Group Blog
 
All Blogs
 

undefined




 

อย่าปล่อยให้เมืองสวย ๆ อย่างเชียงใหม่ต้องถูกปกคลุมด้วยฝุ่นหมอกควัน

ความสวยงามของจว.เชียงใหม่มีมายาวนานหลายร้อยปีแต่จากวิกฤติมลพิษอนุภาคฝุ่นในอาการภาคเหนือตอนบนที่เกิดขึ้นในช่วงธค.49-มีค.50 จนถึง กพ.52 ทำให้มลพิษทางอากาศโดยเฉพาะภาวะหมอกควันที่มีอนุภาคฝุ่นขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (พีเอ็ม10) เกินระดับมาตรฐาน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ประกอบกับผลศึกษา"การพัฒนากระบวนการรับรู้ผลกระทบทางสุขภาพจากมลพิษอนุภาคฝุ่นในอากาศ โดยการมีร่วมของชุมชนกรณีศึกษาในภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย  ในชุดโครงการวิจัยด้านมลพิษทางอากาศของประเทศภายใต้ปรากฏการณ์โลกร้อน ของสำนักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติหรือ"วช."

โดยศึกษาพื้นที่เชียงใหม่-ลำพูนในกลุ่มเด็กประถมในและนอกเมืองเชียงใหม่และลำพูน และการสำรวจความชุกการเผาในที่โล่ง การเกิดไฟป่าและแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศอื่น ๆ ในชุมชนพื้นที่เป้าหมาย  การตรวจปัสสาวะ การประเมินการทำงานของปอด

ผลที่ได้พบว่า1.ยังขาดความรู้ ความเข้าใจอันตรายต่อสุขภาพจากการสัมผัสอนุภาคฝุ่นขนาดเล็กในอากาศว่าเกิดอย่างไร  ทำไมจึงกระทบต่อสุขภาพ 2.ชุมชนในพื้นที่นอกเมือง มีการเผาในที่โล่งเช่นเผาเศษไม้  ใบไม้และขยะบริเวณบ้านเรือนมากกว่าชุมชนในเมืองและถือเป็นแหล่งกำเนิดฝุ่นเช่นกัน

โดยในช่วงมีนาคมถึงเมษายนมีระดับฝุ่นเกินมาตรฐานซึ่งมีจุดความร้อนในพื้นที่ป่าสงวนมากที่สุดถึง1,412จุด  รองลงมาคือในพื้นที่ป่าอนุรักษ์มีจุดความร้อน 760 จุด ส่วนพื้นที่เกษตรมีที่สุดคือ 186 จุด ทำให้ท้องฟ้าในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนปกคลุมด้วยหมอกควันและมีระดับฝุ่นพีเอ็ม 10 เกินมาตรฐานในช่วงวันที่ 18-19 มีนาคม2553 โดยวันที่ 18 มีนาคม 2553 ที่จว.แม่ฮ่องสอน มีระดับพีเอ็ม10 สูงถึง 518.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

สภาพโดยทั่วไปขณะฝุ่นหมอกปกคลุม

สาเหตุหนึ่งของฝุ่นจากการเผาไหม้

 เครื่องอ่านค่าฝุ่น และผลปรากฏในคอมพิวเตอร์ 

 ร่วมมือกันคะรักษาสิ่งแวดล้อม รักษาชีวิตอยากให้ดอกไม้เมืองเหนือยังคงสวยงามเช่นนี้ตลอดไป


ผู้วิจัย 

 ผู้สนับสนุนจากสภาวิจัยแห่งชาติ

Create Date : 25 เมษายน 2553    
Last Update : 25 เมษายน 2553 3:45:33 น.
Counter : 458 Pageviews.  

undefined




 

พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ ตอนจบ


        
ชุดนี้ เป็นชุด เรียกว่าชุดเวียนนา ออกจำหน่ายครั้งแรก เมื่อ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๕(รศ๑๓๑)
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโอ งการ เปลี่ยนชื่อกระทรวงโยธาธิการ
มาเป็นกระทรวงคมนาคม บังคับบัญชากรมไปรษณีย์โทรเลข เป็นแสตมป์ชุดแรกในรัชกาลนี้
  พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่่ ๖ กับการติดตามข่าวสาร ในอดีต ที่พระองค์ท่าน ติดตาม
ข่าวสารเหตุ การณ์ต่างๆในอดีต ผมคนช่างเล่า ได้เล่า ประวัติศาสตร์ มาแล้วในตอนที่ หนึ่ง จากปัญหา การายงาน
ข่าวเต้า ข่าว เพื่อเป็นประโยชน์ ต่อกลุ่ม ตนเองทางการเมืองนั้น ผมไม่ขอเอยชื่อ ชื่อบุคคล ที่รายงานข่าว
สร้างความ แตกแยก ที่ผู้เสพข่าวติดตาม กันผ่าน ฟรี ที่วีนั้น
    พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ ๖ นั้น พระองค์ท่าน ติดตาม ข่าวสารเหตุการบ้านเมือง
ความเป็นไปของประชาคมโลก และข่าวสารพสกนิการ ของพระองค์ท่าน แม้แต่ พระมหากษัตริย์ พระองค์อื่นๆ
ถ้าเราค้นคว้าในบันทึกเอกสาร ในหน่วยงานต่างๆ กรมไปรษณีย์โทรเลขนั้นเป็นหน่วยงานที่ มีมายาวนาน เรื่องราว
เอกสารบันทึกสั่งการ คำสั่งต่างๆนั้น  พวกเราทำ ๕ ส.ไปหมดจริงๆ   ถ้าพวกเราไปรษณีย์ พบเอาสารเก่ากรอบๆ
อย่าทิ้งนะครับ ส่งคืนห้องสมุดสำนักงานใหญ่ หรือ มอบให้ห้องสมุดสถาบันการศึกษาก็ได้
    เหตุการณ์บ้านเมืองยามนี้ ตั้งแต่ ๑๒ มี.ค. ๕๓ ถึง ๒๔ เม.ย.๕๓ ยังชุมนุมอยู่ สถาบันหลักถูกย่ำยี้มากไปแล้ว
ท่านทหารๆ อดทนเกินไปไหมนี่?




