Group Blog
 
All Blogs
 

undefined




 

มิจฉาทิฏฐิของทักษิณ เลวร้ายกว่าถูกปรมาณูถล่ม

นช. พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำประเทศ ระหว่างวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544-18 กันยายน 2549

มีรายงานและมีข่าวที่เกี่ยวกับมูลค่าทรัพย์สินของเขา

ปี 2544 ได้แจ้งมูลค่าสินทรัพย์ ปรากฏเป็นหลักฐานกับปปช. 49,000 ล้านบาท

ปี 2549 ก่อนเกิดรัฐประหาร มีประจักษ์เป็นหลักฐานว่า มีการชายชินคอร์ปให้เทมาเส็ก แห่งสิงคโปร์ได้มูลค่าประมาณ 73,000 ล้านบาท

ส่วนที่ไม่ปรากฏเป็นหลักฐานต่อปปช.

สื่อประเทศอังกฤษ เสนอข่าวหลังทักษิณถูกถอนวีซ่า มีการอายัดทรัพย์สินของทักษิณมีมูลค่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 140,000 ล้านบาท สื่อประเทศมาเลเซียเสนอข่าว ทักษิณมีเงิน 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 192,500 ล้านบาท ก่อนจะขาดทุน จากการเก็งกำไรน้ำมัน และอสังหาริมทรัพย์ เหลือ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 17,500 ล้านบาท รวมแล้วมีมูลค่าเกือบ 5 แสนล้ายบาท

ปี 2552 มีคนพบว่าทักษิณดอดบินเข้าประเทศมาเลย์เซีย เชื่อว่าคงเข้าไปจัดการบัญชีทรัพย์สินของตนที่มาเลย์เซีย

ทักษิณบอก ให้ประชาชนเป็นอยู่อย่างพอเพียง ตามพระราชดำรัสพ่อหลวง แต่จากต้นปี 2544 ถึงปลายปี 2549 ระยะเวลาประมาณ 6 ปี มูลค่าทรัพย์สินเขาเพิ่มจาก 5 หมื่นล้าน เป็น 5 แสนล้าน มูลค่าทรัพย์สินเพิ่ม 10 เท่า ชาวบ้านไม่มีจะกิน แต่ของเขากินใช้สิบชาติไม่หมด 

มิจฉาอาชีวะเท่านั้น ที่จะทำให้สินทรัพย์ของเอกชนหรือประชาชนมีมูลค่าเพิ่มสูงแบบเหลือเชื่อ อาชีพทางอบาย นักกีฬาอาชีพ นักร้อง นักแสดง การพนัน ค้าสิ่งเสพติด ขายเหล้าเบียร์ โจรใส่สูท รวมทั้งจากการปั่นตลาดหุ้น ทำให้เอกชนหรือประชาชนมั่งคั่งแบบผิดปกติได้

มิจฉาอาชีวะเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ มากกว่าจะเป็นประโยชน์ต่อระบบหรือต่อสังคม จะก่อให้เกิดปัญหา สังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจ สังคมและการเมืองไม่มั่นคง ปรัชญาของระบบที่ดี คือต้องทำให้ระบบให้เกิดความมั่นคง อาชีพอะไรที่ทำให้เอกชนมั่งคั่ง อาชีพนั้นอาจจะเอารัดเอาเปรียบระบบ และทำให้ระบบไม่มั่นคง รัฐต้องสนับสนุนเอกชน และประชาชน ประกอบการสัมมาอาชีวะ มากกว่าสนับสนุนประกอบการมิจฉาอาชีวะ 


ความอยากร่ำอยากรวยของทักษิณมีมาแต่ต้น ลาออกจากราชการ มาทำหนังเร่ ประสบกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจช่วงที่ประเทศไทยเข้าโครงการไอเอ็มเอฟครั้งแรก ระหว่างปี 2525-2535 มีคดีเกี่ยวเช็คปรากฏอยู่

ระยะหลังมาเปิดบริษัทจำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ กิจการก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

กรณีถุงขนม 2 ล้านบาท เป็นตัวบ่งบอก ถึงรูปแบบและวิธีการประกอบอาชีพของทักษิณในระยะหลัง

จุดเริ่มต้นความมั่งคั่งของทักษิณ

"ชัยวัฒน์ สุรวิชัย" นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย 14 ตุลา สมาชิกพรรคพลังธรรม ที่เคยร่วมงานกับทักษิณ เขียนจดหมายนอกคุกถึง “โอ๊ค เอม อุ๊งอิ๊ง หลานรัก” กล่าวถึงทักษิณ..“หากไม่มี บิ๊กจ๊อดผมก็คงไม่มีวันนี้” หลานคงรู้ว่าเป็นเรื่องการให้สัมปทาน ซึ่งคุณพ่อต้องให้อะไรจึงได้มา แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมและหลักธรรมาภิบาล ซึ่งนักธุรกิจที่ดีและกล่าวอวดตัวว่าดี "ไม่ควรทำ” ..

