO ถือเป็นการ สรรค์สร้าง ปรากฏการณ์ใหม่ในรอบหลายปีของวงการเพลงไทย
อัลบั้มชุดนี้เปี่ยมไปด้วยความ กล้าหาญ และไม่ค่อยจะมีการ ประนีประนอม เท่าไรนัก ทั้งทำนองเพลงที่ไม่ติดหู เนื้อเพลงที่ไม่ใช่เพลงรัก ซ้ำด้วยเพลงบางเพลงที่ความยาวเกินขอบไปถึง 8 นาที เหล่านี้คือสิ่งตรงข้ามกับคำว่า ใช้ฟังเพื่อความบันเทิง ทั้งสิ้น
ผมไม่ได้ต้องการจะบอกว่าคนที่ฟังอัลบั้มชุดนี้ไม่รู้เรื่องเป็นคนโง่ หรือตัวผมที่ชอบอัลบั้มนี้ฉลาดเสียเต็มประดา แต่ผมอยากจะให้คุณลองเหลียวสายตามองมัน และนั่งลงฟังมันในห้องเงียบๆ คนเดียวอีกสักครั้ง บางทีคุณอาจจะ ค้นพบ อะไรบางอย่างที่แตกต่างไปจากผมก็ได้
ผมว่ามันน่าเศร้าที่เราจะพูดว่าอัลบั้มชุดนี้ มาเร็วเกินไป นั่นเป็นเหตุผลที่ ไม่สร้างสรรค์ เอาเสียเลยครับ
เพลงโดน: World War IV (จุดเดิม)
ลืมตา
เหมือนเคย
ไหลไป
ไม่เปลี่ยนเลย สุดท้าย
ก็วน
ไปจุดเดิม

02. Goose: 20 guns pointing in your face
ความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของผมในการจัดอันดับอัลบั้มที่ชอบที่สุดในปีที่แล้วก็คือ การที่ไม่มีชื่อของอัลบั้มชุดแรกของ Goose รวมอยู่ด้วย
เปล่าหรอกครับ ไม่ใช่ว่าผมได้ฟังอัลบั้มนั้นแล้ว จนบัดนี้ผมก็ยังไม่ได้ฟังครับ แต่พอได้ฟัง 20 guns pointing in your face อัลบั้มชุดที่สองของพวกเขาแล้ว ผมก็เชื่อเลยว่าผมจะต้องชอบชุดแรกของเขาอย่างสุดขีดแน่นอน
20 guns pointing in your face ถือเป็นอัลบั้มเพลงไทยที่ผมรอคอยมานานแสนนาน นี่คือซาวด์กีต้าร์ที่ผมใฝ่หาจากเพลงไทยมาทั้งชีวิต ซาวด์ที่คิดว่าคงไม่มีทำมันแล้วอีกแล้วนอกจาก เบอร์นาร์ด บัทเลอร์ หรือบิลลี่ย์ คอร์แกน แต่ ณ วันนี้ Goose ทำมันได้แล้วครับ
ชื่อบุคคลที่กล่าวมาในข้างต้นไม่มีความคล้ายคลึงกันทางดนตรีกันอย่างแนบสนิทหรอกนะครับ แต่มันให้ผลในแง่ทางอารมณ์ที่ รุนแรง ในระดับพอกัน เพราะซาวด์กีต้าร์ของ Goose เป็นสุดแสนจะหลอกหลอน บางครั้งมันก็ลอยละล่อง (เสียงร้องนำก็เป็นในแนวทางนั้นเช่นกัน) แถมซ้ำด้วยเอฟเฟกต์นานับประการที่ถาโถมเข้ามาในเพลง เหล่านี้ล้วนทำให้ผมอยากจะร้องกรี๊ดออกมาดังๆ และนอนตายคาลำโพงด้วยอารมณ์เปี่ยมสุข
ด้วยความรู้ทางดนตรีอันน้อยนิด ผมคงต้องขออภัยทุกท่านที่ไม่สามารถจะพรรณนาคุณความดีของอัลบั้มชุดนี้ออกมาได้มากกว่านี้แล้ว สิ่งที่ผมบอกได้ก็คือ ณ ตอนนี้ หนึ่งในวงดนตรีไทยที่น่าจับตาและเชื่อถือได้มากที่สุดคือวง Goose ครับ