เคาเตอร์ไปรษณีย์ในอดีต



ครุฑ มุมตึก ไปรษณีย์กลางบางรัก
สมัยสงครามโลก ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขกลาง ถือกันว่า เป็นศูนย์กลางโทรคมนาคม แคล้วคลาด
จากการทิ้งระเบิด เพราะกล่าวกันว่า ครุฑ บินขึ้นไปปัดลูกระเบิด
อื้อเมื่อคืนวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๓ น่าช่วยไปปัดที่ศาลาแดงให้หน่อย นะท่านพญครุฑ
    

 ชุดนี้เรียกกันว่า ชุดปีกครุฑ ออกจำหน่ายไม่พร้อมกัน  ออกวันแรก ๖ สิงหาคม ๒๔๖๓ เป็นภาพพระบรมฉายาสาทิส
ลักษณ์ ประดิษฐานอยู่หน้าตราพระครุฑพาห์

 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสำนักข่าวรอยเตอร์ตอน จบ

 เหตุการณ์บ้านเมือง เมื่อคืนวัน ที่ 22 เมษายน 53 นี้มันวิกฤต ใหญ่หลวงนัก

ผีซ้ำด้ามพลอย ศาลแพ่ง ดันมาคุ้มครองชั่วคราวเสียอีก วังเวง อ่านว่าวังเวง

 ผมเขียน ตอนที่ ๑ ไว้ เพื่อ เตื่อนจิต เตื่อนใจ ว่าสถาบันหลักของชาติ นั้นสำคัญ ต่อความเป็นชาติ

 

 เอกสารบันทึกสั่งการต่างๆอันทรงคุณค่า เป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ เป็นหนังสือสั่งการต่างๆ ที่ต้องถือ

ปฏิบัติในขณะนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ไม่มีความจำเป็นที่จะใช้แล้ว หน่วยงาน ในสังกัด มักจะ ทำ ๕ ส.โยนทิ้งไปอย่าง

น่าเสียดาย เพราะเอกสารเหล่านี้ใช้สืบค้นประวัติศาสตร์ได้ดี เป็นหลักฐานทางเอกสารนั้นเอง ถ้าท่านเคยอ่าน พระนิพนธ์

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระองค์ท่านทรงเขียนเล่าถึงการได้มาเอกสาร ที่มีอยู่ในสมัยอยุทธยา หนังสือเก่าๆยายแก่ๆ

กำลังจะเผาทิ้ง เพราะมันกรอบๆขาดๆวิ่นๆ มณฑลเทศาภิบาล ไปพบเข้า นำมาถวายท่าน ท่านนำเอกสารนั้น มาสืบค้นได้มากมาย

 หนังสือคำสั่งเก่าๆเกี่ยวกับราชวงศ์ เป็นเอกสารที่นักประวัติศาสตร์ของเมืองไทย เราน่าจะไม่เคยได้ค้นคว้าสืบค้นมาก่อน(ผมจะเล่า เรื่องยุ่งเหยิง ช่วงกลางสมัย ร.๕ ที่ฝรั่งในเมืองไทยจะจัดไปรษณีย์)

เพราะเอกสารเหล่านี้ มีอยู่เฉพาะหน่วยงานนั้นเอง ยังมีเอกสาร ตอนปลายรัชกาลที่ ๖ ตอนต้นรัชกาลที่ ๗ อีก รายงาน ที่น่าสนใจ

ในทางภูมิศาสตร์ชาติไทย น่านำมาเสนอ ให้พวกเราทุกคน ทุกๆภาคทราบ ถึงความวิริยะอุตสาห์ ของพระมหากษัตริย์ แต่ละ

พระองค์ของราชวงศ์ จักรี ที่พระองค์ท่านตรากตร่ำพระวรกาย มาทุกยุค ทุกสมัย โดยเฉพาะ ในหลวงองค์ปัจจุบัน ท่านตรมพระราชฤหทัย แค่ไหน? ในวันนี้ เมื่อแดงมันอาลวาด ยึดกรุงเทพฯ