..“ผมพอแล้วครับ ประเทศให้ผมมากแล้ว ต่อไปนี้ ผมจะขอตอบแทนคุณแผ่นดิน หากผมทำให้ประเทศเจริญขึ้น ผมก็ได้ทางอ้อมอยู่แล้ว (จากหุ้นที่เพิ่มขึ้น) ขอให้มาช่วยกันนะครับ”..

คำพูดและการกระทำที่ผ่านมาแต่ต้น ถึงทุกวันนี้ ร่วม 20-30 ปี ไม่มีความสัมพันธ์ต่อกัน ล้วนเป็นคำพูดที่เหลวไหล เชื่อถือไม่ได้ จึงหวังความดีงามจากทักษิณไม่ได้ คนโกหกไม่ทำชั่วไม่มี

จากหากินทางฉายหนังเร่กลายมาเป็นเศรษฐีใหม่ ช่วงเวลาประมาณ 25 ปี และได้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ทักษิณเป็นผู้ที่พูดฟังแล้วฟังดี แต่การกระทำเป็นคนละเรื่อง (มิจฉาวาจา) แสดงถึงความเป็นคนคดในข้องอในกระดูกมาแต่แรก มีมิจฉาทิฏฐิอยู่ในกมล

จากคำตัดสิน องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 9 ท่าน  วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 พิพากษายึดทรัพย์ น.ช. พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร  แสดงให้เห็นถึงความคิดทักษิณที่ เอารัดเอาเปรียบรอบด้าน

1) เอารัดเอาเปรียบประเทศชาติ (การแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ใช้เรือข่ายร่วม (โรมมิ่ง) ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินให้ ทศท.และ กสท.)

2) เอารัดเอาเปรียบเอกชนด้วยกัน (กรณีแปลงค่าสัมปทานเป็นค่าภาษีสรรพสามิต เป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่)

3) เอารัดเอาเปรียบประชาชน ..ต้องใช้ค่าบริการ ราคาสูง


การกระทำดังกล่าว เป็นมิจฉาทิฏฐิ เพื่อเอื้อประโยชน์ "ทางพื้นฐาน" ให้หุ้นในกลุ่มชินคอร์ป เพื่อทำให้ "ราคาหุ้น" ในกลุ่มชินคอร์ปสูงขึ้น เพื่อขายให้เทมาเส็ก ให้ได้ราคาสูงขึ้น เอาความมั่งคั่งใส่กระเป๋าตนเอง

ที่เลวร้ายคือ แทนที่ทรัพย์สินดังกล่าวจะยังคงเป็นของคนไทย แต่กลับตกไปเป็นของต่างชาติ ความมั่งคั่งระยะยาวจะตกแก่ต่างชาติ

สัมปทานเป็นของคนไทยทุกคน แต่เอาไปขายให้เทมาเส็ก ทำให้คนไทยทั้งมวลเสียศักดิ์ศรีของความเป็นคนไทย ก่อนหน้านั้นสินทรัพย์ของคนไทยตกเป็นของต่างชาติมากแล้ว ชินคอร์ปยังตกเป็นของต่างชาติอีก ชินคอร์ปถือหุ้นใหญ่เอไอเอส ทำให้เอไอเอสตกเป็นของต่างชาติด้วย ทำให้คนไทยกลายเป็นคนชั้น 2 ของประเทศ เป็นลูกจ้าง มีต่างชาติเป็นนาย

ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง                     คงจะต้องบังคับขับไส
เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป                     ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย
เขาจะเห็นแก่หน้าค่าชื่อ                    จะนับถือพงศ์พันธุ์นั้นอย่าหมาย 
ไหนจะต้องเหนื่อยยากลำบากกาย     ไหนจะอายทั่วทั้งโลกา
พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖

ทักษิณพูดพล่อย พูดเอาแต่ตัวได้ ไม่มีหิริโอตัปปะ ไม่มีใจเป็นนักกีฬา เป็นตัวอย่างที่เลวแก่เยาวชน

จากความมั่งคั่งแห่งตน และกิเลสที่พอกพูนเพิ่มขึ้นทุกวัน จนยากที่จะรู้อะไรควร อะไรไม่ควร มีการแสดงออกทั้งทางวาจาและการกระทำ ว่ามีความต้องการที่มากขึ้นไปอีก เป็นที่กังขาของผู้คนว่าต้องการจะสถาปถานารัฐใหม่ และขึ้นเป็นผู้นำรัฐใหม่

