Syd Barrett (1946-2006) : You always shine like a crazy diamond
โดย merveillesxx
Syd Barrett (1946-2006)
เมื่อหลายวันก่อนขณะที่กำลังเคลิบเคลิ้ม ล่องลอย และถูกหลอกหลอนด้วยอัลบั้ม The Eraser ของ Thom Yorke และพลันที่มือของผมก็กดคลิกเม้าส์ท่องโลกไซเบอร์ไปอย่างเรื่อยเปื่อย ชั่วขณะนั้นเองที่สายตาต้องหยุดสะดุดกึกกับพาดหัวข่าวที่ปรากฏบนหน้าจอ
"ซิด บาร์เร็ตต์" ผู้ก่อตั้ง Pink Floyd เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 60 ปี //www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9490000089179
ต้องสารภาพตามตรงว่าความรู้สึก ณ ตอนนั้น คือ ใจหาย
ทุกวันนี้คนอาจจะลืมไปแล้วว่า ซิด บาร์เร็ตต์ (Syd Barrett) คือใคร เพราะบาร์เร็ตต์ก็ไม่ต่างจาก ริชชี่ เจมส์ (Richie James) แห่ง Manic Street Preachers ที่หายตัวไปอย่างลึกลับ ไร้ร่องรอยจากวงการเพลง (ยังจะเหมือนกันอีกก็ตรงที่ บาร์เร็ตต์ใช้ชีวิตบั้นปลายกับการทำสวน ส่วนรายนายริชชี่ก็มีคนลือว่าแกไปเลี้ยงแกะ)
ความสำคัญของบาร์เร็ตต์ก็คือ เขาเป็นสมาชิกรุ่นบุกเบิกของวงโปรเกรสซีฟในตำนานอย่าง Pink Floyd แต่ก็เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะบาร์เร็ตต์มีส่วนร่วมแค่สองอัลบั้มแรก (จากสิบกว่าอัลบั้มของ Pink Floyd) คือ The Piper at the Gates of Dawn (1967) และ A Saucerful of Secrets (1968)
The Piper at the Gates of Dawn (1967)
การประพันธ์เพลงของบาร์เร็ตต์เปรียบเหมือนกับเด็กไฮสกูลที่เลิกเรียนแล้วรีบวิ่งกลับบ้านมานั่งแต่งเพลง มันจึงเต็มไปด้วยความพลุ่งพล่านแห่งวัยหนุ่มฉกรรจ์ แต่ขณะเดียวกันก็มีความเศร้าเชิงโศกนาฏกรรมของเหล่าวัยรุ่นแฝงอยู่ อย่างเช่นในเพลงฮิตเพลงแรกๆ ของ Pink Floyd อย่าง See Emily Play
See Emily Play
Emily tries but misunderstands, ah ooh She often inclined to borrow somebody's dreams till tomorrow There is no other day Let's try it another way You'll lose your mind and play Free games for may See Emily play
Soon after dark Emily cries, ah ooh Gazing through trees in sorrow hardly a sound till tomorrow
There is no other day Let's try it another way You'll lose your mind and play Free games for may See Emily play
Put on a gown that touches the ground, ah ooh Float on a river forever and ever, Emily, Emily There is no other day Let's try it another way You'll lose your mind and play Free games for may See Emily play
