|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
TRAVIS : THE BOY WITH NO NAME

Travis กลับมาแล้ว!
จากหลังหายไปถึง 4 ปีเต็มๆ Travis ก็กลับมาอีกครั้ง มาคราวนี้พี่ฟราน (นักร้องนำ) ดูแก่ขึ้นเยอะ แต่ทรงผมก็ไม่ทุเรศเหมือนชุดที่แล้ว และเรารู้สึกได้ว่า Travis กลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง
 12 Memories
อัลบั้มชุดที่แล้วอย่าง 12 Memories (2003) ดูหลุดโทนจากความเป็น Travis ที่คุ้นเคย ด้วยความที่มันเต็มไปด้วยบทเพลงแห่งความเจ็บปวดจากสงครามอิรักและโลกหลัง 11 กันยา ความหม่นเศร้าแบบพอดีๆ จึงกลายเป็นความมืดทะมึนจนอึดอัด เสียงวิจารณ์ถึงอัลบั้มนี้จึงแบ่งเป็นสองฝ่าย แต่ที่แน่ๆ ยอดขายสู้ชุดก่อนๆ ไม่ได้
เมื่อตอนที่ผมเห็นปกชุด The Boy With No Name ผมก็ใจชื้นทันที เพราะเห็นได้ชัดเลยดีไซน์ปก หรือการใช้ฟอนท์กลับไปเหมือนชุด The Man Who (1999) และ The Invisible Band (2001) และตามวัฏจักรของวงการดนตรี เมื่อศิลปินเปลี่ยนแนวทาง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เขาก็ต้องย้อนรอยกลับไปหารากเหง้าของตัวเอง อาจจะฟังดูน่าเศร้า แต่บางทีมันก็เป็นผลดี (อย่างทีเกิดขึ้นกับ Manic Street Preachers ชุดล่าสุดเช่นกัน)

ยิ่งได้ซิงเกิ้ลเปิดตัวอย่าง Closer ก็ยิ่งมีความสุข ฟังหลายสิบรอบก็ไม่รู้สึกเบื่อ ท่อนฮุคที่ร้องว่า Closer
Closer
Lean On me Now
Lean On Me Now ก็ดังก้องอยู่ในหัว แถมมิวสิกวิดีโอก็น่ารักน่าชังเหลือ ภาพผู้คนร่ายรำไปในซูเปอร์มาร์เก็ตช่างให้ความรู้สึกดี (แถมเอ็มวียังมี Ben Stiller โผล่มาแจมด้วย เค้าเป็นเพื่อนกับวงนี้จ้ะ)



ข้อสังเกตสนุกๆ เกี่ยวกับ สามอัลบั้ม The Man Who - The Invisible Band - The Boy With No Name ก็คือ จะเห็นได้ว่าชื่ออัลบั้มทั้งสาม สื่อถึงความพยายามลบเลือนตัวตน หรือการทำให้ตัวเองดู low profile อย่างที่ฟรานเคยพูดไว้ว่า คนรู้จักเพลงของเรา แต่พวกเค้าไม่รู้หรอกว่าเราเป็นใคร ซึ่งแน่นอนเพลงของเรา ย่อมสำคัญกว่าวงของเรา (รูปสมาชิกวงบนหน้าปก จึงเป็นภาพถ่ายจากระยะไกลอยู่เสมอ) เพราะฉะนั้นจะเรียกสามชุดนี้เล่นๆ ว่า The Nobody Trilogy ก็คงไม่ผิดนัก
ฟรานอุทิศอัลบั้มชุดล่าสุดให้กับลูกชายของเขาเอง ที่มาของชื่ออัลบั้มเกิดจากตอนที่เขาฟอร์เวิร์ดรูปลูกไปให้เพื่อนๆ แล้วใส่ชื่อรูปว่า The Boy With No Name ด้วยความเป็นพ่อคนนี้กระมังที่ทำให้ฟรานกลับมแต่งเพลงที่สว่างขึ้น จนทำให้ Travis กลับมาสู่อารมณ์แบบ หม่นเศร้าแบบน่ารักๆ แต่ก็อมยิ้มได้ อีกครั้ง
แม้เราจะฟัง The Boy With No Name จบไปหลายรอบ เราก็ไม่อาจรู้ชื่อของเด็กชายคนนี้ แต่เราจะจำเสียงหัวเราะและเสียงร้องไห้ของเขาได้แน่นอน
อัลบั้มที่ได้ฟังช่วงนี้