กลไกเศรษฐกิจโลก เอื้อประโยชน์ช่วงทักษิณเป็นรัฐบาล เงินเหรียญสหรัฐเริ่มพังทลายในปี 2543 รัฐบาลทักษิณมาในปี 2544 เป็นช่วงที่เงินไหลออกจากอเมริกามาท่วมโลก ท่วมไทย ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยดีขึ้น ทุนสำรองฯ ค่าเงินบาท ตลาดหุ้น ราคาสินค้าเกษตร ราคายาง สูงขึ้น มีผลทำให้ประเทศไทยสามารถใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมดกลางปี 2546

ช่วงเวลาเดียวกันนี้ อินโดนีเซียและเกาหลีใต้ ที่เข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟช่วงเดียวกัน ก็สามารถใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมดเช่นเดียวกัน

การที่เศรษฐกิจไทยดีขึ้น จึงไม่ใช่เกิดจากฝีมือการบริหารประเทศของทักษิณ แต่แทนที่ทักษิณจะรู้เท่าทัน กลับฉวยโอกาสเอาประโยชน์ใส่ตนอย่างเดียว รู้กันในวลี “คอร์รัปชันเชิงนโยบาย”

เงินเฟ้อเป็นเรื่องสำคัญ หากเกิดขึ้นแล้วไม่มีทางลง และจะต่อเนื่อง เงินเฟ้อยุคทักษิณพุ่งสูงมาก การสูงขึ้นของเงินเฟ้อเป็นผลจากการเอาหุ้นในกลุ่มปตท.เข้าตลาดหุ้น แล้วขึ้นราคาราคาน้ำมันมาขูดรีดชาวบ้าน

เศรษฐกิจยุคทักษิณไม่ได้ดีเด่นแต่อย่างใด มีการแก้ไขปัญหาปัญหาเฉพาะหน้าทางเศรษฐกิจตลอดเวลา มีการกระตุ้นเศรษฐกิจตลอดเวลา มีการขายสินทรัพย์ของกระทรวงการคลังออกมามาก กระทั่งต่างชาติเอาไปตั้งธนาคารขนาดใหญ่ได้ถึง 2 ธนาคาร คือธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ และธนาคารยูโอบี แม้รัฐบาลทักษิณจะขายรัฐวิสาหกิจถึง 5 แห่งเข้าตลาดหุ้น เงินคงคลังก็ยังติดลบ ไม่มีเงินพอที่จะจ่ายเงินเดือนข้าราชการ ต้องนำหุ้นอสมท.ขายฝากไว้กับธนาคารออมสิน

รัฐบาลทักษิณกู้เงิน 1.4 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็นชุดๆ เพื่อชดเชยหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ออกพันธบัตรชุดแรกโตเป็นประวัติการณ์กว่า 7 แล้นล้านบาทหรือ 50 เปอร์เซนต์หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ทำให้หนี้สาธารณะพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 2 ล้านล้านบาท เพิ่มเป็น 3.4 ล้านล้านบาท


ทักษิณมีเครื่องมือประกอบการที่สำคัญ 2 อย่าง

1) เงิน

2) สื่อ

เงิน และ สื่อ ที่ทำให้ทักษิณมีชัยชนะทางการเมืองอย่างท่วมท้น และเงินก็เป็นต้นเหตุให้ศาลตัดสินยุบพรรคไทยยรักไทย และพรรคตัวแทนในเวลาต่อมา

สิ่งทั้ง 2 อย่างนี้เปรียบเหมือนดาบ 2 คมที่คมมาก หากใช้ทางสัมมาทิฏฐิ จะทำให้สังคมเจริญรุ่งเรื่องอย่างรุ่งโรจน์ได้ แต่หากใช้ทางมิจฉาทิฏฐิจะนำความล่มจมมาสู่สังคมอย่างยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบได้

ทักษิณเลือกใช้เครื่องมือทั้ง 2 ในทางมิจฉาทิฏฐิ ทักษิณใช้สื่อทุกเช้าวันเสาร์ตั้งแต่ปี 2544 บอกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆที่ดีขึ้น ว่าเป็นฝีมือตน โดยเฉพาะเรื่องการใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ และการสูงขึ้นของราคายางเอามาเน้นย้ำเป็นพิเศษ ทำให้คนส่วนหนึ่งหลงเชื่อถึงขั้นหลงใหลว่าทักษิณเป็นสุดยอดผู้นำ

