ทันทีที่รัฐบาลทหารพม่า ได้ประกาศตั้งพรรคการเมืองเพื่อลงแข่งขันในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกในรอบ 20 ปี ซึ่งกำหนดจะมีขึ้นอย่างเป็นทางการภายในปี 2010 นี้ รวมถึงการให้คำมั่นสัญญาที่จะให้อิสรภาพแก่ อองซาน ซูจี ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือนด้วยนั้น นับเป็นความเคลื่อนไหวที่ได้รับการตอบสนองทั้งในด้านบวก และด้านลบจากภาคส่วนต่างๆอย่างกว้างขวางทั้งในและนอกประเทศพม่า กล่าวสำหรับประเทศแรกที่ได้แสดงท่าทีตอบสนองด้านบวกต่อการเคลื่อนไหวนี้ก็คือเวียดนามในฐานะที่เป็นประธานเวียนของกลุ่มอาเซียนในเวลานี้ ซึ่งมองว่าเป็นความคืบหน้าอีกขั้นหนึ่งของแผนการ 7 ขั้นของการพัฒนาทางการเมืองในพม่าเพื่อมุ่งไปสู่ประชาธิปไตยให้ได้อย่างแท้จริงในอนาคต แต่การมองดังกล่าวนี้ของทางการเวียดนาม ก็นับว่าแตกต่างกับการมองของบรรดาประเทศสมาชิกในกลุ่มสหภาพยุโรปอย่างสิ้นเชิง เพราะสำหรับทางฝ่ายสหภาพยุโรปแล้วมองว่าการประกาศดังกล่าวของรัฐบาลทหารพม่านั้นเป็นเพียงการสร้างความชอบธรรมให้ทหารสามารถที่จะอยู่ในอำนาจทางการเมืองได้ต่อไปอย่างยาวนานเท่านั้น ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าร่างรัฐธรรมนูญการปกครองที่ได้เริ่มดำเนินการร่างนับตั้งแต่ปี 1993 เป็นต้นมานั้น นอก จากจะไม่มีบรรดาผู้นำของชนกลุ่มน้อยและพรรคฝ่ายค้าน เช่นพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy—NLD) ภาย ใต้การนำของ อองซาน ซูจี เข้าร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวแต่อย่างใดแล้วบทบัญญัติในร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวนี้ยังได้กำหนดห้ามชาวพม่าที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติหรือว่าต้องโทษทางอาญาตามการตัดสินของศาลในพม่านั้นเข้าร่วมลงสมัครแข่งขันในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าบทบัญญัติดังกล่าวนี้มีเป้าหมายที่จะกีดกัน อองซาน ซูจี ที่มีคู่สมรสเป็นชาวอังกฤษและต้องโทษตามคำตัดสินของศาลอาญานั้นให้พ้นไปจากวงจรทางการเมืองในพม่าเป็นด้านหลักอันเป็นการกำจัดคู่ต่อสู้ทาง การเมืองของคณะทหารพม่านั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลทหารพม่ายังได้จัดเตรียมความพร้อมต่างๆไว้เพื่อรองรับการเลือกตั้งอย่างเป็นกระบวนการไว้ล่วงหน้าเป็นเวลานานมาแล้ว และบททดสอบถึงความพร้อมที่สำคัญอย่างยิ่งในช่วงที่ผ่านมานั้นก็คือการจัดให้มีการลงประชามติเพื่อรับรองรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2008นั้น รัฐบาลทหารพม่าก็ได้มอบหมายให้เป็นความรับผิดชอบขององค์การที่มีชื่อว่า สมาคมเพื่อการพัฒนาและความเป็นปึกแผ่นแห่งสหภาพ (Union Solidarity and Development Association หรือ USDA) โดย USDA นี้นับเป็นองค์กรจัดตั้งมหาชนที่รัฐบาลทหารพม่าจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้มีบทบาทหลักในการช่วงชิงมวลชนจาก NLD อย่างเป็นการเฉพาะเจาะจงก็ว่าได้ เพราะจากความพ่ายแพ้อย่างราบคาบต่อ NLD ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 1990 นั้น ได้ทำให้รัฐบาลทหารพม่ามองเห็นความจริงที่ว่าลำพังแต่อำนาจที่ปลายกระบอกปืนนั้นมันไม่ใช่ แนวทางที่จะทำให้คณะทหารสามารถที่จะอยู่ในอำนาจได้อย่างปกติสุข ด้วยเหตุนี้ จึงได้ตัดสินใจจัดตั้ง USDA ขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1993 อันเป็นปีที่รัฐบาลทหารพม่าได้เริ่มสร้างภาพและสร้างความชอบธรรมให้กับการอยู่ในอำนาจของพวกตนด้วยการจัดตั้งสมัชชาแห่งชาติ หรือ National Convention ขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบในการวางเค้าโครงให้กับการร่างรัฐธรรมนูญการปกครองฉบับใหม่ของประเทศ ทั้งนี้โดยในจำนวนสมาชิกของสมัชชาแห่งชาติที่มาจากการแต่งตั้งโดยอำนาจในคณะรัฐบาลทหารพม่าซึ่งมีอยู่ทั้งหมดกว่า 1,000 คนนั้นถือเป็นสมาชิกที่มาจาก USDA มากถึง 633 คนหรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 58% ของจำนวนสมาชิกฯทั้งหมด ส่วนนอกนั้นก็จะเป็นตัวแทนจากชนเผ่าที่ไม่มีปัญหาขัดแย้งกับรัฐบาลทหารหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งนั้นก็คือชนเผ่าที่ USDA สามารถเข้าไปจัดตั้งและควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น USDA ยังเป็นกลไกสำคัญของรัฐบาลทหารพม่าในการเคลื่อนไหวเพื่อเผชิญหน้ากับ NLD และมวลชนของ NLD อีกด้วย โดยกรณีที่ชัดเจนที่สุดที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ก็คือการสกัดกั้นขบวนของ อองซาน ซูจี ในปี 2003 ทางภาคเหนือของกรุงย่างกุ้ง ซึ่งการปะทะในครั้งนั้นก็เป็นเหตุทำให้ผู้สนับสนุนของ อองซาน ซูจี เสียชีวิตไปมากกว่า 100 คน รวมถึงการปราบปรามการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ ที่มีพระ สงฆ์เป็นแกนนำในการประท้วงเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน 2008อันเป็นผลทำให้มีผู้เสียชีวิต (รวมพระสงฆ์ด้วย) นับร้อยคนเช่นกัน (รัฐบาลทหารพม่าบอกว่ามีผู้เสียชีวิตเพียง 15 คนเท่านั้น) การดำเนินงานของ USDA ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทหารพม่าทั้งในด้านงบประมาณ เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ รวมถึงการได้รับอภิสิทธิ์เหนือพลเมืองโดยทั่วไปในทุกๆด้านนั้นได้กลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ USDA นี้สามารถเสริมสร้างเครือข่ายและก็เพิ่มจำนวนสมาชิกได้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยจากรายงานของ USDA ได้ระบุว่าในช่วง 17 ปีมานี้สามารถสร้างเครือข่ายที่เป็นคณะกรรมการระดับรัฐหรือเขตปกครองได้อย่างครบถ้วนทั้ง 17 รัฐหรือเขตปกครอง (States and Divisions) ในทั่วประเทศแล้ว (เขตที่มีชนกลุ่มน้อยเป็นประชากรส่วนใหญ่เรียกว่า State ส่วนเขตที่มีชาวพม่าเป็นประชากรส่วนใหญ่นั้นเรียกว่า Division) พร้อมกันนี้ USDA ยังสามารถจัดตั้งคณะกรรมการระดับอำเภอได้กว่า 70 คณะและระดับเมืองอีกกว่า 320 คณะ ส่วนการจัดตั้งที่สามารถเสริมเพิ่มจำนวนสมาชิกได้มากที่สุดนั้นก็คือคณะกรรมการระดับชุมชนหรือหมู่บ้านซึ่ง USDA สามารถควบคุมได้เกือบ 16,000 แห่ง อันเป็นผลทำให้มีสมาชิกทั้งที่เข้ามาโดยสมัครใจและถูกบีบบังคับแล้วมากกว่า 25 ล้านคนหรือกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศในเวลานี้ เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่รัฐบาลทหารพม่าได้มอบหมายให้ USDA