Brett Anderson: Brett Anderson
โซโล่อัลบั้มของอดีตนักร้องนำของวง Suede หนึ่งในวงบริทป๊อปที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อย่าคาดหวังว่าจะได้ฟังอะไรเปรี้ยวๆ แบบ Suede ชุดแรกๆ เพราะอัลบั้มชุดนี้เต็มไปด้วยเพลงจังหวะช้าๆ อารมณ์หม่นเศร้า เจือด้วยเครื่องสายเพราะๆ ถ้าฟังคนอยู่คนเดียว ก็พาลจะจิตตกเอาได้ง่ายๆ เพราะแค่ซิงเกิ้ลเปิดตัวอย่าง Love is Dead ก็หนักเอาการแล้ว ส่วนใครอยากฟังอะไรเข็ดฟันก็รอ The Tears ชุดสองแล้วกัน (จะมีมั้ย?)

Manic Street Preachers : Send Away The Tigers นี่ก็อีกวงยิ่งใหญ่ตลอดกาล หลังจากชุดที่แล้ว (Lifeblood - 2004) ทำคนฟังหลับสนิท คราวนี้ลุงๆ เลยกลับไปสู่ยุควัยรุ่นอีกครั้ง ใครอยากฟังซาวด์กีต้าร์เปรี้ยวๆ แบบสมัยที่อีตาริชชี่ยังอยู่ ได้สมใจอยากแน่ๆ เพลงเปิดตัวอย่าง Your Love Alone is not Enough ก็เก๋มาก เพราะดูเอ็ทกับ Nina Presson นักร้องนำวง The Cardigans
เอ้อ ว่าแต่ป้าแต๋วแกได้ฟังชุดนี้ยังนะ (ฮา)
อีกอันที่ฟังอยู่ก็คือ ...เอ่อ...

Rain : Rains World
แหม มันก็เพราะดีนะ (ชอบเวลา Rain ร้องเพลงเร็ว จะมีเสียง ซี้ดดด...ซี้ดดด ด้วย 5555)
อัลบั้มที่อยากฟังใจจะขาด

Bjork : Volta
คุณเตเต้ฟังแล้ว โทรมากรี๊ดสลบกับ จขบ. ทันที พี่แกบอกว่าตอนนี้ Bjork คือ Joan of arc of digital music (ว้าว) ที่บ้าบอคือมีเพลงที่เธอได้แรงบันดาลใจจากหนังเรื่อง Pans Labyrinth นอกจากนั้นยังมีเพลงที่เอากลอนมาจากหนังของ Andrei Tarkovsky ด้วย (มันบ้าไปแล้ว!) แผ่นไทยออก 15 พ.ค. นี้จ้ะ

Shitdisco : Kingdom of Fear
วงสุดรั่วที่มาแผลงฤทธิ์เดชไว้ในงานแฟตปีที่แล้ว ออกอัลบั้มเต็มแล้วจ้า