แม้ See Emily Play จะมีเนื้อเพลงและท่วงทำนองที่เข้าถึงง่าย แต่นั่นก็ไม่ใช่แนวเพลงที่แท้จริงของบาร์เร็ตต์ เพลงส่วนใหญ่ของเขาเต็มไปด้วยความสับสน ยุ่งเหยิง เนื้อเพลงบางเพลงแทบไม่เป็นภาษามนุษย์ และสื่อสารกับคนหมู่มากไม่ได้ ด้านท่วงทำนองก็หลอกหลอนและกดดัน อันเป็นจุดเริ่มต้นของแนวทางแบบไซคีเดเลิก (Psychedelic) ที่ Pink Floyd ดำเนินมาข้ามทศวรรษ ...หลายสิ่งเหล่านี้ที่ออกมาจากบาร์เร็ตต์นั้น มีแรงขับเคลื่อนที่สำคัญคือ ยาเสพติด
เป็นที่รู้กันว่าบาร์เร็ตต์นั้นเป็นศิลปินประเภท เล่นยาไป แต่งเพลงไป และนั่นเองก็เป็นเหตุแห่งความล่มสลายในชีวิต เมื่อสติสัมปชัญญะของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว (ว่ากันว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งในคอนเสิร์ตที่บาร์เร็ตต์ออกไปยืนหน้าเวทีเฉยๆ โดยไม่แม้แต่ขยับปาก) ประกอบกับอีโก้ที่ล้นปรี่และอารมณ์อันเกรี้ยวกราด ทำให้สมาชิกที่เหลืออัปเปหิบาร์เร็ตต์ออกจากวงในที่สุด (บ้างก็ว่าบาร์เร็ตต์ขอลาออกเองเนื่องจากมีส่วนร่วมเพียงเพลงเดียวในอัลบั้มชุดที่สอง เอ๊ะ ข้อขัดแย้งเชิงความจริงแบบนี้ เหมือนกับวงร็อคบ้านเราที่ชื่อประมาณ โคตรโง่ เลยเนาะ)
หลังจากนั้น Pink Floyd ก็รับตัว เดวิด กิลมอร์ (David Gilmour) เข้ามาในวง โดยแนวเพลงของวงก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจากสมัยของบาร์เร็ตต์ ด้วยอิทธิพลและอำนาจเผด็จการของ โรเจอร์ วอเตอร์ส (Roger Waters) โทนของเพลงออกไปในทางจริงจัง เคร่งเครียด และอาจพูดให้สุดโต่งที่สุดด็คือมัน แปลกแยก
แล้วประวัติศาสตร์แห่งการปะทะปะทังกันด้วยเรื่องของ อีโก้ ก็ซ้ำรอย เมื่อกิลมอร์และสมาชิกคนอื่นๆ ทนความบ้าอำนาจของวอเตอร์สไม่ไหว จนในที่สุดวอเตอร์สก็เดินออกจากวงไป และ Pink Floyd ยุคที่สามก็เริ่มต้นขึ้นโดยปราศจากร่างเงาของวอเตอร์ส
วอเตอร์สและกิลมอร์ไม่มองหน้ากันเป็นสิบปี จนด้วยเพราะความชราภาพ, อีโก้ที่ลดถอย หรือจะเพราะอะไรก็แล้วแต่ Pink Floyd เพิ่งจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งบนเวทีคอนเสิร์ต LIVE8 เมื่อปีที่ผ่านมา นับได้ว่าเป็น การหวนคืนครั้งประวัติศาสตร์
ทางด้านบาร์เร็ตต์ หลังออกจาก Pink Floyd เขาออกอัลบั้มเดี่ยวมา 2 ชุด แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลย และจากนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆไป ตามฉายาที่คล้อยหลังว่า อัจฉริยะในเงามืด
แต่ใช่ว่าบาร์เร็ตต์จะมีความสำคัญในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งวงในตำนานอย่าง Pink Floyd เท่านั้น บาร์เร็ตต์ยังมีฐานะเป็น แรงบันดาลใจ ของวงด้วย เพราะชีวิตอันดำมืดและบาดแผลทางจิตใจอันบาดลึกของเขานั่นเองที่ Pink Floyd ใช้สร้างสรรค์อัลบั้มอย่าง Dark Side of the Moon (1973) และ The Wall (1979)
Dark Side of the Moon (1973)
Wish You Were Here (1975)
The Wall (1979)