เป็นองค์กรที่รับผิดชอบในการจัดการลงประชามติเพื่อรับรองเอาร่างรัฐธรรมนูญเมื่อเดือนพฤษภาคม 2008เนื่องจากมั่นใจว่าด้วยพลังมวลชนของ USDA ที่มีอยู่กว่า 25 ล้านคนนั้นย่อมทำให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านการลงประชามติอย่างแน่นอน แน่นอนว่าความต้องการที่แท้จริงของรัฐบาลทหารพม่าย่อมไม่ใช่เพียงการทำให้รัฐธรรมนูญ (ที่ใช้เวลากว่า 14 ปีในการร่าง) ผ่านการลงประชามติออกมาบังคับใช้อย่างเป็นทางการเท่านั้น หากยังได้มองไปถึงชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปเหนือพรรค NLD อีกด้วย ทั้งนี้โดยวิธีการสำคัญที่จะทำให้เป้าหมายดังกล่าวของรัฐบาลทหารพม่าเป็นจริงได้นั้น ก็คือการแปลงร่างองค์การจัดตั้งมหาชนของคณะทหารอย่าง USDA ไปเป็นพรรคการเมือง เพราะภายหลังจากที่ได้จัดการลงประชามติเพื่อรับรองเอารัฐธรรมนูญได้ตามความต้องการแล้วนั้น รัฐบาลทหารพม่าก็ยังมีเวลาอีกกว่า 2 ปีในการที่จะเตรียมความพร้อมในทุกๆด้านสำหรับรองรับการแปลงร่าง USDA ไปเป็นพรรคการเมืองนั่นเอง ขิ่น หม่อง ยี เลขาธิการพรรคเอกภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทหารพม่านั้นได้ให้การยืนยันว่าการดำเนินตามแผนการดังกล่าวนี้ของรัฐบาลทหารพม่าได้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นในช่วงกว่า 2 ปีมานี้ โดยสิ่งที่ USDA ได้เร่งดำเนินการมาโดยตลอด ก็คือการคัดเลือกสมาชิกของ USDA ทุกระดับในทั่วประ เทศเพื่อให้รับผิดชอบในการเสริมสร้างจำนวนสมาชิกให้ได้มากที่สุด ซึ่งด้วยสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ จึงทำให้ ขิ่น หม่อง ยี ซึ่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในพรรคการเมืองใหม่ของรัฐบาลทหารพม่าไปแล้วนั้น มีความมั่นใจว่าผลการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2010 นี้ย่อมจะต้องแตกต่างกับการเลือกตั้งทั่วไปในปี 1990 อย่างแน่นอน นั่นก็คือชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อไปนี้จะตกเป็นของพรรคการเมืองใหม่ที่ใช้ชื่อว่าพรรคเพื่อการพัฒนาและความเป็นปึกแผ่นแห่งสหภาพ ซึ่งแปลงร่างมาจาก USDAของรัฐบาลทหารพม่าเป็นแน่แท้ ส่วนพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ซึ่งถูกยุบพรรคไปแล้วเนื่องเพราะไม่ได้แจ้งความจำนงค์เพื่อจดทะเบียนจัดตั้งพรรคต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองของรัฐบาลทหารพม่านั้น ก็จะยังคงเป็นฝ่ายค้านต่อไป และจนถึงที่สุดแล้วการเมืองในพม่าก็จะยังคงย่ำอยู่ที่เดิมต่อไปเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าจะมีการจัดให้มีการเลือกตั้ง (แบบมัดมือชก) และมีการจัดตั้งคณะรัฐบาลที่มีจากการเลือกตั้งดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยการกำหนดจากอำนาจทหารฝ่ายเดียวเช่นนี้ ย่อมจะไม่เป็นที่ยอมรับจากพรรคฝ่ายค้านและนานาชาติอยู่ดี ซึ่งนั่นก็หมายความว่าการประท้วง การใช้กำลังเข้าปราบปรามการประท้วง และการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจหรือการประณามที่นานาชาติมีต่อรัฐบาลทหารพม่าที่แปลงร่างไปเป็นรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง (แบบมัดมือชก) นั้น ก็จะยังคงมีอยู่และเกิดขึ้นเช่นนี้ต่อไป!!! |