 ตระกูล แสงชูโต เป็นอีกตระกูลที่รับใช้เบื้องพระยุคคลบาท นายเข็ม แสงชูโต ต่อมาได้เป็นพระยาอนุทูตวาที

ท่านเป็นข้าราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข เป็นน้องชาย ของนาย เจิม แสงชูโต หรือพระยาสุรศักดิ์มนตรีเวลาต่อมา

 ปี พ.ศ.๒๔๖๘ มีคำสั่ง ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๘ เป็นคำสั่งที่ ๑/๒๔๖๘ ข้อสังเกตุ ตรงนี้ การเริ่มต้น ปีใหม่

เริ่มเมื่อ เดือนเมษายนนั้นเอง เราถือว่าเดือนนี้เป็น วันเริ่มต้นของปี คำสั่งนี้ เรื่องให้จัด การไปรษณีย์โทรเลข รับเสด็จ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประทับแรม พระราชนิเวศน์ มฤคทายวัน จังหวัดเพชรบุรี ในวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๔๖๘

จึงมีการจัดเจ้าหน้าที่ โดยให้พระยาอนุทูตวาที่ เป็นผู้บังคับบัญชา ในการถวายงานต่างๆ เกี่ยวกับการสื่อสารโทรคมนาคมและด้าน

การไปรษณีย์ โดยให้สารวัตรไปรษณีย์ มณฑลราชบุรี ติดต่อประสานงานกับ พระยาอนุทูตวาที การรับส่งข่าวสาร ผ่านทางโทรเลข

ของสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่มีถึงราชสำนักนั้น ให้ที่ทำการโทรเลขที่ ๒ ดำเนินการ นายไปรษณีย์โทรเลขที่ ๔ (ตั้งอยู่วังสราญรมย์

ปัจจุบันนี้ คือ ที่ทำการไปรษณีย์ หน้าพระลาน) ติดต่อประสานงานกับราชสำนัก เพื่อประสานงานติดต่อพระยาอนุทูตวาที

เรื่องบรรดาศักดิ์ ต่างๆเป็นชื่อไพเราะ น่าสนใจในยุคนั้น เช่นพระพรหมโทรเลข ขุนประเสริฐโทรกาล พระวิทยุทูรลิขิตหรือ

พระยาอนุทูตวามีบรรดาศักด์ เป็นขุนโทธุรการี มาก่อน

 เรื่องราวต่างๆในประวัติศาสตร์ น่าสนใจ ผมขอเสริม ตรงนี้นิดนะครับ กล่าวคือ เมื่อคราวที่พระบรมโอรสาธิราส

หรือพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวร เป็นโรคใส้ติ่งอักเสพ ขณะ ที่ศึกษาอยู่ในยุโรป สมัยรัชกาลที่ ๕

แพทย์ ต้องถวายการผ่าตัดทันท้วงที แต่จะต้อง มีหนังสือรับรองอนุญาต ก่อน พระสุริยานุวัตร อัครราชทูตตัดสินใจโดยราชพลี (เป็นเอกอัคราชทูต ชื่อเดิม เกิด บุนนาค)

อนุญาตให้ผ่าตัดเอง เรื่องเล่า เหล่านี้ เกียวข้องเกียวกับราชการกรมไปรษณีย์โทรเลขเช่นกัน เพราะต่อมาท่านพระยาคนนี้ ได้เป็น

เสนาบดี กระทรวงโยธาธิการ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๘ มีหน้าทีบริหารกรมไปรษณีย์โทรเลข ผมเขียนสอดแทรกไว้ตรงนี้ครับ

 

 คำสั่งที่ ๖๙/๒๔๖๘ ลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ ลงนามโดย นายพลโท พระยาเทพหัสดิน อธิบดี

กรมไปรษณีย์โทรเลข เป็นคำสั่ง นำมาซึ่งความโศรกเศร้า คำสั่งเรื่องให้ปิดที่ว่าการ ในวันสวรรคต พระบาทสมเด็จ

พระเจ้าอยู่หัว  ความว่า..ด้วยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระประชวรมา หลายเวลาแล้วนั้น ได้สวรรคต

เสีย เมื่อ วันที่ ๒๖ เดือนนี้ (พฤศจิกายน พ.ส.๒๔๖๘ ) เวลา ๑ นาฬิกา ๔๗ นาที ก่อนเทียง( คือเวลา ๐๑.๔๗ น)

 เป็นที่เศร้าโศรก แก่บรรดา พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการตลอด ถึงอาณาประชาราษฏร์เป็นอย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้น ให้ปิดที่ว่าการกรมไปรษณีย์โทรเลข คือแผนก ต่างๆดังนี้