Pink Floyd ถึงขนาดแต่งเพลง Shine on You Crazy Diamond ที่บรรจุอยู่ในชุด Wish You Were Here (1975) ให้กับบาร์เร็ตต์ เพลงนี้เป็นเพลงมหากาพย์ มีความยาวถึง 9 Part และเนื้อเพลงท่อนแรกกล่าวว่า Remember when you were young, you shone like the sun ไม่ต้องสงสัยเลย นี่คือภาพในอดีตอันรุ่งโรจน์ของบาร์เร็ตต์นั่นเอง
ตอนที่วงกำลังบันทึกเสียงเพลง Shine on You Crazy Diamond นั้นก็มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อบาร์เร็ตต์เดินทางมาที่ห้องอัดพอดี สภาพที่โรยราและพฤติกรรมแปลกประหลาดของเขา ทำให้วอเตอร์สสะเทือนใจมาก
ริชาร์ด ไรท์ (Richard Wright) หนึ่งในสมาชิกของวงเล่าถึงเหตุการณ์ตรงนี้ไว้ว่า "ตอนพบกันครั้งนั้นโรเจอร์ถึงกลับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ผมคิดว่าเราทั้งสองต่างร้องไห้ มันเป็นเรื่องสุดช็อคจริงๆ ที่อยู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวมา หลังจากที่ไม่ได้ติดต่อกันมาถึง 7 ปี แล้วอยู่ดีๆ เขาก็เดินมาหาในระหว่างที่เรากำลังบันทึกเสียง Shine on You Crazy Diamond ที่เราแต่งให้กับเขา ผมไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร...เป็นความบังเอิญ ชะตากรรม หรือพรหมลิขิตก็สุดแล้วแต่จะเรียก แต่มันเป็นอะไรที่ทรงพลังมากเลยจริงๆ"
นอกจากนั้นแล้วบาร์เร็ตต์ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลังอย่าง เดวิด โบวี่ ที่นำเอาเพลง See Emily Play ไปคัพเวอร์เมื่อปี 1973 รวมไปถึง แกรม ค็อกซอน อดีตมือกีต้าร์วง Blur
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ในข่าวการเสียชีวิตของซิด บาร์เร็ตต์ ในเวบผู้จัดการนั้น มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมสะเทือนใจมากก็คือ สภาพรูปลักษณ์ของเขาในช่วงบั้นปลาย ซึ่งเรียกได้ว่าแทบเป็นคนละคนกับสมัยที่รุ่งโรจน์
ระยะหลังมานี้ผมเริ่มพยายามทำใจและปลงให้ตกกับเรื่อง ความโรยรา และ ความชราภาพ ของมนุษย์ ว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างเช่นว่ามีแฟนสวยๆ ไปก็เท่านั้น พอนานไปก็แก่หนังยานเหมือนกันหมดทั้งชายและหญิง (แต่บางทีอาจจะเป็นข้ออ้างจากจิตใต้สำนึกที่หาแฟนสวยๆ ไม่ได้ ฮา)
แต่ผมก็ยังอดใจหายไม่ได้ เมื่อเห็น พราย-ปฐมพร แบบไม่คาดหน้าและท่าทางเหมือนพนักงานบริษัท, บอย จอร์จ ที่ไร้การแต่งแต้มเมคอัพ แต่กลายเป็นตาแก่พุงพลุ้ยที่เดินอุ้ยอ้ายอยู่ในสวนสาธารณะ หรือวิทนี่ย์ ฮุสตัน ในสภาพผีติดกระดูกด้วยฤทธิ์จากการเสพยาอย่างต่อเนื่อง (ในที่นี้ขอไม่นับ ไมเคิล แจ็คสันแล้วกัน เพราะรายนั้นเกินเยียวยาจริงๆ)