แต่คนอีกส่วนหนึ่งไม่เชื่อ เศรษฐกิจดีเพียงวาจา(มิจฉาวาจา) แต่เบื้องหลังมีการใช้ตำแหน่งหน้าที่สวมรอยหาประโยชน์ส่วนตนอย่างสุดเหวี่ยง ส่วนใหญ่หาประโยชน์ผ่านตลาดทุน เช่น การนำ 5 รัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหุ้น และการขายชินคอร์ปให้เทมาเส็กแห่งสิงคโปร์ ใช้ตลาดทุนเป็นช่องทางนำเงินไปไว้ที่ต่างประเทศ

ถึงทุกวันนี้เป็นเวลาถึง 9 ปีแล้ว ทักษิณยังคงใช้สื่อปลุกระดมคนในชาติอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่า โฟนอิน วีดิโออิน และสไคพอิน

ความมั่งคั่งอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาอันสั้น ทำให้ทักษิณหลงตัวและลืมตน คิดการใหญ่โตขึ้นไปอีก

การใช้สื่อแบบปลุกระดม ทำให้คนในสังคมแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย


ความรุนแรงของคนในชาติ เริ่มต้นในรัฐบาลทักษิณ

เป็นความเสียหายที่ยากที่จะประเมินค่าได้ และยากที่จะให้ฟื้นคืนสู่สภาพเดิมได้

ระเบิดปรมาณู 2 ลูกทำความเสียหายให้เฉพาะ 2 เมืองที่่ญี่ปุ่นเท่านั้น คือ ฮิโรชิมาและนางาซากิ 

แต่ปรมาณูทางมิจฉาทิฏฐิของทักษิณไม่ได้ทำลายเฉพาะบางเมือง แต่ทำลายแต่ทำลายจังหวัดแต่ละจังหวัด คนแตกแยกทุกระดับชั้น ตั้งแต่ล่างสุดถึงบนสุด ครอบครัวแตกแยก เพื่อนฝูงแตกแยก คนในองค์กรแตกแยก คนหน่วยงานแตกแยก คนในสังคมแตกแยก อาจารย์ในมหาวิทยาลัยแตกแยก พระสงฆ์แตกแยก สื่อแตกฝ่าย ประเทศไทยแตกแยกเป็นเสี่ยง

แม้ทักษิณจะตายไปถึง 100 ปี ความเสียหายจะยังคงต่อเนื่องไปอีกตราบนานเท่านาน

มิจฉาทิฏฐิของทักษิณที่ถูกทิ้งลงทุกจังหวัดในประเทศไทย ผ่านสื่อเวลายาวนาน ร้ายแรงและเลวร้ายกว่าระเบิดปรมาณู 76 ลูก

..............................................................
ที่มา: ปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติมจาก "มิจฉาทิฐิของทักษิณร้ายแรงกว่าระเบิดปรมาณู 76 ลูก"
//www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000043059

ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนท
//twitter.com/indexthai

Create Date : 03 เมษายน 2553    
Last Update : 3 เมษายน 2553 0:42:13 น.
Counter : 862 Pageviews.  

undefined




 

รวมคน รวมใจ มอบให้ "ปอง ปรีดา"

ถ้าเอ่ยชื่อ ปอง ปรีดา หลายท่านอาจยังงงๆ ว่า เคยได้ยินชื่อที่ไหนนะ ...แต่ถ้าเปิดเพลงมีเสียงผิวปาก อย่างเพลง "สาวฝั่งโขง" ให้ฟังนี่ ส่วนใหญ่ก็จะตีมือเปี๊ยะ ว่า โอววว ...นี่หล่ะ รู้แล้ว....

มีเพื่อนฝูง ที่ความจริงก็ไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับ ปอง ปรีดา อะไรมากมาย ได้อ่านหนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก ที่เขียนเรื่องปัจจุบันของปอง ปรีดา ในวัย 78 ปี ที่ตอนนี้วางมือจากวงการ พักผ่อนที่ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี และป่วยเป็นโรคเบาหวาน ประกาศขายแผ่นเสียงที่เก็บรวบรวมไว้ เพื่อเป็นทุนรักษาตัว ก็เริ่มมีการคุยกันว่า ในฐานะที่ปอง ปรีดา เป็นคนขอนแก่น คุ้มวัดศรีนวล  และสร้างชื่อเสียงโด่งดัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำให้ แม่น้ำโขง สายเลือดคนสองประเทศ เป็นสายน้ำที่เชื่อมสัมพันธ์คนสองฝั่ง อย่างมีชีวิตชีวา และปอง ปรีดา ได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินมรดกอีสาน ประจำปี 2551 จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็เลยเห็นร่วมกันว่า น่าจะทำอะไรตอบแทนความเหนื่อยยากสำหรับคนที่สร้างประโยชน์ แม้จะไม่มาก แต่ก็เป็นสิ่งตอบแทนที่ควรจะมอบแก่กันในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่

