แม้ว่า เดดพูวัง มูนละลาด ประธานคณะกรรมการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งชาติลาว จะได้ให้การยอม รับว่าการเปิดทำการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของลาว อาจจะต้องมีการชักช้าจากกำหนด การเดิมที่วางไว้ในวันที่ 10 ตุลาคม 2010 นี้ เนื่องจากการดำเนินงานก่อสร้างอาคารที่ทำการตลาดหลัก ทรัพย์ ที่ได้เริ่มลงมือดำเนินการนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2009 เป็นต้นมาแล้วนั้นได้เกิดการชักช้าไปกว่าแผนการที่วางเอาไว้ในหลายด้านก็ตาม
กล่าวก็คือเฉพาะการก่อสร้างตัวอาคารที่ทำการนั้น อาจจะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จตามที่กำหนดไว้ในวันที่ 10 ตุลาคมได้จริง แต่ก็จะเป็นเพียงตัวอาคารที่ยังคงไม่มีการตกแต่งภายใน รวมทั้งไม่มีการวางระบบคอมพิวเตอร์ ระบบการสื่อสาร และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆภายในสำนักงานแต่อย่างใด
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับในส่วนของสำนักงานตลาดหลักทรัพย์แห่งชาติลาวเอง ก็ยังคงขาดความพร้อมด้านบุคลากรที่จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในขณะเดียวกันในส่วนของบริษัทเอกชนและวิสาหกิจขนาดใหญ่ในลาวนั้นก็ยังคงไม่มีความชัดเจนว่าจะมีความพร้อมในด้านการบริหารและการจัดการที่ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับให้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้หรือไม่อีกด้วย
เพราะฉะนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ทางการลาวจะต้องเลื่อนกำหนดการเปิดให้ซื้อขายหุ้นในตลาดหลัก ทรัพย์จากกำหนดการเดิมในวันที่ 10 ตุลาคมดังกล่าว แต่ทางการลาวก็กำลังเร่งมืออย่างสุดกำลังเพื่อที่จะทำให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของลาวในนครเวียงจันทน์สามารถที่จะเปิดทำการซื้อขายหุ้นให้ได้ภาย ในปลายปี 2010 นี้
ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของลาวดังกล่าวนี้ได้รับการช่วยเหลือจากสำนักงานตลาดหลักทรัพย์แห่งเกาหลีใต้ ซึ่งมีประสบการณ์ในด้านนี้มาอย่างยาวนาน และการช่วยเหลือที่ได้ให้แก่ทางการลาวนั้นก็ยังเป็นการดำเนินงานภายใต้ข้อตกลงร่วมทุนระหว่างธนาคารแห่งชาติลาวกับสำนักงานตลาดหลักทรัพย์แห่งเกาหลีใต้ ด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 51% กับ 49% ของมูลค่าการลงทุนรวม 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย ฉะนั้น จึงทำให้ทางการลาวเชื่อมั่นว่าการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์แห่งชาติลาวนั้นจะดำเนินไปได้เป็นอย่างดี
โดยจนถึงเวลานี้ก็ปรากฏว่ามีบริษัทเอกชนในลาวมากกว่า 30 รายแล้วที่ได้เสนอตัวเพื่อขอจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของลาว และแม้ว่าผลจากการพิจารณามาตรฐานการบริหารและการจัดการของแต่ละบริษัทในขั้นเบื้องต้นแล้วนั้นจะพบว่ามีเพียง 5 บริษัทเท่านั้นที่มีเงื่อนไขอย่างเพียงพอที่จะยอมรับให้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของลาวได้ เนื่องจากว่าบริษัทส่วนใหญ่ในลาวนั้นเป็นบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีการบริหารและการจัดการเป็นแบบครอบครัว และมีการจัดทำระบบบัญชีรายรับ-รายจ่ายที่ไม่ได้มาตรฐานหรือขาดความโปร่งใสจนไม่สามารถที่จะตรวจสอบที่มาที่ไปของรายรับ-รายจ่ายได้เลย
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับในระยะยาวแล้วทางการลาวก็เชื่อมั่นว่าตลาดหลักทรัพย์ในลาวจะขยายตัวและเติบใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน โดยทางการลาวได้ฝากความหวังไว้กับภาคอุตสาหกรรมการขุดค้นแร่ธาตุและพลังงานไฟฟ้ามากเป็นพิเศษ
กล่าวสำหรับในภาคอุตสาหกรรมการขุดค้นแร่ธาตุนั้น ทางการลาวได้คาดหมายไว้ว่าการส่งออกแร่ธาตุจากลาวไปต่างประเทศในตลอดปี 2010 นี้ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 8% เมื่อเทียบกับปี 2009เนื่อง จากได้รับผลดีจากการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำและทองแดงในตลาดโลก และการที่บรรดาบริษัทผู้ลงทุนในการขุดค้นแร่ธาตุในลาวต่างก็ได้พากันวางเป้าหมายที่จะเพิ่มการส่งออกให้มากขึ้นกว่าปีที่แล้ว
