ความเชื่อมั่นธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย--กรุงไทยขายกรมธรรม์ประกันภัยรูปแบบใหม่. . .
. . .
ความเชื่อมั่นธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย จากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้น ในประเทศสหรัฐอเมริกา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัย นั้น AIG กลุ่มธุรกิจการเงินขนาดใหญ่ขาดสภาพคล่องเฉพาะในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และหลักทรัพย์
สำนักงาน คปภ. ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย จากภาพรวมธุรกิจประกันภัยนับตั้งแต่ต้นปี 2551 ถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2551 ตัวเลขของธุรกิจประกันภัยมีอัตราเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมทั้งสิ้น 155,719 ล้านบาท มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 10.64 เมือเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 โดยธุรกิจประกันชีวิต มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.56 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 และธุรกิจประกันวินาศภัย มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.36 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 สำนักงาน คปภ. ได้คาดการณ์ว่า ไตรมาส 4 ของ ปี 2551 ธุรกิจประกันวินาศภัย จะมีอัตราขยายตัว 7.36 และธุรกิจประกันชีวิต จะมีการขยายตัว 14.10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550
นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการสำนักงาน คปภ. ได้กล่าวถึง การที่ผู้เอาประกันภัยจะ ทำการยกเลิกกรรมธรรม์ก่อนครบกำหนดสัญญา ต้องมีความสร้างความเข้าใจก่อนว่า มูลค่าเวนคืนกรมธรรม์ที่ผู้เอาประกันภัยจะได้รับคืนมีมูลค่าเท่ากับ จำนวนเงินสะสมของเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยจ่ายไปหักค่าใช้จ่ายและค่าความคุ้มครองชีวิตโดยจำนวนเงินสะสมนี้จะเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้น หากผู้เอาประกันภัยยกเลิกกรมธรรม์ ในช่วงปีแรกๆ ของสัญญาประกันภัย จำนวนเงินที่ได้รับจะน้อยกว่าเบี้ยประกันที่ส่งไป สำนักงาน คปภ. อยากให้ผู้เอาประกันภัยได้ตระหนักถึงผลดีผลเสียที่จะได้รับ เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านต้องเสียสิทธิประโยชน์ หากมีข้อสงสัยโปรดติดต่อ ฝ่ายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย 02-547-4994 หรือ สายด่วนประกันภัย 1186 . . .
กรุงไทยขายกรมธรรม์ประกันภัยรูปแบบใหม่
ธนาคารกรุงไทยจับมือทิพยประกันภัย เสนอกรมธรรม์ประกันภัยแบบ Instant Card ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดในวงการประกันไทย ให้ความคุ้มครองทันที เมื่อลูกค้าลงทะเบียนผ่าน Call Center มีให้เลือก 3 แบบ ทั้งแบบวัยใส แบบคลาสสิค และแบบทรัพย์สิน
นายสหัส ตรีทิพยบุตร รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงาน สายงานบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาด บมจ.ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยเกี่ยวกับโครงการ Bancassurance ซึ่งธนาคารร่วมกับ บมจ.ทิพยประกันภัย นำผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัยมาจำหน่ายให้ลูกค้าผ่านสาขาทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายตามวิสัยทัศน์การเป็น The Convenience Bank หรือธนาคารแสนสะดวกว่า ล่าสุดธนาคารได้ให้บริการจำหน่ายบัตรกรุงไทย-ทิพยสมาร์ท (KTB-TIP Smart) ซึ่งเป็นกรมธรรม์ประกันภัยแบบใหม่ล่าสุด อาศัยเทคโนโลยี Instant Card ลูกค้าจะได้รับความคุ้มครองทันที หลังแจ้งการลงทะเบียนผ่าน Call Center โทร.0-2660-3455 โดยไม่ต้องรอการพิจารณารับประกันภัยจากบริษัท และไม่ต้องรอการจัดส่งกรมธรรม์เหมือนในอดีต
บัตรกรุงไทย-ทิพยสมาร์ท หรือ KTB-TIP Smart ที่ธนาคารจำหน่าย มี 3 รูปแบบ คือ
KTB-TIP Smart วัยใส สำหรับผู้มีอายุ 5-30 ปี คุ้มครองเสียชีวิตและอวัยวะจากอุบัติเหตุ ทุนประกัน 200,000 บาท คุ้มครอง 6 เดือน ราคาขายต่อบัตร 650 บาท และทุนประกัน 200,000 บาท คุ้มครอง 1 ปี ราคาขายต่อบัตร 1,200 บาท
KTB-TIP Smart คลาสสิค สำหรับผู้มีอายุ 5-70 ปี รับเงินชดเชย 2 เท่ากรณีพิการถาวร หรือสูญเสียอวัยวะ สายตา ทุนประกัน 200,000 บาท คุ้มครอง 6 เดือน ราคาขายต่อบัตร 650 บาท และทุนประกัน 200,000 บาท คุ้มครอง 1 ปี ราคาขายต่อบัตร 1,200 บาท