อย่างไรก็ตาม ผลงานของคนเหล่านั้นยังคงสร้างพลังและแรงบันดาลใจให้กับรุ่นหลังได้ มีคนหลายคนที่คิดเลิกจะฆ่าตัวตายเพราะฟังเพลงของพราย (อย่างที่เขาร้องไว้ เกิดมาไม่รู้จะทำอะไร ก็ไปตายซะ!) ผู้คนยังคงเต้นเริงร่าในผับที่เปิดเพลงของ Culture Club (ยังมีหลงเหลือมั้ย?) ไคลี่ย์ มิโน้ก ก็ยังเอาเพลง The Crying Game ไปร้องในคอนเสิร์ต หรือแม้แต่ พัดชา แห่ง AF2 ก็เอาเพลง I Will Always Love You ไปร้องจนคนไทยที่นั่งดูรายการในคืนนั้นอึ้งกันไปทั้งประเทศ ศิลปินไม่ได้มีความอมตะอยู่คู่กับตัว ผลงานและความทรงจำที่มีตัวต่อศิลปินเท่านั้นที่เป็นสิ่งอยู่เหนือกาลเวลา
เพราะฉะนั้นสำหรับผมและคนทั้งโลกแล้ว ซิด บาร์เร็ตต์ ก็ยังคงเป็น เพชรที่เจิดจ้าอย่างบ้าคลั่ง ตามเพลง Shine on You Crazy Diamond ที่ Pink Floyd อุทิศให้
ปล. สำหรับคนที่อ่านการ์ตูนเรื่อง โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ จะต้องคุ้นกับชื่อ เครซี่ ไดอะมอนด์ แน่นอน เพราะเป็นชื่อแสตนด์ของ โจสุเกะ พระเอกในภาค 4 ซึ่งเป็นภาคที่ผมชอบที่สุดในการ์ตูนชุดนี้ครับ
Shine On You Crazy Diamond (I-V)
Remember when you were young, you shone like the sun. Shine on you crazy diamond. Now there's a look in your eyes, like black holes in the sky. Shine on you crazy diamond. You were caught on the crossfire of childhood and stardom, blown on the steel breeze. Come on you target for faraway laughter, come on you stranger, you legend, you martyr, and shine! You reached for the secret too soon, you cried for the moon. Shine on you crazy diamond. Threatened by shadows at night, and exposed in the light. Shine on you crazy diamond. Well you wore out your welcome with random precision, rode on the steel breeze. Come on you raver, you seer of visions, come on you painter, you piper, you prisoner, and shine!
Shine On You Crazy Diamond (VI-IX)
Nobody knows where you are, how near or how far. Shine on you crazy diamond. Pile on many more layers and I'll be joining you there. Shine on you crazy diamond. And we'll bask in the shadow of yesterday's triumph, sail on the steel breeze. Come on you boy child, you winner and loser, come on you miner for truth and delusion, and shine
ข้อมูลประกอบการเขียน
1. ข่าวการเสียชีวิตของ Syd Barrett จากเวบไซต์ผู้จัดการ (ตามลิงค์ข้างบน)
2. หนังสือ บางทีนี่อาจจะเป็นวงดนตรีดีที่สุดในโลก PINK FLOYD โดย จิตติ พัวสุทธิ นสพ.คอหนังฟังเพลง
3. ความทรงจำแบบสะสมและตกผลึก จากข้อมูลในหนังดนตรีดีๆ อย่าง Music Express, Crossroad และ Starpics ที่ปัจจุบันเลิกซื้อและขายซาเล้งไปหมดแล้ว
4. ซีดีอัลบั้ม The Wall มรดกตกทอด (โดยไม่ตั้งใจ) จากพ่อ
Create Date : 19 กรกฎาคม 2549 |
Last Update : 19 กรกฎาคม 2549 18:58:58 น. |
|
16 comments
|
Counter : 13791 Pageviews. |