เพลงโดน: เวลาที่มี (แต่เพลงนี้เพลงเดียวผมก็ตายคาที่แล้วครับ)
ทุกอย่าง
ที่เราเคยมี ทุกวัน
เลือนลาง กับเวลา
ที่เราเคยมี บางสิ่ง
หายไป กับความจริง
ที่เราเคยมี ไม่อาจ
ย้อนมา วันเวลาที่เราเคยมี เหลือเพียง
แค่เรา

01. madonna: Confessions on a Dance Floor ครั้งแรกที่จับแผ่นนี้ใส่เข้าไปในเครื่องเล่นซีดีก็จกใจแทบสิ้นสติสมประดี เพราะนึกว่าตัวเองตาถั่ว หยิบแผ่นผิด ไปซื้อพวกแผ่นรวมเพลง RCA แดนช์ของค่าย Red Beat มาเสียอีก แต่พอจ้องปกดูดีๆ อีกที ยังไงก็เห็นป้าคนนึงใส่ชุดชมพูแปร๊ดนั่งเก้ๆกังๆ ในท่าประหลาดอยู่ดี ก็เลยแน่ใจว่าที่คืออัลบั้มใหม่ของ เจ๊ป้ามาดอนน่า ชัวร์ป้าด
ถึงแม้ Confessions on a Dance Floor จะไม่ใช่อัลบั้มเพลงแดนซ์ที่รสนิยมต่ำขนาดเพลง รัชดาแดนซ์ แต่เพลงในอัลบั้มนี้ไม่มีอะไรใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างเราเคยผ่านหูกันมาหมดแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ขัดกับการทำงานเพลงในยุคหลังของมาดอนน่าอย่างสิ้นเชิง เพราะในอัลบั้มชุด Ray of Light (1998) เธอทำให้ทั้งโลกรู้จักคำว่า อิเล็กโทรนิก้า
ถัดมาชุด Music (2000) เธอก็นำเสนอสิ่งที่เรียกว่า Acid Rock และใน American Life (2003) เธอก็ลุกขึ้นมาแต่งเพลงแฉอเมริกา
อย่างไรก็ตาม เรามิอาจหลงลืมไปได้เลยว่าเธอเคยอยู่ตำแหน่งราชินีเพลงแดนซ์มาก่อน เพราะฉะนั้นแล้ว COADF ก็คือการกลับไปทำในสิ่งที่เธอ ถนัด อีกครั้ง และนั่นก็ได้มาซึ่งผลตอบรับอันยอดเยี่ยม เพราะจนป่านนี้สาวกของเจ๊ป้าคงได้เต้นตายคาฟลอร์กันทั้งโลกไปแล้วเรียบร้อย ตามคอนเซ็ปต์ THE NON STOP, ALL-DANCE TOUR DE FORCE ที่ปะหน้าอัลบั้มไว้ไม่มีผิด
เพลงบางเพลงอย่างเช่น Jump นั้นดนตรีเชยลากดิน แต่การที่มาดอนน่าตัดสินใจทำ COADF เป็นอัลบั้มน็อน-สต็อปนั้นถือเป็นไหวพริบชั้นยอด เพราะเมื่อทุกเพลงถูกโยงต่อกันเป็นเหมือนเพลงๆ เดียวแบบนี้แล้ว ผลที่ออกมาคือ การช่วยฉุดให้ตัวเองขึ้นมาจากการเป็นเพลงโหลๆ และวิ่งเข้าเส้นชัยไปอย่างสวยงาม
มาดอนน่าให้สัมภาษณ์ว่าเธอทำอัลบั้มชุดนี้ออกมาเพราะอยากให้คนที่ฟังเกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวอยากจะ แดนซ์ ขึ้นมา ซึ่งสำหรับผมแล้วเธอทำสำเร็จ แถมยังสำเร็จมากเสียด้วย
เพราะตอนที่ฟัง Confessions on a Dance Floor จบครั้งแรก ผมก็อยากจะตะโกน สารภาพ ออกไปดังๆ ว่า ป้าจ๋า ชั้นโคตรรักป้าเลยว่ะ!