คุยกันเสร็จก็คิดแบบเรียบง่าย เป็นงานเล็กๆ ที่เสียสละ และมีเกียรติ แต่เอาเข้าจริงหลายภาคส่วนกลับยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเกินคาดหมาย....กับการจัดงาน "รวมคน รวมใจ มอบให้ ปองปรีดา" วันที่ 1 เม.ย. ที่หน้าบริเวณหอศิลป์ ม.ขอนแก่น งานนี้ รศ.วิชัย ณีรัตนพันธุ์ รองอธิการบดี ผ่ายศิลป์วัฒนธรรม และศิษย์เก่าสัมพันธ์ ม.ขอนแก่น เป็นแม่งาน

ปอง ปรีดา ที่แม้จะป่วย ก็รับปากและเตรียมการทุกอย่างพร้อมเพื่อเข้าร่วมงาน ท่ามกลางเพื่อนพ้องน้องพี่ ประมาณไว้ที่ ไม่ต่ำกว่า 200 ท่าน ทั้งภาครัฐ เอกชน สื่อมวลชน และแฟนคลับตัวจริง ที่พิเศษก็คงเป็นแขกวีไอพี จากฝั่งสปป.ลาว ที่ให้เกียรติเข้าร่วมงานนี้ด้วย

ปอง ปรีดา มีคิวร้อง 5 เพลง นอกนั้น นอกนั้นศิลปปินที่จะร่วมงาน เช่นสรเพชร ภิญโญ เจ้าของเพลงดัง หนุ่มนาข้าว สาวนาเกลือ ก็มีเพลงบังคับด้วย จากกรรมการจัดงานด้วยว่า จะต้องรองเพลง ของปอง ปรีดา ในเวอร์ชั่นของสรเพชร ด้วย ไม่เว้นแม้แต่อังคนางค์ คุณไชย ลูกทุ่งหมอลำชื่อดังของชาวภาษาอีสาน ก็มีภาคบังคับว่า ต้องมีเพลง ปอง ปรีดา ในเวอร์ชั่น หมอลำด้วย ว่าง่ายๆ งานนี้ เป็นการจำลองบรรยากาศ สาวฝั่งโขง ทั้งงาน...

หากใครอยากสะสมแผ่นเสียง (แผ่นขี้ครั่ง) ที่ปกเป็นภาพ 3 คน คือ ปอง ปรีดา ,รุ่งฤดี แพ่งผ่องใส และอีกคน จำไม่ได้ สามารถมาประมูลในงานได้

...งานนี้ไม่มีการขายโต๊ะ แต่รับบริจาค รายได้ทั้งหมด ( ไม่หักค่าใช้จ่าย ) มอบให้ปอง ปรีดา เพื่อต่อสู้กับโรคร้าย.....

รายละเอียด คิกดูได้ ในเวปไซต์ ขอนแก่นลิงค์ เวปไซต์ยอดฮิตอันดับ1 ของไทย ที่มีผูเข้าชมมากที่สุดของประเทศ (ที่จดทะเบียนต่างจังหวัด) 

//forum.khonkaenlink.info/index.php/topic,177021.0.html

หากอยากรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับ ปอง ปรีดา ,ท่าน คันทรี่แมน แห่งโอเคเนชั่น รวบรวมเรื่อง ปอง ปรีดา ไว้ละเอียดยิบครับ

//www.oknation.net/blog/countryman/2009/11/19/entry-1

Create Date : 03 เมษายน 2553    
Last Update : 3 เมษายน 2553 0:42:01 น.
Counter : 419 Pageviews.  

undefined




 

เปิดประชุม ... "สภาบล๊อกเกอร์"

193 Day Aniversary
Create Date : 03 เมษายน 2553    
Last Update : 3 เมษายน 2553 0:41:55 น.
Counter : 460 Pageviews.  

undefined




 

