Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 
22 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

นักวิชาการเตือนรับมือวิกฤติเลห์แมน--เก็บเงินกองทุนน้ำมันเพิ่ม--ยอดขายรถยนต์ลด--ธอส.ลดดอกเบี้ย. . .

. . .

นักวิชาการ เตือนไทยรับมือผลกระทบวิกฤติการเงินสหรัฐฯ ส่งผลสภาพคล่องตึงตัวค่าเงินบาทอ่อน และราคาอสังหาริมทรัพย์ลดลง


นิด้า

ผศ.ดร.นฤมล สอาดโฉม รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า บิสิเนส สคูล กล่าวถึงกรณีวิกฤติการเงินในสหรัฐฯจากการล้มละลายของเลห์แมนบราเธอร์สว่า สาเหตุหลักของปัญหาดังกล่าวมาจาก 2 ประเด็นสำคัญ ประเด็นแรกเป็นเรื่องของความซับซ้อนของตราสารทางการเงินที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐไม่สามารถติดตามได้ทัน แม้กระทั่งหลังเกิดความสูญเสียแล้วก็ยังไม่มีวิธีการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน ที่ผ่านมาธนาคารกลางมักจะแก้ปัญหาโดยลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นวิธีที่ทำกันมาตั้งแต่สมัยสงครามโลก แต่ธนาคารกลางสหรัฐฯยังยึดติดกับวิธีการแก้ปัญหาแบบเก่าๆ ทั้งที่การลดดอกเบี้ยเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม)

ส่วนประเด็นที่ 2 คือ วัฒนธรรมองค์กรของสถาบันการเงินเหล่านี้ที่พยายามสร้างแรงจูงใจให้กับเจ้าหน้าที่ ด้วยโบนัสที่สูงตามผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูง ซึ่งเมื่อต้องการผลตอบแทนที่สูง จึงทำให้พยายามที่จะรับความเสี่ยงมากจนเกินไป ดังนั้น การลงทุนของสถาบันการเงินเหล่านี้ จึงเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยนั้น เชื่อว่าผลกระทบทางตรงคงมีการโยกย้ายของเงินทุนระยะสั้นจากการขาดสภาพคล่อง ซึ่งเห็นผลในตลาดหุ้นชัดเจน แต่เมื่อพิจารณาพอร์ตการลงทุนของสถาบันการเงินของไทยส่วนใหญ่แล้ว จะพบว่าแทบไม่มีการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ที่มีความเสี่ยงสูงเหล่านี้ แต่ลักษณะการลงทุนจะเน้นไปที่พันธบัตรรัฐบาลเป็นหลัก ยกเว้นบางสถาบันการเงินที่ออกมาเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่าได้ลงทุนในตราสารที่เกี่ยวข้องกับเลห์แมน บราเธอร์ส

อย่างไรก็ตาม อาจจะเกิดผลกระทบทางอ้อมกับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับแนวทางการแก้ปัญหาของสหรัฐอเมริกา เพราะหากว่าการแก้ปัญหาทำได้ไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็อาจจะส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ซึ่งอาจทำให้ค่าเงินบาทกับเยนญี่ปุ่นมีโอกาสอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลยูโร และปอนด์สเตอริง

ดร.นฤมล กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากจุดเริ่มต้นของปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐ ทำให้สถาบันการเงิน และภาคเอกชนไทยควรตระหนักถึงการบริหารความเสี่ยง เนื่องจากจนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถประเมินถึงความเสียหายที่เป็นเม็ดเงินได้อย่างชัดเจนและแน่นอน โดยเฉพาะความหวั่นวิตกว่าปัญหาดังกล่าวจะลุกลามต่อไปกว้างแค่ไหน คู่สัญญาของเลห์แมน บราเธอร์ส มีมากเท่าใดที่จะเกิดปัญหาตามมา และในเกมนี้ไม่ใช่แค่เลห์แมนฯ จะกระทบใครตรงๆ เท่านั้น แต่ทุกคนในเกมนี้ต่างมีธุรกรรมระหว่างกัน ความสูญเสียจริงๆ เป็นเท่าไร จึงไม่ใช่เรื่องที่ใครจะสามารถประเมินได้ ดังนั้น การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความเสี่ยงในอนาคตจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับภาคเอกชนและสถาบันการเงินไทยในขณะนี้