เพลงโดน: Sorry (เพลงนี้จะถูกตัดเป็นซิงเกิ้ลที่สอง ต่อจาก Hung Up)
I dont wanna hear, I dont wanna know Please dont say youre sorry Ive heard it all before And I can take care of myself
แล้วอัลบั้มเพลงยอดเยี่ยมของคุณล่ะครับ คืออะไรบ้าง
?
Create Date : 25 ธันวาคม 2548 |
Last Update : 25 ธันวาคม 2548 4:09:44 น. |
|
45 comments
|
Counter : 8227 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: ฮาเลชั่น IP: 202.5.87.142 วันที่: 25 ธันวาคม 2548 เวลา:4:33:18 น. |
|
|
|
โดย: M.Scudery Worships Khavn de la Cruz IP: 210.86.146.124 วันที่: 25 ธันวาคม 2548 เวลา:8:28:49 น. |
|
|
|
โดย: it ซียู (it ซียู ) วันที่: 25 ธันวาคม 2548 เวลา:10:01:58 น. |
|
|
|
โดย: BAYROCKU วันที่: 25 ธันวาคม 2548 เวลา:10:49:04 น. |
|
|
|
โดย: nanoguy (nanoguy ) วันที่: 25 ธันวาคม 2548 เวลา:13:03:56 น. |
|
|
|
โดย: cottonbook วันที่: 25 ธันวาคม 2548 เวลา:20:19:03 น. |
|
|
|
โดย: สาหร่าย (แร้ไฟ ) วันที่: 26 ธันวาคม 2548 เวลา:2:18:14 น. |
|
|
|
โดย: ShadowServant (ShadowServant ) วันที่: 26 ธันวาคม 2548 เวลา:2:51:19 น. |
|
|
|
โดย: grappa วันที่: 26 ธันวาคม 2548 เวลา:13:41:20 น. |
|
|
|
โดย: M.Scudery Worships Khavn de la Cruz IP: 202.176.170.41 วันที่: 26 ธันวาคม 2548 เวลา:20:04:24 น. |
|
|
|
โดย: Nighty IP: 58.10.84.175 วันที่: 27 ธันวาคม 2548 เวลา:8:25:41 น. |
|
|
|
โดย: grappa วันที่: 27 ธันวาคม 2548 เวลา:11:58:54 น. |
|
|
|
โดย: ShadowServant (ShadowServant ) วันที่: 28 ธันวาคม 2548 เวลา:3:18:54 น. |
|
|
|
โดย: BAYROCKU วันที่: 28 ธันวาคม 2548 เวลา:8:58:00 น. |
|
|
|
โดย: Dr.DreK IP: 58.10.195.68 วันที่: 29 ธันวาคม 2548 เวลา:5:20:58 น. |
|
|
|
โดย: มาริอา วันที่: 29 ธันวาคม 2548 เวลา:16:10:33 น. |
|
|
|
โดย: foneko (fonkoon ) วันที่: 29 ธันวาคม 2548 เวลา:18:54:35 น. |
|
|
|
โดย: cottonbook วันที่: 30 ธันวาคม 2548 เวลา:7:49:45 น. |
|
|
|
โดย: grappa วันที่: 30 ธันวาคม 2548 เวลา:14:05:32 น. |
|
|
|
โดย: M.Scudery Worships Khavn de la Cruz IP: 210.86.146.110 วันที่: 31 ธันวาคม 2548 เวลา:0:24:13 น. |
|
|
|
โดย: p_tham วันที่: 31 ธันวาคม 2548 เวลา:8:02:16 น. |
|
|
|
โดย: BAYROCKU วันที่: 31 ธันวาคม 2548 เวลา:9:02:36 น. |
|
|
|
โดย: Fuya IP: 203.151.140.118 วันที่: 31 ธันวาคม 2548 เวลา:14:01:08 น. |
|
|
|
โดย: grappa วันที่: 31 ธันวาคม 2548 เวลา:20:14:56 น. |
|
|
|
โดย: ป่ามืด วันที่: 31 ธันวาคม 2548 เวลา:22:04:36 น. |
|
|
|
โดย: Nighty (Meroko ) วันที่: 1 มกราคม 2549 เวลา:9:10:53 น. |