KTB-TIP Smart ทรัพย์สิน คุ้มครองอัคคีภัย ไฟไหม้ ฟ้าผ่า ระเบิด อากาศยาน ภัยจากน้ำ ลม พายุ การโจรกรรม และภัยน้ำท่วม ทุนประกัน 100,000 บาท คุ้มครอง 1 ปี ราคาขายต่อบัตร 700 บาท ทุนประกัน 300,000 บาท คุ้มครอง 1 ปี ราคาขายต่อบัตร 1,900 บาท และทุนประกัน 500,000 บาท คุ้มครอง 1 ปี ราคาขายบัตร 2,800 บาท
นายสหัส ตรีทิพยบุตร มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า เพราะเป็นนวัตกรรมใหม่แห่งการประกันภัย ซึ่งลูกค้าจะได้ความสะดวกรวดเร็ว ทำให้การประกันภัยเป็นเรื่องใกล้ตัว สามารถเข้าถึงได้ง่าย ลูกค้าที่สนใจซื้อได้ที่สาขาของธนาคารกว่า 790 แห่งทั่วประเทศ โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ ธนาคารจะสามารถจำหน่ายบัตรกรุงไทย-ทิพยสมาร์ทได้มากกว่า 100,000 ใบ
. . .
ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2551 และ 2552 (ณ เดือนกันยายน 2551)
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2551 จะขยายตัวดีขึ้นกว่าปีก่อน ที่ขยายตัวร้อยละ 4.8 ต่อปี มาอยู่ที่ร้อยละ 5.1 ต่อปี แต่ลดลงจากการประมาณการครั้งก่อนในเดือนมิถุนายน 2551 ที่ร้อยละ 5.6 ต่อปี เนื่องจากการใช้จ่ายภายในประเทศฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม ในขณะที่การส่งออก ซึ่งแม้ว่าจะยังขยายตัวในระดับสูงและช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยโดยรวมให้ขยายตัวได้ดีกว่าปีก่อน แต่ก็มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ลดลงกว่าที่คาดการณ์เดิมตามความเสี่ยงของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากที่คาดการณ์เดิม จากอัตราเงินเฟ้อในปี 2551 ที่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 6.3 ต่อปี จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 7.2 ต่อปี
ส่วนเสถียรภาพเศรษฐกิจนอกประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดีจากดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2551 ที่คาดว่ายังคงเกินดุลที่ร้อยละ 0.4 ของ GDP สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2552 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.0 -5.0 ต่อปี โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายในประเทศที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากฐานที่ต่ำในปีนี้ แต่การส่งออกในปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวลดลงตามการชะลอตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจโลก ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2552 คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.0-4.0 ต่อปี ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงจากฐานที่สูงในปี 2551 ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2552 คาดว่าจะเกินดุลร้อยละ 1.0-2.0 ของ GDP โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
1. เศรษฐกิจไทยในปี 2551
1.1 ด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยในปี 2551 คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 5.1 ต่อปี ลดลงจากที่ประมาณการไว้เดิมที่ร้อยละ 5.6 ต่อปี โดยคาดว่า การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนในปี 2551 จะขยายตัวที่ร้อยละ 2.8 และ 5.0 ต่อปี ตามลำดับ ซึ่งเป็นการฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมที่ร้อยละ 3.5 และ 8.5 ต่อปี เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและความไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลให้ผู้บริโภคและนักลงทุนชะลอการจับจ่ายใช้สอยและชะลอการตัดสินใจลงทุน สำหรับปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการในปี 2551 คาดว่าจะยังคงขยายตัวได้ในระดับสูงที่ร้อยละ 7.8 ต่อปี แต่ขยายตัวลดลงเล็กน้อยจากที่ประมาณการเดิมที่ร้อยละ 8.0 ต่อปี เนื่องจากการชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการประท้วงและการประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ในขณะที่ปริมาณการนำเข้าสินค้าและบริการคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 9.6 ต่อปี ลดลงเล็กน้อยจากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 9.7 ต่อปี ตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัวช้ากว่าเดิม