Dream Theater : Systematic Chaos
วงนี้มาแต่ละทีไม่เคยธรรมดา แค่ชื่ออัลบั้มก็น่าเกรงขามแล้ว (ออก 5 มิ.ย.)
Smashing Pumpkins : Zeistgeist
Billy Corgan เรายอมรับว่านายคืออัจฉริยะ และเราขอแนะนำว่านายไม่ต้องไปหาสมาชิกวงเพิ่มแล้วล่ะ ใช้จ้างวงแบ็คอัพเอาแบบอีตา Trent Reznor แห่ง Nine Inch Nails เอาดีกว่า จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันเปล่าๆ (อัลบั้มชุดนี้ออก วันที่ 7 เดือน 7 ปี 2007 ...เก๋อีกแล้ว)
Create Date : 13 พฤษภาคม 2550 |
Last Update : 13 พฤษภาคม 2550 14:00:32 น. |
|
37 comments
|
Counter : 3279 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: Zander IP: 125.26.147.80 วันที่: 13 พฤษภาคม 2550 เวลา:22:49:13 น. |
|
|
|
โดย: malancholia IP: 58.8.24.8 วันที่: 13 พฤษภาคม 2550 เวลา:22:56:25 น. |
|
|
|
โดย: Chubby_Gook IP: 203.113.17.180 วันที่: 14 พฤษภาคม 2550 เวลา:0:40:20 น. |
|
|
|
โดย: RISHADAN PORT IP: 203.113.37.8 วันที่: 14 พฤษภาคม 2550 เวลา:3:25:58 น. |
|
|
|
โดย: grappa วันที่: 14 พฤษภาคม 2550 เวลา:7:38:06 น. |
|
|
|
โดย: cottonbook วันที่: 14 พฤษภาคม 2550 เวลา:11:05:14 น. |
|
|
|
โดย: nanoguy วันที่: 14 พฤษภาคม 2550 เวลา:12:23:14 น. |
|
|
|
โดย: ปืนกล IP: 203.131.217.33 วันที่: 14 พฤษภาคม 2550 เวลา:15:56:17 น. |
|
|
|
โดย: http://mew-j.spaces.live.com IP: 203.113.61.107 วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:0:25:30 น. |
|
|
|
โดย: merveillesxx IP: 161.200.255.162 วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:2:32:02 น. |
|
|
|
โดย: penguinbear (penguin_bear ) วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:3:00:14 น. |
|
|
|
โดย: penguinbear (penguin_bear ) วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:3:03:06 น. |
|
|
|
โดย: ฟ้าดิน วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:3:22:18 น. |
|
|
|
โดย: zoxmok IP: 124.176.72.142 วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:8:09:56 น. |
|
|
|
โดย: zoxmok IP: 124.176.72.142 วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:8:13:39 น. |
|
|
|
โดย: initial A IP: 203.209.119.86 วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:10:14:07 น. |
|
|
|
โดย: initial A IP: 203.209.119.86 วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:10:23:29 น. |
|
|
|
โดย: mew-j IP: 203.113.61.107 วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:13:33:20 น. |
|
|
|
โดย: grappa IP: 58.9.201.129 วันที่: 15 พฤษภาคม 2550 เวลา:22:48:55 น. |
|
|
|
โดย: mew-j IP: 203.113.61.108 วันที่: 16 พฤษภาคม 2550 เวลา:0:49:54 น. |
|
|
|
โดย: merveillesxx IP: 161.200.255.162 วันที่: 17 พฤษภาคม 2550 เวลา:3:57:54 น. |
|
|
|
โดย: สาวอิตาลี วันที่: 17 พฤษภาคม 2550 เวลา:18:18:31 น. |
|
|
|
โดย: it ซียู IP: 58.10.102.32 วันที่: 17 พฤษภาคม 2550 เวลา:18:44:24 น. |
|
|
|
โดย: initial A IP: 210.1.13.194 วันที่: 18 พฤษภาคม 2550 เวลา:13:16:02 น. |
|
|
|
โดย: zoxmok IP: 124.184.247.228 วันที่: 18 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:21:32 น. |
|
|
|
โดย: Mesia_82 IP: 203.144.224.162 วันที่: 19 พฤษภาคม 2550 เวลา:10:23:46 น. |
|
|
|
โดย: it ซียู IP: 58.10.102.243 วันที่: 19 พฤษภาคม 2550 เวลา:13:48:03 น. |
|
|
|
โดย: coming soon (The Yearling ) วันที่: 27 พฤษภาคม 2550 เวลา:14:44:53 น. |