|
|
|
พูดถึง Pink Floyd อีกนิดหน่อย
ต้องสารภาพครับว่าผมได้ฟังงานของ Pink Floyd ไม่กี่อัลบั้ม แล้วหลายๆ เพลงของวงนี้ผมก็ไม่อาจเข้าถึงเนื้อหาของมันได้เลย
แต่อัลบั้มชุด The Wall ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตผมครับ ผมได้ฟังอัลบั้มชุดนี้ตอนอยู่ประมาณ ม.6 โดยไปขุดเจอในลังเก็บซีดีเก่าๆ ของพ่อ
The Wall เป็น concept album อันยิ่งใหญ่ เนื้อหาของมันพูดถึงชายคนหนึ่งกับการก่อ "กำแพง" ขึ้นในจิตใจตัวเอง ไปจนถึงการทำลายกำแพงนั้นลงในที่สุด
ผมพบว่าตัวเองมีหลายสิ่งหลายอย่างคล้ายกับชายคนนั้น และนี่เองอาจจะเป็นเหตุที่ทำให้ The Wall โด่งดังไปทั่วโลก เพราะทุกคนล้วนมีสัมผัสทางจิตวิญญาณได้กับอัลบั้มชุดนี้
สำหรับท่านที่ไม่เคยฟัง Pink Floyd ผมขอแนะนำ 4 อัลบั้มที่น่าฟังคือ
1. Dark Side of the Moon (1973)
2. Wish You Were Here (1975)
3. Animals (1977) - อัลบั้มนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากนิยายเรื่อง "รัฐสัตว์" ของ George Orwell
4. The Wall (1979)
หรือจะเป็นอัลบั้มรวมฮิตชุด Echoes (2001) ก็คุ้มอยู่ครับ นี่เป็นอัลบั้มรวมฮิตที่พิถีพิถันมาก ไม่ใช่แค่การจับเพลงดังๆ ใส่ลงไป (เห็นได้ชัดที่สุดจากการเรียงลำดับและเชื่อมต่อแต่ละเพลง)
-------------------------------
ช่วงนี้กรุงเทพฝนตกทุกวัน ผมก็เลยได้รับความซวยไปโดยปริยาย เมื่อเช้าวันอังคารยังดีอยู่แท้ๆ แต่พอตกบ่ายก็เริ่มออกอาการ พอตอนเย็นก็จับไข้ในที่สุด (แต่ตอนนี้ก็เริ่มดีขึ้นแล้ว) รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ
--------------------------------
หนังที่ได้ดูช่วงนี้
1. The Lift (1972, Robert Zemeckis, A) (หนังสั้น)
2. Conversations with Other Women (2005, Hans Canosa, A+)
หนังเรื่องนี้มี DVD ลิขสิทธิ์ขายในบ้านเราแล้ว (ของค่ายเจบิคส์) แต่รู้สึกดีมากๆ ที่ได้ดูใน BIOSCOPE THEATRE เพราะ
2.1 หลังปก DVD เรื่องนี้มีเขียน SPOILER เอาไว้ อาจทำให้เสียอรรถรสในการดูหนังอย่างรุนแรง
2.2 นั่งเรื่องนี้เหมาะกับการดูจอใหญ่ๆ เพราะหนังมีการใช้ Spilt Screen ตลอดเรื่อง
จุดที่ชอบหนังเรื่องนี้มากๆ ก็คือ โทนอารมณ์ของหนังค่อนข้างอยู่ระหว่างกึ่งกลาง หนังไม่ได้เศร้าเกินไป แต่ก็ไม่ได้ดูเพ้อฝันเกินไปด้วย
หนังเอื้อให้สามารถมีฉากระเบิดอารมณ์ได้มากมาย แต่คัวละครทั้งสองของเรื่องดูมี "ความเข้าอกเข้าใจ" ต่อกันและกันสูง และหนังก็สามารถทำให้เราเชื่อได้
สุดท้ายก็ต้องขอกราบกรานการแสดงของ Helena Bonham Carter ไว้ ณ ที่นี้ (เพิ่งรู้ว่าเธอเล่นหนังเก่งขนาดนี้)
3. Twentynine Palms (2003, Bruno Dumont, A+)
ดูจบแล้วรู้สึกหดหู่ และกลัวมนุษย์ด้วยกันมาก นี่คืออีกหนึ่งหนังที่ควรบรรจุใน เทศกาลหนังเซ็กส์เสื่อม (หนังล่าสุดของ บรูโน เดอมองต์ คือเรื่อง Flanders เป็นหนังเกี่ยวกับสงคราม และคว้ารางวัลกรังปรีซ์มาจากคานส์ได้)