1.2 ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 6.3 ต่อปี จากที่คาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 7.2 ต่อปี เนื่องจากมาตรการ 6 เดือน 6 มาตรการและราคาน้ำมันที่ลดลงกว่าสมมติฐานเดิม ในขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่ายังคงเกินดุลที่ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ เกินดุลร้อยละ 0.4 ของ GDP แม้ว่าจะเป็นการเกินดุลที่ลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 1.4 ของ GDP เนื่องจากการขาดดุลการค้าอันเป็นผลมาจากมูลค่าสินค้านำเข้าที่ขยายตัวในอัตราเร่งถึงร้อยละ 29.8 ต่อปี ซึ่งสูงกว่ามูลค่าสินค้าส่งออกที่ขยายตัวร้อยละ 20 ต่อปี ในขณะที่ดุลบริการคาดว่าจะเกินดุลได้น้อยลง เนื่องจากรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะลดลงในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นผลจากการประกาศภาวะฉุกเฉินในช่วงที่ผ่านมา
2. เศรษฐกิจไทยในปี 2552 2.1 ด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยในปี 2552 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.0-5.0 ต่อปี โดยอุปสงค์ภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากฐานที่ต่ำในปี 2551 ทั้งนี้ การบริโภคภาคเอกชนในปี 2552 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.0-4.0 ต่อปี เนื่องจากรายได้ที่แท้จริงของภาคประชาชนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อที่น่าจะชะลอลงจากปี 2551 ในด้านการลงทุนภาคเอกชนในปี 2552 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปี 2551 มาอยู่ที่ร้อยละ 7.0-8.0 ต่อปี เนื่องจากการลงทุนที่ขยายตัวต่ำมากเป็นเวลาหลายปีประกอบกับอัตราการใช้กำลังการผลิตที่อยู่ในระดับสูงใกล้เต็มกำลังการผลิตมายาวนานจะมีโอกาสผลักดันให้มีการลงทุนใหม่เกิดขึ้น นอกจากนั้น การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลภายใต้กรอบนโยบายการคลังที่ขาดดุลเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 2.5 ของ GDP ในปีงบประมาณ 2552 จะช่วยสนับสนุนให้อุปสงค์ภายในประเทศฟื้นตัวขึ้น โดยคาดว่าการบริโภคภาครัฐและการลงทุนภาครัฐในปี 2552 จะขยายตัวที่ร้อยละ 7.0-8.0 และ 8.0-9.0 ต่อปี ตามลำดับ อนึ่ง การเร่งการใช้จ่ายของภาครัฐให้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ จะเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่ช่วยดึงให้การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย (Crowding-in Effect) ซึ่งจะเป็นแรงส่งสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวได้ในกรณีสูงของช่วงคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการในปี 2552 คาดว่าจะขยายตัวน้อยลงจากปี 2551 มาอยู่ที่ร้อยละ 6.5-7.5 ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเผชิญความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพมากขึ้น สำหรับปริมาณการนำเข้าสินค้าและบริการคาดว่าจะชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 6.5-7.5 ต่อปี ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม
2.2 ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ เสถียรภาพเศรษฐกิจในปี 2552 ยังน่าจะอยู่ในเกณฑ์ดี โดยดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2552 คาดว่าจะยังคงเกินดุลที่ร้อยละ 1.0-2.0 ของ GDP เนื่องจากการเกินดุลการค้าตามราคาสินค้านำเข้าที่คาดว่าจะลดลงมากกว่าราคาสินค้าส่งออก (Better term of trade) ทำให้มูลค่าการนำเข้าสินค้าขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 9.0-11.0 ต่อปี เทียบกับมูลค่าส่งออกสินค้าที่น่าจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 11.0-13.0 ต่อปี ประกอบกับดุลบริการคาดว่าจะกลับมาเกินดุลมากขึ้นจากรายได้การท่องเที่ยวที่น่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ในปี 2552 นอกจากนั้น อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2552 คาดว่าจะชะลอตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.0-4.0 ต่อปี เนื่องจากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่คาดว่าจะขยายตัวในอัตราชะลอลงจากปี 2551
. . .