|
|
|
โดย: +KikKle+ วันที่: 2 มกราคม 2549 เวลา:0:55:04 น. |
|
|
|
โดย: en-oz IP: 61.91.166.158 วันที่: 30 มกราคม 2549 เวลา:23:42:45 น. |
|
|
|
โดย: waspy IP: 58.9.13.114 วันที่: 28 พฤษภาคม 2549 เวลา:17:54:08 น. |
|
|
|
โดย: Cheap Snapback Hats IP: 94.23.252.21 วันที่: 2 สิงหาคม 2557 เวลา:6:47:36 น. |
|
|
|
|
|
|
|
mers AWARDS 2005
ALBUM OF THE YEAR
01. madonna: Confessions On A Dance Floor
02. Goose: 20 guns pointing in your face
03. Pru: ZERO
04. The Tears: Here Come The Tears
05. Billy Corgan: The Future Embrace
06. Depeche Mode: Playing The Angel
07. Pet Shop Boys: Battleship Potemkin
08. Flure: VANILLA
09. Futon: Love Bites
10. Damnwrong: LIBERATION EVOLUTION
----------------------------------------------------
SONG OF THE YEAR
01. Hung Up - madonna
เชื่อว่าจนถึงสิ้นปีนี้ตัวเองจะฟังเพลงนี้เกิน 100 รอบแน่นอน
02. Endless Story - REIRA starring YUNA ITO
นี่เป็นเพลงฟังแล้วซึ้งที่สุดของปีนี้ ส่วนตอนดูหนังฉากที่เพลงนี้ขึ้นมาก็น้ำตาไหลพรากๆ
03. Glamorous Sky - NANA starring MIKA NAKASHIMA
จากนี้ไป มิกะ นากาชิม่าจะไม่ใช่นักร้องที่ น่าเบื่อ ในสายตาผมอีกต่อไปแล้ว
04. War World IV จุดเดิม - Pru
ฟังแล้วจะนิพพาน ขอกราบเท้าพี่น้อย และบอย โกสิยพงษ์ที่แต่งเพลงแบบนี้ขึ้นมาได้
05. The Ghost of You - The Tears
นี่คือเพลงที่หลอกหลอนและโดนใจตัวเองมากที่สุดในปีนี้
06. ใจเราเป็นของกันและกัน - Damnwrong
นานๆจะหาเพลงจีบสาวที่ไม่เลี่ยนและถูกใจตัวเองได้ (จริงๆ เพลงนี้ออกมาตั้งแต่ปี 2002 แล้วโดยอยู่ในอัลบั้มคอมพิเลชั่น Panda Rangers แต่เนื่องจากอัลบั้มเต็มของ Damnwrong เพิ่งมาในปีนี้ ก็เลยขอพิจารณาให้ติดอันดับด้วย)
07. เจ้าหญิงคนต่อไป - Blissonic
Blissonic ไม่ได้ทำเป็นแต่เพลงน่ารักๆ หรอกนะ
08. อยากรู้ - 4GOTTEN
ท่อนเครื่องสายเศร้ามาก
09. ฤดูที่ฉันเหงา - Flure
เชื่อมั้ยว่ามีเพื่อนผมหลายคนโทรเข้ามือถือผม ก็แค่เพื่อจะฟังเพลงนี้ (ผมตั้งเพลงนี้ไว้เป็น calling melody) พอผมรับโทรศัพท์มันก็ด่าว่า รับทำไมวะ ตูจะฟังเพลง
10. Love So Stong - Futon
----------------------------------------------------
MUSIC VIDEO OF THE YEAR
01. Madonna: Hung Up
ดูมิวสิกวิดีโอเพลงนี้แล้วเกิดความรู้สึกสองอย่างคือ 1.อยากลุกขึ้นมาเต้น และ 2.อยากกลับไปเล่นเกมเต้น (ซึ่งตอนนี้ยังมีอยู่ที่เช็นทรัลลาดพร้าว ชั้นใต้ดิน)
02. Nologo: Paranoid
เท่ขาดใจ
03. Girly Berry: GOSSIP
ปีที่แล้ว ตุ๊มต่อม ทำให้ผมเกือบช็อคหัวใจวาย ปีนี้เพลง GOSSIP ก็ทำให้ผมต้องนั่งเฝ้าทีวีเพื่อรอดูรายการเพลงของอาร์เอส!