TDRI

นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ปัญหาเร่งด่วนที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่ และทีมเศรษฐกิจต้องดำเนินการคือ ต้องทำความเข้าใจและศึกษาผลกระทบจากปัญหาการล้มละลายของสถาบันการเงินในสหรัฐว่า มีผลต่อไทยอย่างไร โดยต้องเตรียมแผนรับมือที่ชัดเจน เพราะปัญหาดังกล่าวทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินโลกตึงตัว และทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้นตามไปด้วย โดยประเทศไทยยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ เพราะเงินทุนไหลออกเกิดขึ้นเฉพาะในตลาดหุ้น และเกิดมานานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่จะต้องอัดฉีดเงิน และยังไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ย แต่ควรใช้ดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือดูแลเงินเฟ้อ

ส่วนการที่รัฐบาลจะดึงบุคคลภายนอกมาเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ตามที่สื่อมวลชนเสนอข่าว เช่น นายโอฬาร ไชยประวัติ, นายวีรพงษ์ รามางกูร, นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช แต่ละคนถือว่ามีความสามารถ มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน และการที่มีรัฐมนตรีคนนอกก็ถือว่ามีความยืดหยุ่น แต่สิ่งที่สำคัญคือ ต้องมีความรู้ด้านเศรษฐกิจ ต้องมีทีมงานที่ดี เข้าใจปัญหาเศรษฐกิจ เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจเผชิญกับปัญหาหลายเรื่อง จึงต้องเข้าใจต้นตอของปัญหาด้วย


จุฬาฯ

นายสมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐน่าจะยืดเยื้อ 3-4 ปี เพราะรัฐบาลสหรัฐไม่สามารถใช้มาตรการรุนแรงแก้ปัญหาได้ เพราะเกี่ยวข้องกับภาคประชาชน คือ ที่อยู่อาศัย ดังนั้น ประเทศไทยจะต้องเตรียมรับมือกับผลกระทบที่อาจจะมาถึงโดยต้องเร่งสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่ลุกลามมาจากปัญหาภายนอก โดยนโยบายการเงิน การคลังจะต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่ขัดแย้งกันเหมือนที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ขอให้รัฐบาลเตรียมรับมือกับราคาอสังหาริมทรัพย์ที่จะลดลง เนื่องจากราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐจะลดค่าลงประมาณร้อยละ 30-40 และบริษัทเลห์แมน บราเธอร์สที่ล้มละลาย จะต้องขายอสังหาริมทรัพย์ออกมา และเชื่อว่ากองทุนเก็งกำไรที่เข้ามาปั่นราคา ก็จะทยอยขายตามด้วย และทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในไทยลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้ต้องระวังการส่งออกที่จะชะลอตัว เพราะผลจากเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวลดลง รวมทั้งปัญหาสินค้าเกษตรที่ราคาจะลดลง ซึ่งเดิมเป็น 2 เสาหลักที่ผลักดันการเติบโตเศรษฐกิจไทย

นายฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯคาดว่า จะใช้เวลา 1 ปีถึง 1 ปีครึ่ง 6 เดือน ก่อนที่จะปรับตัวได้ และจะมีเงินทุนไหลกลับมาในเอเชีย แต่จะกลับมาไทยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเมืองในประเทศ หากยังมีความขัดแย้ง นักลงทุนก็ยังจะชะลอการลงทุนแม้พื้นฐานเศรษฐกิจจะดี โดยนักลงทุนรอดูโฉมหน้า ครม.ใหม่ และนโยบายเศรษฐกิจว่าจะเดินไปในทิศทางใด

. . .



เอกชนเสนอรัฐบาลใหม่ เร่งดูแลปัญหาการเมือง และเตรียมรับมือผลกระทบวิกฤติการเงินสหรัฐฯ


นายสุนทร อรุณานนท์ชัย ประธานกรรมการห้างเทสโก้ โลตัส กล่าวว่า จากปัญหาวิกฤติการเงินของสหรัฐ คณะรัฐมนตรีใหม่ของรัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 2 เรื่อง คือ การดูแลปัญหาการเมืองให้มีความสงบ และการรับมือผลกระทบจากวิกฤติการเงินในสหรัฐที่จะลุกลามไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก

นายสุนทร กล่าวว่า ปัญหาดังกล่าวย่อมมีผลกระทบต่อประเทศไทย เนื่องจากปัญหาทางการเงินขณะนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะกระทบไปยังประเทศต่างๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งหากสหรัฐทำอะไรหรือมีปัญหาอะไรจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และต้องดูต้นตอสาเหตุ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้เข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินที่มีปัญหาน่าจะดึงความเชื่อมั่นให้นักลงทุนได้

นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ขณะนี้สภาพคล่องของไทยยังมีเพียงพอ เพราะประชาชนยังมีเงินฝากในธนาคารต่างๆ จำนวนมาก เห็นได้จากการจัดงานมหกรรมบ้านมือสองแห่งชาติ ซึ่งจบไปเมื่อวันที่ 21 ก.ย. ซึ่ง ธอส.ได้เปิดรับฝากเงินฝากประจำดอกเบี้ยร้อยละ 4.25 ระยะเวลา 1 ปี มีประชาชนสนใจฝากเงินกว่าหมื่นล้านบาท เพราะมองว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดจะไม่สูงขึ้นอีก และขณะนี้ทุกคนจะเน้นหาความมั่นคงของสถาบันการเงิน หลังจาก พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากมีผลบังคับใช้ ขณะที่ ธอส.เป็นธนาคารรัฐ กระทรวงการคลังค้ำประกันร้อยละ 100 จึงมีผู้สนใจฝากเงินจำนวนมาก

ส่วนผู้ซื้อบ้านในงานช่วง 4 วัน มียอดจองซื้อถึง 8,800 ล้านบาท เพราะคนซื้อบ้านกังวลว่า ปี 2552 ราคาบ้านใหม่อาจจะปรับขึ้น เนื่องจากต้นทุนหลายด้านมีราคาแพง

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า สินเชื่อธุรกิจมีแนวโน้มชะลอลง ทั้งสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่และสินเชื่อเอสเอ็มอี โดยสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ชะลอตัวลง เนื่องจากขาดแรงหนุนจากผลประโยชน์สืบเนื่องจากโครงการใช้จ่ายลงทุน และก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐที่ถูกเลื่อนออกไป รวมทั้งการชะลอตัวของการส่งออก และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลง ซึ่งอาจลดความต้องการของสินเชื่อประเภทเงินทุนหมุนเวียน

สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีชะลอตัวลง เนื่องจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค และการชะลอตัวของธุรกิจรายใหญ่ที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่
สินเชื่อรายย่อยมีแนวโน้มชะลอลง ตามการถดถอยของความเชื่อมั่นผู้บริโภค แม้ว่าตามปกติแล้ว ไตรมาส 4 มักเป็นช่วงฤดูกาลของการจับจ่ายใช้สอย

อย่างไรก็ตาม คาดว่าสินเชื่อรายย่อยจะยังคงสามารถรักษาอัตราการขยายตัวทศนิยมสองตำแหน่งไว้ได้ เนื่องจากโดยปกติแล้ว สินเชื่อรายย่อยดังกล่าวมักมีความอ่อนไหวต่อวัฏจักรเศรษฐกิจต่ำกว่าสินเชื่อธุรกิจ ประกอบกับคาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากการแข่งขันของธนาคารพาณิชย์ที่รุนแรง

. . .



ผู้บริหารนิวแฮมเชอร์ และเอไอจี ชี้แจงกรณีเอไอจีในสหรัฐฯไม่กระทบฐานะในไทย


นายสตีเวน บาร์เน็ต กรรมการผู้จัดการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท นิวแฮมเชอร์ อินชัวรันส์ และประธานกิตติมศักดิ์ บริษัท เอไอจี ประกันวินาศภัย (ประเทศไทย) จำกัด แถลงถึงกรณีบริษัท อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป อิงค์ (เอไอจี) ขาดสภาพคล่องทางการเงินระยะสั้น ว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทนิวแฮมเชอร์ฯ และเอไอจี ประกันวินาศภัยในไทย

โดยลูกค้าทั้งสองบริษัทมีกว่า 1 ล้านรายไม่ได้วิตกกังวล มีเพียง 1 ราย ที่ขอถอนกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินคอนโดมิเนียม ทุนประกัน 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกันก็มีลูกค้ามาทำประกันกับเอไอจีฯ เพิ่มด้านก่อการร้ายในกลุ่มลูกค้าโรงงานในพื้นที่ภาคใต้มีทุนประกันถึง 130,000 ดอลลาร์สหรัฐ