อย่าเลือกพรรคที่ยุบสภา...... ประชา ต้องพึ่งตัวเอง

  อย่าเลือกพรรคที่ยุบสภา ประชา ต้องพึ่งตัวเอง

เสรีไทยสีขาว

มองความเป็นไปของบ้านเมือง

แสงสว่างปลายอุโมงเกิดได้ด้วยปัญญา

การแก้ปัญหาของบ้านเมือง  วังวนที่วนเวียน

ปัจจัยคำตอบอยู่ที่ประชาชน

ถ้าตัวแทนของประชาชน ไม่ทำหน้าที่เปิดใจให้หลุดออกจากกรอบ

คนที่สนใจเข้าใจการเมือง

ประชาชน กินไม่ได้ นอนไม่หลับ

ประเทศก็เดินต่อไม่ได้

ประชาชนผู้เคลื่อนไหวต่อสู้ไม่เคยได้อะไร

ผู้ที่ชี้นิ้ว  เป็นผู้ที่จำกัดความคิด

วนเวียนไม่เป็นแก่นสารอยู่อย่างนั้น

ผลประโยชน์ที่คุยกัน

เรื่องรัฐธรมนูญก็ไม่เว้นที่จะชิงความได้เปรียบเสียเปรียบ

มากกว่าที่จะลงไปแก้ถึงแก่น

ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นกลายเป็นเรื่องสมยอมต่อรองทางการเมือง

เพราะไม่สามารถนำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้


ไอ้ที่ว่าวางระเบิด ยิงระเบิดตูมตามอยู่นี่

ถ้าร่วมมือร่วมใจกัน

ทหารทำหน้าที่ทหาร

ตำรวจทำหน้าที่ตำรวจ

ประชาชนเป็นรั้วเป็นหูเป็นตา

บ้านเมืองถึงจะอยู่รอด

วิวาทะบนทีวีหรือบนตัวอักษรไม่สามารถแก้ไขปัญหาประเทศได้

นักการเมืองชินกับการต่อรอง

วิธีที่จะหยุดการต่อรองได้ประชาชนต้องลุกขึ้นมารวมตัวกันทวงสิทธิ์

เหนื่อยนะที่คิดอย่างนี้ทำอย่างนี้

แต่ถ้าทำสำเร็จ impact ก็จะเกิด

ชาวกรุงเทพ จะต้องเริ่มเป็นผู้นำ

คนที่ได้รับบาดเจ็บจากระเบิด จากความรุนแรง

จะต้องมีการล่าตัว มือระเบิดจับมาลงโทษ

คนที่อยุ่เบื้องหลังจะต้องโยงให้ถึง

ถ้าโยงไม่ถึงก็ต้องให้สังคมรู้ว่าเป็นใคร

มาตรการที่สังคมช่วยกันกดดันจำเป็นที่สุด

การเปลี่ยนถ่ายอำนาจครั้งนี้

มีเนื้อในปากอยู่ชิ้นเดียว

สุนัขจิ้งจอก หมูอ้วน หมาผอม

ราชสีห์หางเน่าจ้องมองอยู่

การต่อรอง ไม่อาจแก้ปัญหาประเทศชาติได้

มีแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะแก้ปัญหานี้ได้

ใครจะเป็นผู้เริ่ม

ส่งไปรษณีย์บัตรให้ทักษิณกลับประเทศ

มาต่อสู้ตามกฎหมายไทย

ถ้าคิดว่ารักประเทศชาติจริงให้ ม็อบหยุด

ส่งไปรณีย์บัตรแสดงความเห็น  ไม่เลือกคนที่ยุบสภา

ทำประชามติแบบชาวบ้าน

ในแต่ละจังหวัด

กติการัฐธรรมนูญ  เอาตามประชาชน ส่วนใหญ่

ผู้ที่ทำผิดกฎหมาย  นำมาลงโทษ

ทิ้งความขัดแย้งก่อน

สังคมเรากินข้าวไม่อร่อยดูทีวีไม่สนุกมานานเกินไปแล้ว

ผิดจากวิถึชีวิตคนไทย

หยุดคนที่ทำร้ายประเทศ

ด้วยสองมือและหัวใจของประชาชน

อย่าเลือกพรรคที่ยุบสภา

ในเวลาที่ไม่เหมาะสม

๐๕.๒๔

สวรรค์ กาญจนะ

update  ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๓

มีคนเริ่มแล้วครับ

ประชาชนผู้รักความสงบสันติ-คัดค้านการยุบสภาในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม-ไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อฟอกคนผิด

ขอเชิญประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าที่ยึดมั่นในความสันติ ต้องการให้บ้านเมืองมีความสงบสุข
และปลอดภัย ภายใต้การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


 รวมตัวกันที่สนามหญ้าหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาล ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553
เวลา 14.00 น.