----------------------------------------------------
เพลงที่ได้ฟังช่วงนี้
1. Thom Yorke : The Eraser (2006, A+)
อัลบั้มชุดนี้ออกโดยค่าย Platinum (ที่ป้ายสีแดงๆ นั่นไง) ราคาปก 399 แต่ตอนนี้ที่ร้าน Powe Music ลดเหลือ 299 ครับ
อย่างที่คาด เพลงในชุดนี้เต็มไปด้วยสุ้มเสียงอิเล็กโทรนิกเหมือนงานของ Radiohead ชุดหลังๆ แต่ไม่หลุดโลกเท่ากับ Kid A หรือ Amnesiac แต่อย่างไร ค่อนข้างจะป็อปกว่าเยอะทีเดียว
บางเพลงในชุดนี้ได้ Jonny Greenwood มาช่วยเล่นเปียโนเพราะๆ ให้ด้วย (เพิ่งรู้ว่าบ้านเรามีชุด Bodysong ของตานี่ขายด้วย ผมได้แผ่นมือสองมาจาก cd warehouse ครับ)
สำเนียงและวิธีขับร้องของ Thom Yorke ยังคงลื่นไหลและหลอกหลอนไปพร้อมกันเหมือนเคย ตัวอย่างเช่นในเพลง Black Swan ที่เต็มไปด้วยคำฟักแฟงแตงโม ตาหน้าหนูผีแกก็ยังทำให้เป็นเพลง melody สวยๆ ได้ (อย่างน้อยก็เคยทำให้ประโยค You're so f*cking special กระหึ่มโลกโลกมาแล้วเมื่อสิบกว่าปีก่อน)
ตอนฟังรอบแรก ผมออกจะผิดหวังนิดๆ ครับ เพราะอยากฟังอะไรหลุดๆ มากกว่านี้ เพลงส่วนใหญ่ดูเรียบๆ กลืนไปทั้งอัลบั้ม แต่หลังจากฟังมากรอบขึ้น ก็ชอบมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ คิดว่าอัลบั้มชุดนี้เหมาะการฟังช่วงเวลาฝนตกตอนเย็นๆ แบบทุกวันนี้ (แน่นอนมันไม่ได้ให้อารมณ์โรแมนติก), ช่วงหัวค่ำ หรือช่วงที่อยากทบทวนตัวเอง
เพลงที่ชอบมากๆ ในชุดนี้
- The Eraser
- And It Rained All Night
- Harrowdown Hill
- Cymbal Rush
แถมเล่นๆ 5 เพลงที่ชอบมากที่สุดของ Raiohead (เรียงลำดับ)
1.1 How to disappear completely
1.2 Everything in its right place
1.3 High & Dry
1.4 Idioteque
1.5 Paranoid Android
2. Muse: Black Holes & Revelations (2006, A+)
อัลบั้มนี้น่าจะเหมาะกับคนที่ชอบพวกเสียงสังเคราะห์เยอะๆ ครับ มีทั้งเสียง synth เสียงแบบ industrial sound บางเพลงก็เหวอมากครับ มีวงออเครสตร้ากับแจ๊ซมาเฉยเลย ฟังไปฟังมาบางเพลงก็นึกถึง Dream Theatre แต่บางเพลงดันไปคล้าย New Order (อะไรวะเนี่ย)
สรุปแล้วนี่เป็นอัลบั้มที่เสียสติมากๆ ครับ
ปล. ถ้าเข้าใจไม่ผิด เพลงแรกของอัลบั้ม TAKE A BOW เป็นเพลงด่า โทนี่ แบลร์ และที่จริงแล้วเกือบทุกเพลงในอัลบั้มนี้พูดเรื่องการเมือง!
----------------------------------------------------
หนังสือที่ได้อ่านในช่วงนี้
1. Invisible Waves คำพิพากษาของมหาสมุทร (2006, ปราบดา หยุ่น, A-)
2. มิเกะเนะโกะโฮล์มส์ แมวสามสียอดนักสืบ ตอนที่ 8 ปราสาทอัศวิน (1983, Akagawa Jiro, B+/B)
ชอบมากกว่าตอนที่ 7 แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ของซีรี่นี้ดีขึ้นเลย