 แผนก อำนวยการ แผนกต่างประเทศ แผนกสำรวจ แผนกบัญชี แผนกพัสดุ แผนกช่าง ให้ข้าราชการ

หยุดทำการในวันที่ ๒๖ เดือนนี้ ๑ วัน ส่วนที่ทำการโทรเลขโทรศัพท์ ให้หัวหน้าจัดพนักงาน ผลัดเปลี่ยนกันมาปฏิบัติงาน

ตามเห็นสมควร

 ข้าราชการชั้นสัญญาบัตร ให้ไป สรงพระศพฉลองพระเดชพระคุณ ซึ่งกำหนดเวลา ๔ นาฬิกา หลังเที่ยงวัน

(ครับขอเสริมตรงนี้นิด หนึ่ง เพื่อเป็นความรู้ การกำหนดเวลา นั้น สมัยก่อน จะกำหนดหลังเทียง ก่อนเที่ยง ต่อมา มีคำสั่ง

เปลี่ยนแปลงเวลา มีคำสั่งด้วย ) การแต่งกาย เต็มยศ ไว้ทุกข์ ชั้นทื ๑ คือพันผ้าไว้ทุกข์ที่แขนเสื้อ ตราแลเหรียญ หุ้มผ้าแพร

โปร่งดำ

 ต่อมามีคำสั่ง ที่ ๗๐/ ๒๔๖๘ ลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ ลงนามโดยนายพลโท พระยาเทพหัสดิน อธิบดี

เรื่องให้ข้าราชการถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ความว่า..ด้วยตามที่จะได้มีการพระราชพิธี ศรีสัจปานการ รับพระราชทานน้ำ

พระพืพัฒน์สัตยา ในวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๘ เวลา ๒ นาฬิกา หลังเทียงนั้น (เวลา ๑๔.๐๐ น. )ให้ข้าราชการ

กรมไปรษณีย์โทรเลข ปฏิบัติการดังนี้

 ๑ ) ข้าราชการชั้นสัญญาบัตร ผู้ที่ไม่มีการขัดข้องจำเป็น โดยแท้จริง ให้ไปถือน้ำพระพิพัฒน์ สัตยา

ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม.

 

 ๒ ) ข้าราชการชั้นสัญญาบัตร ผู้ที่มีการขัดข้อง จำเป็น ไปไม่ได้ กับข้าราชการชั้นที่ไม่มียศและ

บรรดาศักดิ์ ให้ไปถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ที่ว่าการกระทรวงคมนาคม.

 ๓ ) ข้าราชการ ที่ทำการโทรศัพท์กลาง ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ ที่ ๘ และที่ ๑๐

ซึ่งมีราชการประจำ (คือต้องเข้าเวร ) จะละเว้นไปที่ใดไม่ได้ ให้ผู้เป็นหัวหน้า จัดให้คนไปรับน้ำพระพิพัฒน์

สัตยา จากกระทรวงคมนาคม มาให้ถือ ณ ที่ทำการนั้นๆ(ตรงนี้ผมคนช่างเล่าขอเสริมว่า ข้าราชการยุคก่อน

เกรงกลัว จึงแทบไม่มีการโกงกินกันเหมื่อนยุคนี้)

 ๔ ) การแต่งกาย สำหรับ ผู้ที่ไปถือที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แต่งเครื่องเต็มยศ พันผ้าดำไว้ทุกข์

ที่ขนเสื้อ ส่วนผู้ที่ไปถือ ณ ที่ว่าการกระทรวงคมนาคม นุ่งผ้าดำ พันผ้าดำไว้ทุกข์ที่แขนเสื้อ

 จากที่กล่าวโดยละเอียด ลอกภาษาเดิมๆและแก้ไขบ้างนั้น ทำให้เราทราบถึงราชประเพณีต่างๆได้

 เพื่อเป็นการเขียนให้ครบถ้วนกระบวนความ ผมคนช่างเล่า จะไม่ขอตัดตอนในคำสั่งต่อไปนี้นะครับ

เพราะผู้ที่มาอ่านพบเห็นภายหลัง จะใช้เป็นเอกสารอ้างอิงต่อไปภายภาคหน้าได้ เพราะที่เห็นการเขียน ถึงการเสด็จ

สววคตนั้น กล่าวอ้างผิดๆกันไว้

 คำสั่งกรมไปรษณีย์โทรเลข ที่ ๗๒/ ๒๔๖๘ ลงวันที่ ๒ ธันวามคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ลงนามโดยพระยาเทพหัสดิน

อธิบดี เรื่องให้ข้าราชการไปในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ที่พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๖

ความว่า..ด้วยกระทรวงวังได้มีหมายกำหนดการพระราชกุศล พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๖. ซึ่ง

สววคตแต่วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ ดังต่อไปนี้

 สัปตมวาร เริ่มที่ ๑ วันที่ ๒ และ ๓ ธันวาคม ไปจนถึงวันที่ ๗ มกราคม

 ปัณณาสมวาร ครบ ๕๐ วัน ในวันที่ ๑๔ มกราคม

 และศตมาห ครบ ๑๐๐ วัน ในวันที่ ๕ มีนาคม

และสั่งการเรื่องการแต่งกายไว้ทุกข์ไว้ด้วย ผมไม่ขอลงรายละเอียดนะครับ

 คำสั่งกรมไปรษณีย์โทรเลข ที่ ๗๓/๒๔๖๘ ลงวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๘ ลงนามโดยนายพลโท พระยาเทพหัสดิน

อธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข เรื่องกำหนดการไว้ทุกข์ถวาย พระบาทสมเด็จพระพระรามาธิบดีศรีสินทรพระมหาวชิราวุธ พระมงกุฏ

เกล้าเจ้าอยู่หัว ความว่า..ตามประดกาศกระทรวงวัง..ให้ข้าราชการกรมไปรษณีย์โทรเลขไว้ทุกข์ ไม่ขอลงรายละเอียดครับ และมีคำสั่ง

ที่ ๗๔/๒๔๖๘ เพิ่มเติม วิธีติดเหรียญตรา และต่อมามีคำสั่งบริจาคเงิน สร้างพรัไตรปิฏก ในงานถวายพระเพลิงพระศพ ผมไม่ของลงราย

ละเอียด เพราะ ค่อนข้างยาว เกินไป

 เผมเขียนเรื่องเล่าไปรษณีย์ จากบันทึกสั่งการแจ้งความต่างๆของกรมไปรษณีย์โทรเลขในอดีตนั้น เอกสารอันทรงคุณค่าเหล่านี้

มักจะมีอยู่ตามที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขเก่าๆในอดีต ของที่ทำการเก่าๆมากมาย แต่ ผู้ไม่เห็นคุณค่า มักโยนใส่ตะกร้า ทำ ๕ ส.ไปหมด ถ้าท่านๆ

นายไปรษณีย์ จะทิ้งก่อนทิ้ง ให้คิดถึงห้องสมุด สถาบันการศึกษานะครับ หรือส่งห้องสมุดหน่วยงานไปรษณีย์ไทยสำนักงานใหญ่ ผมขอมอก

ไปไหมนี่ ขอบคุณครับ


หยุด ทำร้าย สถาบันหลักของชาติเถิด พลังเงียบ ออกมา ออกมา มากๆ เขียน เมื่อ  ๒๓ เมย ๕๓

Create Date : 25 เมษายน 2553    
Last Update : 25 เมษายน 2553 3:45:28 น.
Counter : 638 Pageviews.  

undefined




 

"มาร์คท้อ" ... แหม๋ๆ ไม่เห็นกำลังใจจากคนทั้งประเทศหรือไร?

         

           เหนื่อยจัง! นายกมาร์คเริ่มป๊อด ... เชียร์มาตั้ง เอาใจช่วยทุกวัน เริ่มจะบ่นว่าท้อได้ไงหนอ? นี่ๆ "ท่านมาร์ค" คนที่เป็นที่รักของคนหมู่มาก กำลังใจล้นหลาม ทำไมจะมาท้อเล่า? หลายฝ่าย หลายหน่วยออกมาส่งซิกเป็นในๆ ยังมองไม่ออกอีกเหรอ? ขณะท่าน "ดร.สุมธ" ยังพูดเป็นในๆเลย ตั้งใจฟังคนอื่นบ้าง อย่าเชื่อแต่ "กำนันเทพ" เลย!

           เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา นายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกมาให้สัมภาษญ์นักข่าว แสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้สูญเสียที่สีลมเมื่อคืนวันที่ผ่านมา ว่าเข้าใจความรู้สึก และ ขอแสดงความเสียใจทั้งครอบครัวผู้เสียชีวิต และ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว

            มาร์คบอกต่อว่า ... หากแก้ปัญหาไม่ได้ ก็อยู่ไม่ได้ เพราะตนมีหน้าที่แก้ปัญหา หากแก้ไม่ได้ ก็ไม่ควรอยู่ ขณะนี้อยู่ระหว่างหาแนวทาง แต่อาจจะไม่โดนใจใครหลายๆคน แต่จะไม่ให้เกิดปัญหามากไปกว่านี้

             มาร์คยอมรับว่าทุกข์ไม่แพ้คนอื่น แต่ก็จะแก้ปัญหาให้ได้ ................

             แหม๋ๆ หัดมองกำลังใจที่เขาเทให้มั้งตะ อย่าเชื่อกำนันนัก ไอ้ทหารที่ไม่เอาไหน รอวันตาย .... เฮ้ยๆ รอวันที่ไม้ใกล้ฝั่ง ก็เอาออกไปเถอะ เอาที่กล้าๆ ที่มันรักประเทศ รักสถาบันกว่าคนหัวล้าน มาร่วมแก้ปัญหาดีกว่า นายกมาร์คเอ๋ย........