ขอให้ทุกท่านสวมเสื้อสีชมพู (หากไม่สะดวกก็สามารถสวมใส่ได้ทุกสี แต่ขอความกรุณางดเว้นสีแดง)
ขอให้ทุกท่านไปรวมตัวกันที่สนามหญ้าหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาลตั้งแต่เวลา 13.30 น.
 และเราทุกคนจะร่วมกันกล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ในเวลา 14.30 น.
 ใช้เวลาในการทำพิธีประมาณ 20 นาที โดยจะไม่มีการเคลื่อนขบวนไปภายนอกบริเวณมหาวิทยาลัย

วัตถุประสงค์สำคัญในการร่วมตัวครั้งนี้คือ 

• เพื่อแสดงให้สาธารณะชนเห็นชัดว่าพวกเราทุกคนล้วนยึดมั่นในหลักความสงบสันติ ไม่ต้องการให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งใช้กฏหมู่สร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศชาติและประชาชน
• เรียกร้องให้คนกลุ่มหนึ่งยุติการยึดครองพื้นผิวการจราจรของกรุงเทพและยุติการกระทำใดๆที่ใช้คนผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯเป็นตัวประกันทางการเมือง
• ไม่ต้องการให้มีการกระทำใดๆที่จาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
• คัดค้านข้อเรียกร้องให้ยุบสภาในสภาวการณ์ที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะการใช้กฏหมู่บีบบังคับให้ยุบสภาโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติและประชาชนส่วนร่วม
• คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกคนทำผิดกฏหมายให้กลายเป็นคนถูกกฏหมาย

หมายเหตุ กรุณาช่วยกันเผยแพร่ข่าวนี้ไปยังกลุ่มของท่านให้มากที่สุด และเพื่อเป็นการแสดงกลุ่มของท่านให้ชัดเจน
โปรดกรุณาทำป้ายโปสเตอร์ขนาดกลางเพื่อระบุกลุ่มของท่านในระหว่างการร่วมชุมนุมด้วย
 หรือหากประสงค์จะทำป้ายเป็นภาษาอังกฤษก็ได้ แต่หากกลุ่มใดไม่สะดวกที่จะทำป้ายก็สามารถไปร่วมชุมนุมเพื่อแสดงเจตนารมณ์กับเราได้   

Create Date : 03 เมษายน 2553    
Last Update : 3 เมษายน 2553 0:41:20 น.
Counter : 443 Pageviews.  

undefined




 

ประท้วงปัตตานี ความทรงจำที่เริ่มจะลางเลือน...

หนังสือทำมือ-รวมเรื่องราวเกี่ยวกับการประท้วงที่ปัตตานี 45 วัน

เมื่อปลายปี 2518-ต้นปี 2519

เหตุการณ์ตอนผู้เขียนอายุแค่ 19 ปี

เขียนเสร็จเมื่อ 2525 ขณะที่ผู้เขียนอายุ 25 ปี

คำนำด้านล่าง เป็นตอนที่ทำมือครั้งที่ 2 เมื่อ 2538

เหตุการณ์ผ่านไปนาน จนเริ่มจะลางเลือน...

แต่ผมเชื่อว่า ยังไม่มีบันทึก 'ประท้วงปัตตานี' ฉบับไหน

สมบูรณ์และละเอียดขนาดนี้...ในฐานะของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ขณะนั้น...

..............................................................

ประท้วงปัตตานี... ความทรงจำที่เริ่มจะลางเลือน

คำนำ ครั้งที่  2

‘นกเสียบไส้’ - วานิช สุนทรนนท์

             บ่อยไปที่ผมหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน จับแล้วพลิกไปพลิกมา แล้วก็เก็บคืนที่เดิม ผมรู้สึกสุขใจ  อบอุ่นอย่างประหลาด แต่ก็หมองอยู่ในส่วนลึกนั้น

             หนังสือเล่มแรกในชีวิตที่ผมเขียนไม่ใช่เรื่องสั้น ไม่ใช่นวนิยาย ไม่ใช่นิทาน แต่เป็นเพียงเรื่องจริงที่หลายคนไม่เคยรู้ หลายคนคงเคยได้ยิน  แต่ไม่อยากได้ยินอีก  หรือบางคนเคยให้ความสนใจ  แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ผ่านไป เป็นเดือน เป็นปี เป็น 10 ปี และเป็น 20  ปีในวันนี้ ความทรงจำใส่ใจอันน้อยนิดนั้นก็เริ่มจะลางเลือน

             การเขียนที่ไม่มีรูปแบบดังกล่าว ผมคงเรียกสิ่งนี้ได้เพียงว่า “คำบอกเล่า” ด้วยความด้อยในการเขียน  อ่อนในข้อมูลอีกมากมาย วันเวลาที่ผ่านเลยไป 20 ปี “ประท้วงปัตตานี... ความทรงจำที่เริ่มจะลางเลือน”  ที่ผมหยิบขึ้นมาอ่าน พลิกไป พลิกมาอยู่บ่อยๆ คงเป็นได้เพียงบันทึกนอกระบบเท่านั้น