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนสิงหาคม 2551
นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้แถลงข่าวรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนสิงหาคม 2551 ว่า เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศและการใช้จ่ายจากต่างประเทศ ในขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น อันเนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงจากราคาน้ำมันที่ลดลงและผลของ 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
1. การบริโภคภาคเอกชนในเดือนสิงหาคม 2551 ขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่เริ่มมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง โดยเครื่องชี้การบริโภคจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (ณ ราคาคงที่) ขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 9.5 ต่อปี ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 23.3 ต่อปี ในขณะที่ปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 14.8 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 40.7 ต่อปี สำหรับเครื่องชี้การบริโภคสินค้าคงทนจากยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ขยายตัวที่ร้อยละ 4.6 ต่อปี หลังจากที่ขยายตัวในระดับสูงในเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 16.3 ต่อปี สะท้อนการใช้จ่ายของประชาชนในเขตภูมิภาคที่ชะลอลง เช่นเดียวกันกับปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งที่ขยายตัวชะลอตัวที่ร้อยละ 20.3 ต่อปีในเดือนสิงหาคมจากที่ขยายตัวร้อยละ 27.5 ต่อปี ในเดือนก่อน สำหรับเครื่องชี้แนวโน้มการบริโภคในอนาคตอันได้แก่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนสิงหาคมปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 70.5 จุด จากระดับ 71.8 จุดในเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยจากความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2551 กระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
2. การลงทุนภาคเอกชนในเดือนสิงหาคม 2551 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าอย่างชัดเจน โดยเครื่องชี้การลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนชะลอตัวลงมากขยายตัวเพียงร้อยละ 1.8 ต่อปี จากที่ขยายตัวร้อยละ 28.4 ต่อปี ในเดือนก่อนหน้า ในขณะที่เครื่องชี้การลงทุนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือนสิงหาคมหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันที่ร้อยละ -25.7 ต่อปี โดยเป็นการหดตัวของรถบรรทุกและรถปิคอัพเป็นหลัก สำหรับเครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนด้านการก่อสร้างมีการขยายตัวลดลงเช่นกัน โดยภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวร้อยละ 7.8 ต่อปีในเดือนสิงหาคม 2551 หลังจากที่ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา (เดือนเมษายน กรกฎาคม 2551) อันเป็นผลจากมาตรการลดหย่อนภาษีอสังหาริมทรัพย์เพื่อสนับสนุนธุรกรรมในภาคอสังหาริมทรัพย์
3. เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจด้านการคลังในเดือนสิงหาคม 2551 พบว่ารายได้จัดเก็บของรัฐบาลสุทธิอยู่ที่ 181.4 พันล้านบาท โดยรายได้ภาษีจาก 3 กรมจัดเก็บภาษีเท่ากับ 181.0 พันล้านบาท หดตัวร้อยละ -14.9 ต่อปี เนื่องจากภาษีฐานรายได้หดตัวร้อยละ -21.8 ต่อปี ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 8.6 ต่อปี จากผลของวันยื่นชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลรอบครึ่งปีบัญชีตกอยู่ในวันที่ 1 กันยายน 2551 ขณะที่ภาษีฐานการบริโภค (ภาษีมูลค่าเพิ่ม) ขยายตัวร้อยละ 13.7 ต่อปี ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 33.3 ต่อปี เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากมูลค่าการนำเข้าที่ขยายตัวชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า และระดับราคาที่ปรับตัวลดลงในเดือนสิงหาคม สำหรับรายจ่ายงบประมาณในเดือนสิงหาคม 2551 สามารถเบิกจ่ายได้รวมทั้งสิ้น 124.6 พันล้านบาท ขยายตัวในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี โดยรายจ่ายประจำสามารถเบิกจ่ายได้จำนวน 107.8 พันล้านบาท ขยายตัวที่ร้อยละ 6.4 ต่อปี ในขณะที่รายจ่ายลงทุนสามารถเบิกจ่ายได้จำนวน 12.6 พันล้านบาท หดตัวที่ร้อยละ -27.0 ต่อปี เนื่องจากได้มีการเร่งเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนให้แก่ส่วนราชการ และโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในระดับสูงไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ รายจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2551 ในช่วง 11 เดือนแรก (ตุลาคม 2550 สิงหาคม 2551) ขยายตัวร้อยละ 4.7ต่อปี โดยสามารถเบิกจ่ายไปได้แล้ว 1,389.0 พันล้านบาท และคิดเป็นร้อยละ 83.7 ของกรอบวงเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2551 (1,660 พันล้านบาท)