นายสตีเวน กล่าวยืนยันว่าทั้งสองบริษัท มีสภาพคล่องดี โดยปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไร 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และปีนี้ประเมินผลกำไรที่ประมาณ 17.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้จะต่ำกว่าปีที่ผ่านมา แต่เป็นตัวเลขคาดการณ์ หากในช่วงที่เหลือของปีนี้ไม่เกิดอุบัติเหตุหรือภัยร้ายแรงอาจจะมีการปรับประมาณการกำไรให้ดีขึ้น

บริษัทมีเงินกองทุนตามกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดให้เพียงพอ โดยปีที่ผ่านมา มีเงินกองทุน 1,680 ล้านบาท สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานเงินกองทุนขั้นต่ำที่ต้องดำรงตามกฎหมายถึง 11 เท่า มากพอสำหรับการรองรับภาระผูกพัน และผลประโยชน์ตามสัญญาประกันภัย

หากคิดเป็นสัดส่วนทั้งสองบริษัทมีการแยกบัญชี ในส่วนของนิวแฮมเชอร์มีเงินกองทุน 1,400 ล้านบาท ขณะที่เอไอจีฯ มีเงินกองทุนประมาณ 300 ล้านบาท

บริษัทมีเงินลงทุนรวมประมาณ 3,000 ล้านบาท สัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลร้อยละ 70 ,เงินฝากธนาคารร้อยละ 24 และลงทุนในตลาดหุ้นร้อยละ 6

ปัจจุบันสภาพคล่องของทั้งสองบริษัทตามที่สถาบันจัดอันดับมองว่าอยู่ในอันดับ A + สามารถสร้างผลกำไรทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ยังสามารถรับประกันได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถชดเชยประกันการจ่ายค่าสินไหมอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก โดยบริษัทนิวแฮมเชอร์ฯ จะเน้นทำธุรกิจประกันภัยในกรุงเทพฯ และเอไอจีฯ จะเน้นดูแลประกันภัยในต่างจังหวัด ซึ่งลูกค้ายังเชื่อมั่นต่อการดำเนินธุรกิจของทั้งสองบริษัท ปัจจุบันทั้งสองบริษัทมีพนักงานกว่า 600 คน และไม่จำเป็นต้องปลดพนักงาน ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจ เพื่อเป็นหนึ่งในการรับประกันภัยในประเทศไทย

ส่วนการส่งเงินกลับไปบริษัทแม่ไม่ว่าสัดส่วนเท่าใด ก็จะต้องได้รับการอนุมัติและเห็นชอบจากนายทะเบียน คือ คปภ. ซึ่งขณะนี้ทั้งสองบริษัทอยู่ระหว่างภายใต้การพิจารณาของ คปภ.เพื่อควบรวมกิจการ โดยคาดว่าการควบรวมจะเสร็จสิ้นประมาณปลายปีหน้า

. . .



กบง.สรุปเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพิ่มลิตรละ 40-50 สตางค์ มีผลวันที่ 23 ก.ย.นี้


กบง.อนุมัติเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซลและดีเซล เพิ่มอีกลิตรละ 40-50 สตางค์ต่อลิตร เพื่อเสริมสภาพคล่องของกองทุนฯ

นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน และประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กบง. เมื่อวันที่ 22 ก.ย. มีมติเห็นชอบปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 E10, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91, น้ำมันดีเซล, และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ในอัตรา 50 สตางค์ต่อลิตร และน้ำมันเบนซิน 91 ในอัตรา 40 สตางค์ต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย. 2551 จะทำให้มีเงินเข้ากองทุนเพิ่มขึ้นเป็น 2,472 ล้านบาทต่อเดือน

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มเงินนำส่งเข้ากองทุนฯ ครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันแต่อย่างใด ราคาขายหน้าสถานีบริการยังคงจำหน่ายราคาเท่าเดิม

ทั้งนี้ การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว เพื่อส่งเสริมการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เพิ่มมากขึ้น และเพิ่มเงินสำรองเพื่อใช้ในการส่งเสริมพลังงานทดแทน และลดผลกระทบในช่วงราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งเพื่อรองรับราคาเอทานอลที่ปรับเพิ่มจากระดับ 18.01 บาทต่อลิตร ในช่วงไตรมาส 3 เป็น 22.12 บาทต่อลิตร ในช่วงไตรมาส 4 และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นอีกในอนาคต

สำหรับการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่จะมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ น้ำมันเบนซิน 95 จากเดิมเรียกเก็บ 4 บาทต่อลิตร ยังคงไม่เป็นเปลี่ยนแปลง
น้ำมันเบนซิน 91 จากเดิมเรียกเก็บ 3.60 บาทต่อลิตร เป็น 4 บาทต่อลิตร
น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 (E10) จากเดิมเรียกเก็บ 0.85 บาทต่อลิตร เพิ่มเป็น 1.35 บาทต่อลิตร
น้ำมันแก๊สโซออล์ 95 (E20) จากเดิมเก็บที่ระดับ 0.30 บาทต่อลิตร ยังคงไม่เป็นเปลี่ยนแปลง
น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 (E10) จากเดิมเรียกเก็บ 0.35 บาทต่อลิตร เพิ่มเป็น 0.85 บาทต่อลิตร
น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 จากเดิมเรียกเก็บ 0.70 บาทต่อลิตร เพิ่มเป็น 1.20 บาทต่อลิตร
และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 จากเดิมชดเชย 0.70 บาทต่อลิตร เหลือการชดเชย 0.20 บาทต่อลิตร

นายพรชัย กล่าวว่า การประชุม กบง. ครั้งนี้ ยังได้มีมติให้จัดสรรน้ำมันดีเซลที่ได้รับการช่วยเหลือจากโรงกลั่นน้ำมันให้กับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น
กรมขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เพื่อใช้ในการขุดลอกร่องน้ำ ในระยะเวลา 3 เดือน (ก.ย.-พ.ย. 2551),
กรมประมง เพื่อใช้ในการขุดลอกหนองบึงและแหล่งน้ำธรรมชาติ และให้ความช่วยเหลือน้ำมันดีเซลให้เปล่าแก่จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยมาก ในขั้นแรก 5 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก พิจิตร สระบุรี ลพบุรี และนครราชสีมา เพื่อให้มีความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยดังกล่าว

. . .



ยอดผลิตรถยนต์เดือน ส.ค.ลดลง 5.25% เป็นครั้งแรกในรอบปี โดยยอดขายรถยนต์ในประเทศลดลง 31.88% และรถกระบะลดลง 53.46% ส่วนการส่งออกยังขยายตัว17.20%


นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สรุปยอดการผลิต และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศในเดือน ม.ค.- ส.ค. 2551 ว่ามีทั้งสิ้น 103,737 คัน ลดลงจากเดือน ส.ค. 2550 ร้อยละ 5.25 ซึ่งเป็นครั้งแรกของปีนี้ที่ติดลบ สาเหตุจากการผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศที่มีเพียง 34,110 คัน ลดลงจากเดือน ส.ค. 2550 ร้อยละ 31.88 โดยเฉพาะรถกระบะ ที่มียอดผลิตเพียง 14,130 คัน ลดลงจากเดือน ส.ค. 2550 ถึงร้อยละ 53.46 เนื่องจากยอดจำหน่ายรถกระบะภายในประเทศที่ลดลงต่อเนื่องมาสี่เดือนแล้ว

ส่วนการผลิตเพื่อส่งออกยังคงเติบโตดี โดยผลิตได้ถึง 69,627 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.20 และส่งออกได้จริงถึง 69,404 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนส.ค. 2550 ร้อยละ 5.74

สรุปแล้ว 8 เดือน ผลิตรถยนต์ได้ 944,893 คัน เพิ่มขึ้นจาก 8 เดือนปีที่แล้วร้อยละ 15.76 โดยผลิตเพื่อส่งออก 529,530 คัน คิดเป็นร้อยละ 56.04 ของยอดผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 8 เดือนปีที่แล้วร้อยละ 23.06 และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 415,363 คัน คิดเป็นร้อยละ 43.96 รวมยอดผลิตทั้งหมด ผลิตมากกว่าปีที่แล้วระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 7.62

ส่วนการส่งออก 8 เดือน จำนวน 526,518 คัน เพิ่มขึ้นจาก 8 เดือนปีที่แล้วร้อยละ 22.75 มูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้นของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ 382,842 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 29.76

. . .