Create Date : 25 เมษายน 2553    
Last Update : 25 เมษายน 2553 3:45:19 น.
Counter : 406 Pageviews.  

undefined




 

ประเทศไทย : รัฐที่ล้มเหลว/พวกเราต้องร่วมกันสกัด "ทุ่งสังหาร"

     ท่ามกลางวิกฤตการณ์การเมืองของการชุมนุมคนเสื้อแดง ที่กำลังพัฒนาไปในทางเลวร้ายสุดๆ จนกลายเป็น "วิกฤติของประเทศ" ที่กำลังจะสร้างความพินาศให้กับประเทศไทย จนประชาคมโลกเริ่มพูดเป็นเสียงเดียวกันแล้ว ว่า ประเทศไทยอันตรายต่อการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและประกอบธุรกิจ เพราะกำลังเป็น "รัฐที่ล้มเหลว" หรือ Failed State ที่อำนาจรัฐไม่สามารถปกครองประเทศได้
      แม้ "นายกรัฐมนตรีของเรา" ได้ประกาศใช้กฎหมายที่ให้อำนาจสิทธิขาดสูงสุดกับนายกรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหารในการจับกุม ตรวจค้น และปราบปรามการก่อการร้ายใดๆ ที่เป็นภัย "ร้ายแรง" ต่อประเทศ 
     รัฐบาลประกาศให้ใจกลางกรุงเทพมหานครเป็น "พื้นที่อันตราย" ตามคำนิยามของ "นายกรัฐมนตรีของเรา"  ด้วยการกล่าวอ้างว่าเป็นแหล่งซ่องสุมชุมนุมของ "ผู้ก่อการร้าย" ที่ทำให้ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา สภาพของเมืองหลวงประเทศได้ตกอยู่ในสภาพ "อนาธิปไตย" บ้านเมืองไร้ขื่อแปโดยสิ้นเชิง
     เมื่อประชาชนที่ไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งได้เกิดอาการ "สิ้นหวัง" กับการจัดการของรัฐและหมดความอดทนต่อการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ละเมิดกฎหมายและละเมิดสิทธิของผู้อื่นอย่างเกินขอบเขต
      ทำให้เริ่มจัดตั้งกลุ่มก้อนของตัวเองหลากหลายกลุ่ม เพื่อหาทาง "จัดการ" กับสิ่งที่พวกเขาเห็นว่า "อำนาจรัฐล้มเหลว" ในการรักษาความสงบของบ้านเมืองให้พวกเขา จนทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างประชาชนชาวสีลมกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ไปละเมิดสิทธิพื้นฐานของพวกเขาในการอยู่อาศัยและประกอบสัมมาชีพ
  

     กองกำลังทหารที่ออกประจำการในพื้นที่ธุรกิจของกรุงเทพฯ เป็นเสมือนผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจตามพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน คงทำได้อย่างมากที่สุด คือ ถืออาวุธปืน แต่ไร้พิษสงรักษาการสถานที่สำคัญๆ ให้ดูน่าเกรงขามเท่านั้นเอง เมื่อเกิดการปะทะกันระหว่างประชาชนต่อประชาชน ก็ทำหน้าที่แค่ลาดตระเวนถอยร่น แล้วช่วยปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล
     เพราะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ยังไม่ยอมตัดสินใจใช้อำนาจที่มีอยู่ เพื่อทำหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงของประเทศ โดยพร่ำบอกกับ "นายกรัฐมนตรีของเรา" ว่า "ปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง" แม้ทหาร 4 นาย ได้ถูกสังหารด้วยกระสุนปืนอาวุธสงครามจาก "กองกำลังไม่ทราบฝ่ายชุดดำ" ในยุทธการ "ขอพื้นที่คืน" หรืออีกนัยหนึ่ง "ชิงพื้นที่" ที่ทำให้เกิดการปะทะกันที่มีผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่ายรวม 25 คน และบาดเจ็บร่วม 800 คน
     ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน ที่กำลังจะเกษียณอายุในอีกไม่ถึง 6 เดือนข้างหน้า ก็ยังไม่ได้เห็นว่าเป็น "วิกฤติของชาติ" แต่ยังเป็น "วิกฤติของฝ่ายการเมือง" ซึ่งค่อนข้างผิดธรรมเนียมของกองทัพไทยในอดีต ที่มักหยิ่งในศักดิ์ศรีชายชาติทหาร ออกมาตบเท้าแสดงอำนาจเหนือฝ่ายการเมืองอยู่เนืองๆ เมื่อเกิดความไม่พอใจในการโยกย้ายตำแหน่ง หรือเรื่องอื่นใดที่เป็นแค่การหมิ่นศักดิ์ศรีกองทัพ
     ส่วนรักษาการผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ กลับไม่สามารถบังคับบัญชาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จะต้องเป็นผู้บังคับใช้กำหมายอย่างเคร่งครัด ในการดูแลความสงบสุขของบ้านเมือง กลับ "ไม่ใส่เกียร์ทำงาน" ไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ตามกำหมายใดๆ เลย ปล่อยให้ "กลุ่มคนที่สวมเสื้อแดงหรือฉวยโอกาสใช้สัญลักษณ์ "สีแดง" สามารถละเมิดกำหมายทุกอย่างซึ่งๆ หน้า
     ทั้งกีดขวางการจราจร บุกรุกสถานที่ราชการ ทำร้ายร่างกายผู้อื่น ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ทำลายสินทรัพย์เอกชนและราชการ จับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ ผู้กระทำความผิดยังลอยนวล แม้ศาลออกหมายจับ ยึดครองถนนสาธารณะ ข่มขู่ประชาชนคนละพวก ขัดขวางรถพยาบาลไม่ให้นำผู้บาดเจ็บจากการปะทะกันส่งโรงพยาบาล ใช้เครื่องขยายเสียงดังมากๆ สร้างความรำคาญให้สาธารณะ ฯลฯ
     เพราะนายพลตำรวจส่วนใหญ่ ยังแสดงความเห็นใจอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกรัฐประหารไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อยที่เป็นผู้ปฏิบัติ จึงไม่เต็มใจในการทำตามคำสั่งของฝ่ายการเมือง และยังกลายเป็น "หนอนบ่อนไส้" ให้แกนนำคนเสื้อแดง ที่มีพฤติกรรมรุนแรงได้ถูกออกหมายจับไปนานแล้ว กลับหลุดพ้นการจับกุมไปได้
 