04. Coldplay: Speed of Sound
นี่เป็นการพิสูจน์ว่ามิวสิกวีโอไม่จำเป็นต้องสร้างเรื่องราววุ่นวาย หรือถ่อไปถ่ายทำในโลเคชั่นสุด exotic แค่ให้นักร้องยืนเล่นดนตรีไป และใช้ไลทติ้งเอฟเฟกต์เก๋ๆ แค่นี้ก็พอแล้ว จริงมั้ย?
05. Blissonic: เจ้าหญิงคนต่อไป
ถ้ามิวสิกวิดีโอของเมืองไทยใช้สมองคิดมากขึ้นสัก 1 ใน 3 ของมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ ผมก็ดีใจนอนตายตาหลับแล้วครับ
----------------------------------------------------
CONCERT OF THE YEAR
01. moderndog คอนเสิร์ตตาสว่าง (21 พ.ค. 2548 / อินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมาก)
ฉลอง 10 ปี โมเดิร์นด็อก รักที่สุดเลยวงนี้
02. Pru Pop Life Concert (3 ธ.ค. 2548 / ทศภาคอารีน่า)
นอกจากอัลบั้มจะคิดมากแล้ว คอนเสิร์ตก็ยังคิดมากพอกัน เอากับพี่แกสิ!
----------------------------------------------------
MOST DISAPPOINTED ALBUM OF THE YEAR
01. Academy Fantasia 2: ปฏิบัติการ เร่ขายฝัน
เราจะหวังอะไรได้กับอัลบั้ม ตามน้ำ แบบนี้ล่ะ
02. Nologo: How to be a rock star?
ความน่าผิดหวังของอัลบั้มชุดนี้ไม่ได้อยู่ที่มันห่วยจนรับประทานไม่ลง แต่เพราะ โดมเคยทำเพลงที่สุดยอดมากอย่าง เวียน - Circumambulate ไว้ (อยู่ในอัลบั้ม Smallroom 003) หรือเพลงเปิดตัวอย่าง Paranoid ก็ยังถือเป็นเพลงระดับดีมาก แต่เพลงที่เหลือในอัลบั้มก็เหมือนกับเป็น คนละเรื่อง กันไปเสียฉิบ มันเหมือนกับมีคนบอกว่าจะพาคุณไปสยามพารากอน แต่สุดท้ายไปโผล่ที่มาบุญครอง อะไรประมาณนั้นแหละ
สิ่งที่น่าตลกก็คือ เพลงที่ดีที่สุดในอัลบั้มชุดนี้ ดันเป็นเพลงที่ Stylish Nonsense มารีมิกซ์ให้
----------------------------------------------------
เพลงน่าหวาดผวาแห่งปี
อะมั่ยยาฮี้ อะมั่ยยาฮู้ อะมั่ยยาฮา ยะฮั่ยมาย้าฮา
มันคือเพลงอะไรผมก็ไม่รู้หรอกนะครับ (รู้สึกมันจะชื่อเพลง ไมยาฮี้ รึป่าว) แต่นอกจากจะต้องเจอมันทุกครั้งเวลาดูหนัง (มันจะมาพร้อม อีไก่เวร) ล่าสุดมีคนรายงานมาว่าขณะนี้ลานเบียร์การ์เด้นสามารถนำเพลงไปแสดงสดได้แล้ว! อ๊ากกกกก!!!