ธอส. ลดดอกเบี้ยช่วยผู้ประสบอุทกภัยเหลือร้อยละ 0 นาน 3 เดือน


นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ภาคเหนือหลายจังหวัด ธนาคารได้จัดทำโครงการเงินกู้เพื่อลดภาระหนี้ ปลูกสร้าง และซ่อมแซมที่อยู่อาศัยแก่ผู้ประสบอุทกภัยปี 2551 โดยลูกหนี้เดิมลดอัตราดอกเบี้ยใน 3 เดือนแรก เหลือร้อยละ 0 เดือนที่ 4 – 6 คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 และให้ผู้กู้ผ่อนชำระเงินงวดเฉพาะดอกเบี้ย ส่วนเดือนที่ 7 - 36 คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR ลบร้อยละ 2.00 ต่อปี หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR ลบร้อยละ 0.50 ต่อปี

สำหรับกรณีกู้เพิ่มเพื่อต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัยที่ได้รับความเสียหาย ธนาคารลดอัตราดอกเบี้ยปีแรก เดือนที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี เดือนที่ 4-12 คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR ลบร้อยละ 3.00 ต่อปี ปีที่ 2 – 3 คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR ลบร้อยละ 2.00 ต่อปี หลังจากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR ลบร้อยละ 0.50 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา

สำหรับลูกค้ากู้ใหม่ ธนาคารลดอัตราดอกเบี้ยปีแรกเท่ากับ MRR ลบร้อยละ 3.00 ต่อปี ปีที่ 2 – 3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR ลบร้อยละ 2.00 ต่อปี หลังจากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR ลบร้อยละ0.50 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา โดยธนาคารให้กู้ได้สูงสุดร้อยละ 100 ของราคาประเมินค่าก่อสร้างหรือซ่อมแซมอาคารที่ได้รับความเสียหาย

ส่วนกรณีอาคารที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลัง ธนาคารจะลดภาระหนี้ในส่วนของอาคารให้ทั้งหมด โดยลูกค้าจะรับภาระในการชำระหนี้เงินกู้เฉพาะในส่วนของที่ดินเท่านั้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยดังกล่าว โดยลูกค้าสามารถติดต่อยื่นคำขอกู้ได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2551 และทำนิติกรรมให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552

. . .



ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินการลงทุนจากต่างประเทศปีนี้ชะลอตัวลงชัดเจน


บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า จากสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และคาดว่าผลกระทบจากการเมืองอาจทำให้การลงทุนรวมในปีนี้ชะลอตัวลง เนื่องจากนักลงทุนอาจยังมีความไม่แน่ใจต่อทิศทางการเมืองตลอดจนเสถียรภาพและนโยบายของรัฐบาลในระยะต่อไป

ทั้งนี้ ตัวเลขขอรับส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่ารวม 294,000 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 26.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามในด้านจำนวนโครงการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนยังมีระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยโครงการลงทุนจากต่างประเทศมูลค่าการลงทุนปรับลดลงกว่าร้อยละ 43.7

ส่วนการอนุมัติส่งเสริมการลงทุน พบว่าในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุนมีการลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนค่อนข้างมาก ประมาณร้อยละ 21.3 และร้อยละ 45.8 ตามลำดับ การปรับลดของการอนุมัติให้การส่งเสริม ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากหยุดชะงักของกระบวนการอนุมัติในช่วงที่ตำแหน่งประธานกรรมการบีโอไอว่างเว้น

สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศที่ชะลอตัวลง และยังคงเผชิญความเสี่ยงสูงขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือของปี อาจส่งผลให้การขอรับการส่งเสริมการลงทุนโดยรวมของปีนี้ มีโอกาสสูงที่จะต่ำกว่าเป้าหมายที่ทางการตั้งไว้ 600,000 ล้านบาท โดยปัจจัยเสี่ยงต่อการลงทุนในระยะข้างหน้านอกเหนือจากปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศซึ่งกระทบต่อความน่าลงทุนของไทยในระยะสั้นแล้ว การลงทุนจากต่างประเทศในไทยยังอาจได้รับปัจจัยลบจากปัญหาวิกฤติการเงินระลอกใหม่ของสหรัฐ ที่ส่งผลต่อสภาพคล่องทางการเงินทั่วโลก อีกทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจภูมิภาคหลักของโลกอาจส่งผลต่อสถานะผลประกอบการของบริษัทข้ามชาติ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการชะลอตัวของการลงทุนจากต่างประเทศทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์การเมืองของไทยมีความชัดเจนมากขึ้น โดยสามารถมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพในการบริหารประเทศ ก็คาดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะมีแรงขับเคลื่อนจากภายในประเทศที่จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวดีขึ้น เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของประเทศยังเอื้ออำนวยต่อการขยายตัวของการบริโภคและการลงทุน

ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลในระยะต่อ ๆ ไปน่าจะยังคงมุ่งเน้นการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ เร่งรัดโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามเป้าหมาย

ส่วนปัจจัยที่จะมีผลต่อการลงทุนในระยะปานกลางและระยะยาว ได้แก่ ความมีเสถียรภาพทางการเมือง นโยบายของรัฐบาล ทิศทางของนโยบายอุตสาหกรรม เช่น การพัฒนาพลังงานทางเลือก ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นการเกษตร พลังงาน ปิโตรเคมี และยานยนต์ จึงควรมีการวางเป้าหมายนโยบายของอุตสาหกรรมเหล่านี้ให้มีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกับแผนการพัฒนาประเทศและแผนการส่งเสริมการลงทุนในระยะยาว

นอกจากนี้รัฐควรให้ความสำคัญกับการเร่งการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ อาทิ รถไฟรางคู่และการลงทุนในโครงการอื่น ๆ เพื่อพัฒนาระบบขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศ การลงทุนด้านการเกษตรและการปรับปรุงระบบชลประทาน ซึ่งการลงทุนของรัฐเหล่านี้จะมีผลช่วยกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชนทั้งจากในและต่างประเทศในระยะต่อไปให้กลับมาฟื้นตัวได้

. . .



ยอดผู้ใช้บริการ "รถไฟฟรี" เดือน ส.ค. มีกว่า 3.6 ล้านคน


นายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า โครงการรถไฟฟรีเพื่อประชาชน ซึ่งเป็นโครงการตาม 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อไทยทุกคน ที่รัฐบาลนำมาใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน

นายยุทธนา กล่าวว่า ขณะนี้ รฟท.ได้ปรับหลักเกณฑ์ในการใช้บริการของประชาชน เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดสรรงบประมาณที่ได้รับตามโครงการของสำนักงบประมาณ จากเดิมโครงการรถไฟฟรีดังกล่าวจะออกตั๋วให้เฉพาะผู้โดยสารที่โดยสารในรถขบวนสายยาวจำนวน 8 ขบวน ส่วนรถไฟท้องถิ่นและรถไฟชานเมือง ที่ผ่านมาไม่มีการออกตั๋วให้แก่ประชาชน โดยจะปรับเป็นการออกตั๋วให้ผู้ใช้รถไฟไม่ว่าสายสั้นหรือสายยาวโดยไม่ต้องเสียค่าโดยสาร ซึ่งการออกตั๋วดังกล่าวจะช่วยให้ รฟท.สามารถตรวจสอบยอดผู้ใช้บริการได้อย่างแม่นยำ โดย รฟท.ได้รับการจัดสรรงบประมาณวงเงิน 250 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 6 เดือนของโครงการ

สำหรับยอดผู้ใช้บริการทุกภูมิภาคในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบว่ามีจำนวน 3,656,717 คน ซึ่งเป็นการนับจากผู้ใช้บริการรถไฟธรรมดา ชานเมืองและท้องถิ่น การใช้บริการรถไฟสายใต้จะใช้รถไฟฟรีมากที่สุด 866,729 คน รองลงมา คือสายตะวันออกเฉียงเหนือ 774,757 คน, สายเหนือ 733,128 คน, สายตะวันออก 726,857 และสายแม่กลอง 555,246 คน

. . .





 

Create Date : 22 กันยายน 2551
1 comments
Last Update : 22 กันยายน 2551 19:25:04 น.
Counter : 707 Pageviews.

 

. . .