   ในขณะที่คนระดับล่างที่กลุ่มคนเสื้อแดงพยายามเรียกตัวเอง ว่า "ไพร่" ที่ไปร่วมชุมนุมหรือบางคนแม้ไม่ได้ไป แต่ได้ใช้สัญลักษณ์ "สีแดง" เป็นเกราะป้องกันตัว จากพวกตำรวจที่เคยรังแกอยู่เป็นประจำ อาทิเช่น ธงแดง สติกเกอร์แดง ตีนตบสีแดง ผ้าโพกหัวแดง เสื้อยืดแดง หมวกแดง ฯลฯ ซึ่งพวกเขาส่วนใหญ่เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ "กดขี่-ข่มเหง" จากการเลือกปฏิบัติในการใช้กฎหมายลงโทษ-จับกุมพวกขับขี่มอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ รถขนส่งสินค้า แม่ค้าหาบเร่ ฯลฯ
     พวกเขาต่างใช้ช่วงจังหวะนี้แห่แหนกันออกมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน สำแดงตัวด้วย "สีแดง" เพื่อ "แก้แค้น" ตำรวจด้วยความสะใจ จนตำรวจไม่กล้าออก "ใบสั่ง" หรือสั่งลงโทษใดๆ ในช่วง 1  เดือนที่ผ่านมา
     กลไกรัฐสภาก็ไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไปแล้ว
    เมื่อพรรคการเมืองฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันการเคลื่อนไหว "นอกสภา" กับแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ที่มีแนวทางการสร้างวิกฤติการเมือง เพื่อบั่นทอนอำนาจรัฐ โดยใช้สภาผู้แทนราษฎรเป็นเวทีสร้างกระแสต่อเนื่อง มากกว่าการทำหน้าที่ "นิติบัญญัติ" หรือเป็นเวทีสภาตามระบอบประชาธิปไตย ที่ควรจะใช้ในการแก้ไขหรือถกเถียงปรึกษาหาทางออกให้วิกฤติของชาติ
      แม้กระทั่งกลไกวุฒิสภาที่เป็น "สภาสูง" ที่ควรจะมีวุฒิภาวะมากกว่าสภาผู้แทนราษฎร กลับไม่สามารถหวังได้อีกต่อไป เพราะความแตกแยกในวุฒิสภาจนไม่ได้คำนึงถึง "ถูกหรือผิด" แต่เลือกจะบอกว่า "ถูก" เมื่อพวกเดียวกันเสนอ และบอกว่า "ผิด" ทุกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเสนอ แม้ว่าในบางครั้งจะเป็นข้อเสนอที่ "ถูกต้อง" แต่กลับไม่ "ถูกใจ" พวกเดียวกัน
      สื่อของรัฐ สื่อของเอกชน เกือบทุกแขนงยังล้มเหลวในการหน้าที่ "สื่อเพื่อสันติภาพ" (Peace Journalism)