|
|
|
โดย: kit IP: 203.113.61.107 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2550 เวลา:22:02:01 น. |
|
|
|
โดย: kit IP: 203.113.61.107 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2550 เวลา:22:20:21 น. |
|
|
|
|
|
|
|
1. Spider-Man 3 (2007, Sam Raimi, B-)
เป็นการปิดไตรภาคที่ไม่สวยงามเอาเสียเลย สำหรับไอ้แมงมุม
ตอนแรกเห็นว่าธีมของหนังภาคนี้คือการเข้าสู่อำนาจด้านมืด (drak force) และลุ่มหลงในอำนาจ ก็เข้าใจไปว่านี่จะทำให้ spiderman กลายเป็น the power trilogy เพราะภาคแรกพูดถึง "ความ
อำนาจกับความรับผิดชอบ" ภาคสองพูดถึง "การละทิ้งอำนาจ" และแอบในใจไว้เล็กๆ ว่าความลุ่มหลงในอำนาจในภาคสามอาจมีสารแฝงนัยถึงท่านผู้นำบ้าง (เหมือนที่ The King and the Clown
เคยทำ)
แต่คงลืมไปว่า spiderman เป็นหนังที่ชูทัศนคติแบบ "อเมริก๊า อเมริกา" หนังก็เลยไม่มี context อะไรแบบนั้น หนังกลับแสดงภาพว่าสไปเดอร์แมทนสำคัญต่ออเมริกา (โดยเฉพาะ "นิวบอร์ก"
ขนาดไหน) ฉากท้ายๆ ที่สไปเดอร์กระโดดลงมา โดยมีธงชาติอเมริกาเป็นฉากหลัง อาจจะเป็นฉากที่ฮาที่สุดของปีนี้เลยก็ได้
ส่วนในตัวหนังเอง หนังกลับถ่ายทอดการเข้าด้านมืดของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ด้วยการ ....ให้โทบี้ แม็คไกวร์เขียนขอบตาดำ และมาเมื่อถึงฉากพาร์คเกอร์จีบสาวกลางถนน พร้อมกับเต้นระบำท่า
เดียวของ จอหืน ทราโวต้า ในหนัง Saturday Night Live ทุกอย่างก็ถึงจุดจบสั้น สไปเดอร์แมนจากสองภาคแรก ได้ตายอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
จุดเด่นของสไปเดอร์แมนคือ เขาเป็นฮีโร่ที่มีลักษณะมนุษยนิยมสูง คนดุสามารถ connect กับเขาได้ง่าย (อย่างเช่นชุดแปลงกลายแบบบ้านๆ) ต่างจาก superman (ไม่ใช่มนุย์โลก) และ batman
(ที่เป็นมหาเศรษฐีผู้มีอาการทางจิต - ฮา) จุดที่ผิดพลาดของภาคนี้ก็คือ มันดู "การ์ตูน" เกินไป เปรอะไปด้วย CG จนน่าเวียนหัว และมุกตลกอันพร่ำเพรื่อ
นอกจากนั้นหนังยังโชว์โง่อะไรหลายอย่าง อย่างเช่น ตัวละครของโทเฟอร์ เกรซ มองเห็นพาร์คเกอร์ในโบสถ์ในระยะความสูงขนาดนั้นได้ยังไง? (ถ้าเช่นนั้นเค้าควรไปเป้นนักแม่นปืน ไม่ใช่นักข่าว
กิ๊กก๊อก), ทำไมพ่อบ้านถึงมาบอกความจริงกับแฮร์รี่เอาป่านนั้น และฉากที่วีน่อมเกลี้ยกล่อมแซนด์แมนให้เป็นพวกด้วยคำพูดเพียง 2-3 ประโยค ...โอ้ อะไรๆ มันง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ
มาถึงตอนนี้เรามีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย - ข่าวดีก็คือ โทบี้ แม็คไกวร์ จะมาต่อสัญญาแล้ว ส่วนข่าวร้ายคือ เค้าประกาศสร้างหนังอีก 3 ภาค!!! ฮ่า ฮ่า ฮ่า
2. Now and Forever (2006, Kim Seong-jung, C)
ไม่น่าเชื่อว่า 5 ปีผ่านไป หนังเมโลดราม่าเกาหลี ไม่มีอะไรพัฒนาขึ้นเลย ด้วยพล็อตสูตรๆ ที่ซ้ำซากยิ่งกว่ารสชาติมาม่า เริ่มต้นด้วยพระเอกนางเอกที่ทะเลาะกัน ไม่ถูกกัน และต้องพัวพันกันด้วยเหตุบังเอิญ (จำพนกวไหนก็ได้ ไม่ต้องน่าเชื่อนักหรอก) จากนั้นเค้าทั้งสองก็รักกัน ...แล้วยังไงต่อ...ใช่แล้ว! นางเอกก็ต้องเป็นโรคร้ายอะไรสักอย่าง จนใกล้ตาย โดยคุณสมบัติของโรคห่านี้ก็คือ โรคอะไรก็ได้ที่ "ไม่แสดงอาการ ก็ร้ายแรงเฉียบพลัน และลุกลามไว" และขอบคุณพระเจ้าที่หนังเรื่องนี้เลิกใช้โรคลูคีเมียแล้ว (ฮา)
3. Valley of Flowers (2006, Pan Nalin, A)
นี่คือ The Fountain ฉบับฮินดู หนังพูดเรื่อง immortality และความน่ากลัวของมัน
4. The Night Time Picnic (2006, Masahiko Nagasawa, B+)
ทำไมพระเอกเรื่องนี้ต้องทำหน้าเหมือนปวดขี้ตลอดเวลา
5. Next (2007, Lee Tamahori, C+)
ดิฉันดูหนังเรื่องนี้ด้วยเหตุผลเดียวคือ จูลี่แอน มัวร์