สภาพคล่องของระบบแบงก์ไทยเดือนสิงหาคม ... เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า แต่ยังคงต้องจับตาวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐฯ


ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้รวบรวมข้อมูลสินทรัพย์สภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยที่ประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์ไทย 14 แห่ง ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2551 เปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า และสิ้นปี 2550 พบว่า

• สินทรัพย์สภาพคล่อง (รวมเงินสด เงินลงทุนสุทธิในตลาดเงินระยะสั้น และเงินลงทุนสุทธิ) ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2551 ปรับเพิ่มขึ้นจากสิ้นเดือนกรกฎาคม 2551 หลังจากที่ลดลงในช่วง 2 เดือนก่อนหน้า โดย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2551 สินทรัพย์สภาพคล่องดังกล่าว มีจำนวน 1.81 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.03 หมื่นล้านบาท จาก 1.74 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม อันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นในองค์ประกอบหลักอย่างเงินลงทุนสุทธิในตลาดเงินระยะสั้นและเงินลงทุนสุทธิเป็นสำคัญ ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์สภาพคล่องในเดือนสิงหาคม เป็นทิศทางที่สอดคล้องกันกับยอดเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ไทย 14 แห่งในเดือนเดียวกันที่เพิ่มขึ้นถึง 1.33 แสนล้านบาท สูงกว่าเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นของเงินให้สินเชื่อสุทธิ (จากค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ) ที่ 7.12 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าเป็นผลมาจากการที่ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ได้มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำแบบพิเศษและตั๋วแลกเงินที่ระดับอัตราดอกเบี้ยจูงใจ เพื่อระดมเงินและรักษาฐานลูกค้า หลังจากที่สินทรัพย์สภาพคล่องได้ลดลงต่อเนื่องในช่วง 2 เดือนก่อนหน้า ในขณะที่ แม้ทางเลือกในการออมอย่างกองทุนรวมในเดือนสิงหาคมจะมีการออกกองทุนเพิ่มขึ้น 36 กอง แต่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) กลับมีจำนวนที่ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 6.00 หมื่นล้านบาท

• กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่และขนาดเล็กมีสินทรัพย์สภาพคล่องเพิ่มขึ้น สวนทางกับสภาพคล่องของกลุ่มธนาคารขนาดกลาง ที่ลดลง โดยกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่มียอดคงค้างของสินทรัพย์สภาพคล่องจำนวน 1.10 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2551 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 6.89 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกัน กลุ่มธนาคารขนาดเล็กมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น 1.55 หมื่นล้านบาท มาที่ 2.20 แสนล้านบาท ในขณะที่ กลุ่มธนาคารขนาดกลางมีสภาพคล่องลดลง 1.41 หมื่นล้านบาท มาที่ 4.88 แสนล้านบาท

• เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2550 สินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ไทย 14 แห่ง เพิ่มขึ้น 5.98 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธนาคาร นำโดยการเพิ่มขึ้นที่กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ 4.58 หมื่นล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มธนาคารขนาดเล็ก 1.31 หมื่นล้านบาท และกลุ่มธนาคารขนาดกลาง 884 ล้านบาท

สำหรับวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐฯที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ทางการสหรัฐฯจะได้ตัดสินใจเข้าไปให้ความช่วยเหลือโดยการรับซื้อสินทรัพย์ที่มีปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ภายใต้วงเงิน 7.0 แสนล้านดอลลาร์ฯ แต่คาดว่าอาจจะยังคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะถึงจุดต่ำสุดและเริ่มฟื้นตัวขึ้นได้ รวมทั้งยังคงต้องติดตามสถานการณ์ของสถาบันการเงินสหรัฐฯอย่างใกล้ชิดต่อไปว่า มาตรการของทางการสหรัฐฯล่าสุดดังกล่าว จะมีประสิทธิผลในการเยียวยาปัญหาครอบคลุมทั้งภาคการเงินสหรัฐฯได้มากน้อยเพียงใด ในขณะที่การก่อหนี้ที่คงจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากของรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อนำเงินไปใช้ในการรับซื้อสินทรัพย์ 7.0 แสนล้านดอลลาร์ฯดังกล่าว ย่อมจะส่งผลกดดันต่อสภาพคล่องในตลาดการเงินโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การที่ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นเงินลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่ง ธปท.สามารถที่จะปล่อยให้ไหลกลับคืนสู่ระบบได้หากจำเป็น กลไกดังกล่าว ก็น่าที่จะเป็นหลักประกันสำคัญที่จะช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินไทยได้ในยามที่สถาบันการเงินสหรัฐฯกำลังเผชิญภาวะวิกฤตนี้ 

. . .


 

โดย: loykratong 22 กันยายน 2551 19:28:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.