4. มูลค่าการส่งออกในเดือนสิงหาคม 2551 เท่ากับ 15.9 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ ขยายตัวที่ร้อยละ 14.9 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าขยายตัวในระดับสูงร้อยละ 43.9 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวของราคาสินค้าส่งออกที่ขยายตัวร้อยละ 15.6 ต่อปี ในขณะที่ปริมาณการส่งออกหดตัวที่ร้อยละ -0.6 ต่อปี ซึ่งปริมาณการส่งออกที่หดตัวมาจากสินค้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นหลัก ในขณะที่สินค้าส่งออกประเภทยานยนต์และอุตสาหกรรมการเกษตรยังขยายตัวได้ดี สำหรับการนำเข้าในเดือนสิงหาคม 2551 เท่ากับ 16.7 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 26.9 ต่อปี แต่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 55.1 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวด้านราคาสินค้านำเข้าที่ร้อยละ 16.6 ต่อปี ในขณะที่ปริมาณสินค้านำเข้าชะลอตัวลงที่ร้อยละ 8.8 ต่อปี ซึ่งการนำเข้าที่ชะลอตัวมาจากสินค้านำเข้าประเภทสินค้าทุนและเครื่องจักรเป็นหลัก ทั้งนี้ มูลค่าการนำเข้าที่สูงกว่ามูลค่าการส่งออกนั้น ทำให้ดุลการค้าในเดือนสิงหาคมขาดดุลที่ -0.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
5. สำหรับเครื่องชี้ในด้านอุปทานในเดือนสิงหาคม 2551 พบว่า ผลผลิตภาคการเกษตรยังขยายตัวได้ดี ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า โดยเครื่องชี้ภาคการเกษตรยังคงขยายตัวได้ดี โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรเดือนสิงหาคมยังคงขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 10.9 ต่อปี จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญเช่น ข้าวนาปี ข้าวนาปรัง มันสำปะหลัง ในขณะที่ผลผลิตยางพาราและปาล์มน้ำมันปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมพบว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เบื้องต้น) ในเดือนสิงหาคมขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 ต่อปี ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 10.2 ต่อปี โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่มีการชะลอตัวลง ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
6. เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในด้านเสถียรภาพภายนอกนั้น ทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2551 อยู่ที่ 101.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นกว่า 3.9 เท่า ในขณะที่เสถียรภาพภายในประเทศปรับตัวดีขึ้นจากความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนสิงหาคม อยู่ที่ร้อยละ 6.4 ต่อปี ปรับตัวลดลงจากร้อยละ 9.2 ต่อปี ในเดือนก่อนหน้าเนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง และผลของ 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคนที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้ อัตราการว่างงานในเดือนกรกฎาคม 2551 อยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.3 ของกำลังแรงงานรวม สำหรับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ณ เดือนกรกฎาคม 2551 อยู่ที่ร้อยละ 35.4 ซึ่งยังคงต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกินร้อยละ 50.0 ค่อนข้างมา . . .
Create Date : 25 กันยายน 2551 |
|
3 comments |
Last Update : 25 กันยายน 2551 15:29:54 น. |
Counter : 785 Pageviews. |
|
|
|
การเมืองฉุดยอดขายเครื่องหนังในประเทศเหลือ 5,000 ล้านบาท
นายธวัฒน์ จิว นายกสมาคมเครื่องหนังไทย กล่าวถึงรัฐบาลใหม่ว่า อยากฝากรัฐบาลเร่งสร้างภาพพจน์และแก้ไขปัญหาการเมือง ซึ่งภาคเอกชนต้องการให้การเมืองนิ่งจะได้ค้าขายได้ พร้อมทั้งกล่าวว่า 2 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเครื่องหนังและรองเท้าประสบปัญหาการจำหน่ายในประเทศ ทั้งที่กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องหนังไทยเทียบเท่ากับอุตสาหกรรมต่างประเทศ โดยแต่ละปีมูลค่าการค้าเครื่องหนังและรองเท้านับหมื่นล้านบาท แต่ปีนี้เชื่อว่ายอดขายในประเทศจะเหลือแค่ 5,000 ล้านบาท
ส่วนการส่งออก ทางกลุ่มไม่วิตกกังวล เพราะขณะนี้อุตสาหกรรมเครื่องหนังไทยเทียบเท่าอุตสาหกรรมเครื่องหนังในประเทศอิตาลี จึงต้องเร่งพัฒนาคุณภาพสินค้าและการดีไซน์เพื่อจะได้แข่งขันได้ โดยปีนี้คาดว่าจะส่งออกเครื่องหนังและรองเท้าไม่ต่ำกว่า 2,000-3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายในประเทศ ทางสมาคมฯ จึงได้ร่วมกับกรมส่งเสริมการส่งออกจัดงานสัปดาห์เครื่องหนังไทย 2551 ระหว่างวันที่ 3-12 ต.ค.นี้ ณ อาคารแสดงสินค้ากรมส่งเสริมการส่งออก รัชดาภิเษก ซึ่งจะนำสินค้าแบรนด์เนมไทยมาลดราคา สำหรับปีที่ผ่านมาการจัดงานเครื่องหนังมียอดขายประมาณ 20-30 ล้านบาท และปีนี้คาดว่ายอดขายจะเท่าเดิม จึงอยากเชิญชวนให้มาเลือกซื้อสินค้าในวันดังกล่าว
. . .