      เพื่อช่วยลดอุณหภูมิสังคมไม่ให้โกรธเกลียดชังกันมากขึ้น ในการเพาะเชื้อความรุนแรง สื่อของรัฐและสื่อของเอกชนเกือบทั้งหมด กลับทำงานในลักษณะ "สื่อเพื่อสงคราม" (War Journalism) ที่เร่งเร้าให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น
      สื่อจึงเริ่มกลายเป็น "ผู้ร้าย" ของสังคมถูกกล่าวโทษว่าไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศ  แต่กลับเป็นตัวเร่ง "สุมไฟ" ให้เกิดความรุนแรงยิ่งขึ้น สื่ออิสระที่ทำงานบนหลักการนำเสนอ "ความจริง" อย่างรอบด้าน กลับถูกประณามจากฝ่ายที่ไม่พอใจใน "ความจริง" ที่ได้นำเสนอ จนทำงานด้วยความยากลำบากอย่างยิ่งไม่ให้ถูกมองว่าเลือกข้างใดข้างหนึ่งที่เป็นคู่ขัดแย้ง
      ทุกฝ่ายในประเทศจึงพ่ายแพ้จากการปะทะกันระหว่าง "ผู้ถืออำนาจรัฐ" กับ "กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง" เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่มีผู้เสียชีวิต 24 คนทั้งประชาชนคนเสื้อแดงกับทหารและตำรวจบาดเจ็บอีกกว่า 800 คน
       เมื่ออำนาจรัฐอ่อนแอจนถึงจุดต่ำสุดไม่เป็นที่พึ่งของประชาชนได้ "วิกฤติการเมือง" ที่กลายเป็น "วิกฤติของชาติ" ได้ลุกลามไปสู่สภาพ "สงครามกลางเมือง" ปะทะกัน ระหว่าง "ประชาชน" ต่อ "ประชาชน" สองฝ่ายเพื่อหาหนทาง "จัดการ" กับปัญหาเอง จนทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชาชนที่ไม่ได้เป็น "คู่ขัดแย้ง" 1 ศพ และบาดเจ็บอีกกว่า 80 คน จากอาวุธสงครามระเบิด M 79 ถึง 5 ลูกยิงเข้าพื้นที่ธุรกิจที่เป็นหัวใจของเมืองหลวง
        สภาพอนาธิปไตยสงครามกลางเมืองที่สี่แยกศาลาแดงและสีลม ได้ทำให้ผู้คนในสังคมไทยเต็มไปด้วยความเครียด หดหู่ เศร้าหมอง โกรธแค้น ชิงชังมองไปข้างหน้าเห็นแต่ภาพ "สงครามกลางเมือง" ที่มีความเสี่ยงสูงมากว่าจะเกิดการสูญเสียชีวิตอีกหลายร้อยคนและบาดเจ็บอีกหลายหมื่นคน
       หาก "เจ้าหน้าที่รัฐ" ทั้งฝ่ายทหารและตำรวจที่แม้ไม่เต็มใจปฏิบัติหน้าที่ แต่เริ่มหมดความอดทนต่อการยั่วยุจากผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง และไม่สามารถทนต่อแรงกดดันของกลุ่มต่างๆ ในสังคม ซึ่งกำลังมีความโน้มเอียงสนับสนุนการใช้ความรุนแรงเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ที่อ้างว่าเรียกร้องประชาธิปไตยด้วยการ "ยุบสภา" จากปัญหาชนชั้น  โดยถือเหตุสมควรแก่การปราบปรามจากการละเมิดสิทธิของผู้อื่นอย่างชัดเจน ทำความเสียหายให้กับภาคธุรกิจเอกชนอย่างมหาศาลในการยึดครองพื้นที่ทำเลทองในการประกอบธุรกิจค้าปลีกกับท่องเที่ยว
      ผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงเวทีราชประสงค์ที่ทุกค่ำคืนมีผู้ชุมนุมหลายหมื่นคน กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างที่สุด อาจจะถูกสลายการชุมนุมในช่วงรุ่งสางวันใดวันหนึ่ง ที่มักเหลือผู้ชุมนุมน้อยไม่ถึง 10,000 คน
      ผู้คนในสังคมไทยทุกภาคส่วนกำลังตกอยู่สภาพในนอนไม่หลับ ท่ามกลางฝันร้ายทุกค่ำคืน  กลัวว่าจะตื่นขึ้นมาพบกับภาพทุ่งสังหารกลางสี่แยกราชประสงค์ คละคลุ้งไหลนองด้วยเลือดสีแดงจากศพกองพะเนินของคนไทยที่สวมเสื้อแดง เป็นสัญลักษณ์คงจะกลมกลืนกับเลือดสีแดง
      พวกเราคนไทยจะยอมให้ประเทศของเรากลายสภาพเป็นทุ่งสังหารเช่นนั้น ด้วยความเชื่อว่าปัญหาความขัดแย้งครั้งจะจบลงโดยสิ้นเชิงหรือเปล่า เพราะคำตอบส่วนใหญ่จะตรงกันว่าความขัดแย้งจะไม่จบ และมันจะลุกลามกลายเป็นสงครามย่อยๆ ทั่วประเทศไปนานนับสิบปีตายเป็นแสนคน แล้วพวกเราคนไทยจะทำอย่างไร จะต้องเป็น "โจทย์เร่งด่วน" ของทุกคนในประเทศนี้ ที่จะต้องเร่งร่วมกันหาทางออกจากวิกฤติร้ายแรงของประเทศให้ได้โดยเร็วที่สุด

Create Date : 25 เมษายน 2553    
Last Update : 25 เมษายน 2553 3:45:12 น.
Counter : 373 Pageviews.  

undefined




 

ไปกันเถอะพี่น้องชาวไทย...ไปหยุดประเทศไทยกัน

ผลงานภาพถ่ายสร้างสรรค์โดยบ่าวใหม่ ณ โตเกียว
Create Date : 25 เมษายน 2553    
Last Update : 25 เมษายน 2553 3:45:04 น.
Counter : 429 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  

boyberm
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




boyberm
Friends' blogs
[Add boyberm's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.