             ต้นเดือนมกราคมจนถึงเดือนมิถุนายน 2525 ครึ่งปีสำหรับการรื้อฟื้นความหลัง  ความจำ เป็นคำบอกเล่าให้กับนักศึกษารุ่นน้องมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในรูปแบบกระดาษโรเนียวเย็บเล่ม “คำบอกเล่า” ของผมมีเพียง 2 เล่มเท่านั้น เล่มหนึ่งคือเล่มที่ส่งไปให้รุ่นน้อง อีกเล่มหนึ่งคือส่วนที่อบอุ่นอยู่กับผมทุกวันนี้

             เวลา 20 ปี นานไหม ใครแต่ละคนคงให้คำตอบได้แต่แตกต่างกันไป หลายคนที่ร่วมในเหตุการณ์นั้นไม่มีโอกาสได้มานั่งมองเวลาเหล่านี้ หลายคนตายไปกับเหตุการณ์ในปีต่อมาที่สนามหลวงและชายป่าทั่วประเทศ หลายคนยังมีชีวิตอยู่แต่ผกผันยิ่งนัก หลายคนสงบอยู่กับตัวเองและครอบครัว หลายคนคงไม่ใส่ใจกับเรื่องราวเหล่านั้นอีกแล้ว แต่เชื่อว่าอีกหลายคนคงไม่อยากจะลืมเลย

             ครบรอบ 20 ปี การประท้วงที่ปัตตานแล้ว (เหตุเกิดราวๆ กลางเดือนธันวาคม 2518 ไปสิ้นสุด 24 มกราคม 2519) ผมคิดถึงเพื่อนๆ พี่ๆ หลายคน ผมหยิบ “คำบอกเล่า” ขึ้นมาอีกครั้ง ตั้งใจจะเขียนใหม่ ตั้งใจจะค้นคว้าหาข้อมูลจากหนังสือพิมพ์เก่าๆ ในช่วงนั้นจากหอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพฯ แต่ก็จนปัญญาเพราะระยะทาง ตั้งใจจะพบปะพี่ๆ ที่ร่วมเหตุการณ์และยังมีชีวิตอยู่  ซึ่งบ้างก็เริ่มเติบโตทางอาชีพ หรือบ้างก็เติบโตทางการเมือง แต่ก็จนปัญญาเพราะโอกาสและเวลาไม่มี ผมคงทำได้เพียงปรับเปลี่ยนถ้อยคำเล็กน้อยเท่านั้น  ส่วนเนื้อหาและมุมมองต้องปล่อยให้เหมือนเดิมเกือบทั้งหมด

              ผมมีความสุขกับการเขียนถึงปัตตานี ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นอย่างไร แต่ไม่วายจะหม่นหมองบ้างกับบางเรื่องราวของเวลา จากเพิ่งย่าง 19 ปีในวันนั้น มาวันนี้ผ่านไป 20 ปีแล้ว วันเวลาและลมหายใจทำให้คนเราแก่ลง ผมขอฝากคำบอกเล่าเล็กๆ นี้ไว้กับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ผมรัก ได้โปรดนั่งลงระลึกถึงวันนั้น แม้สักนิด  คิดถึงผู้คน เหตุการณ์มากมาย คิดถึงความอบอุ่นจากใจที่คอยประสานและจากมือที่คอยประคับประคอง คิดถึงแม้ความตาย คิดถึงลมหายใจที่เหลือติดมากับเรา ซึ่งไม่ค่อยแน่ใจว่าจะสะดุดหยุดลงเมื่อใด และคิดถึงใครอีกคนที่จากกันนานแสนนาน

นกเสียบไส้

ธันวาคม 38

 ................................................

มาถึงวันนี้ เหตุการณ์ผ่านไปนาน...ถึง 35 ปี

ผมเขียน 'คำบอกเล่า' นี้มาแล้วราวๆ 28 ปี

วัน เวลา ผ่านไป ผ่านมา ไม่น้อยเลย

แต่เหตุการณ์โดยรวมของคนที่นั่นกลับเลวร้ายลง

คงมีใคร ทำอะไรผิดสักอย่าง หรือกว่านั้น...

 

 

 

Create Date : 03 เมษายน 2553    
Last Update : 3 เมษายน 2553 0:41:09 น.
Counter : 448 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  

boyberm
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




boyberm
Friends' blogs
[Add boyberm's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.