พร้อมกันนี้ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนลาวให้ได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้นด้วยนั้น รัฐบาลลาวก็ยังได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการส่งเสริมการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมการขุดค้นแร่ธาตุมากขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย
โดยการลงทุนของต่างชาติที่ถือว่าเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สุดและได้ส่งออกทองคำและทองแดงไปต่างประเทศนับตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมาแล้วนั้น ก็คือเหมืองแร่ที่เมืองวีละบุลี แขวงสะหวันนะเขต ซึ่งปรากฏว่ากลุ่มลงทุนจากจีนได้ชำระค่าสัมปทานและภาษีอากรต่างๆ ให้กับรัฐบาลลาวไปแล้วคิดเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 480 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงกว่า 7 ปีมานี้
ส่วนอีกโครงการหนึ่งที่ได้เริ่มส่งออกทองคำและทองแดงนับตั้งแต่ปีที่แล้ว ก็คือเหมืองแร่ที่ภูเบี้ยและที่ภูคำในแขวงเวียงจันทน์และเซียงขวางที่เป็นการลงทุนของกลุ่ม Pan Australia นั้นก็ทำให้รัฐบาลลาวมีรายรับจากค่าสัมปทานและภาษีอากรต่างๆเพิ่มขึ้นอีกกว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ยิ่งไปกว่านั้น การที่มีบริษัทต่างชาติอีกจำนวนไม่น้อยที่กำลังดำเนินการสำรวจและขุดค้นหาแหล่งแร่ธาตุในลาวอย่างกว้างขวางในเวลานี้ เฉพาะอย่างยิ่ง โครงการขุดค้นแร่บ็อกไซด์และการก่อสร้างโรงงานผลิต อลูมิเนียมในแขวงจำปาสักและเซกอง ซึ่งกลุ่มลงทุนจากจีนจะเริ่มทำการขุดค้นและผลิตแร่ดังกล่าวในปี 2012 และปี 2015 ตามลำดับนั้น ก็ยังจะทำให้รัฐบาลลาวมีรายรับเพิ่มขึ้นอย่างมากอีกด้วย เนื่องจากว่าทั้งสองโครงการนี้จะต้องใช้เงินลงทุนรวมกันมากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐนั่นเอง
นอกจากนี้ ก็มีโครงการขุดค้นแร่เหล็กในแขวงเซียงขวาง โครงการขุดค้นและหลอมแร่เหล็กที่เมืองวังเวียง โครงการขุดค้นแร่ดีบุกที่แขวงคำม่วน โครงการขุดค้นแร่สังกะสีที่เมืองวังเวียง โครงการขุดค้นโปแตสเซียมที่แขวงเวียงจันทน์ โครงการขุดค้นแร่ทองคำและทองแดงที่แขวงหลวงพระบางและแขวงอุดมไซ ซึ่งจะเริ่มการผลิตเพื่อส่งออกไปต่างประเทศภายใน 1-4 ปีหน้าข้างนี้ก็คือบางส่วนในสัมปทานขุดค้นแร่ธาตุในลาวที่รัฐบาลลาวได้อนุมัติให้กับบริษัทเอกชนลาวและต่างชาติไปแล้วเกือบ 200 โครงการในปัจจุบันนี้
ทางด้าน สมบูน มะโนลม ผู้อำนวยการรัฐวิสาหกิจถือหุ้นลาวนั้น ก็แถลงยืนยันว่าในปัจจุบันนี้รัฐวิสาหกิจถือหุ้นลาวได้เข้าถือหุ้นร่วมลงทุนใน 10 โครงการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าในลาวที่มีเป้าหมายสำคัญเพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อส่งออกไปต่างประเทศเป็นด้านหลัก โดยทั้ง 10 โครงการดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรัฐวิสาหกิจถือหุ้นลาวมีส่วนร่วมทุนในสัดส่วนระหว่าง 20%-25%
ทั้งนี้โดยรัฐวิสาหกิจถือหุ้นลาวได้ถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2005 เพื่อให้มีบทบาทสำคัญในการร่วมลงทุนกับภาคเอกชนลาวและต่างประเทศในโครงการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าเป็นการเฉพาะ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านเงินทุนของรัฐบาลลาวเอง จึงทำให้ต้องพึ่งพาการกู้ยืมจากต่างประเทศเพื่อนำมาใช้ร่วมลงทุนในแต่ละโครงการเป็นด้านหลัก แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากว่าโครงการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้นลาวมีส่วนร่วมลงทุนด้วยนั้นต่างก็ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้ข้อตกลงที่รัฐบาลไทยนั้นจะรับซื้อกระแสไฟฟ้าจากลาวไม่น้อยกว่า 7,000 เมกกะวัตต์ภายในปี 2015 จึงทำให้รัฐบาลลาวเชื่อมั่นว่าการเจรจาเพื่อขอกู้ยืมเงินทุนจากสถาบันการเงินต่างประเทศนั้นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
ยิ่งเมื่อประกอบกับการที่จะมีตลาดหลักทรัพย์ที่จะเริ่มเปิดให้มีการซื้อขายหุ้นได้นับจากปลายปีนี้เป็นต้นไปด้วยแล้ว ก็ยังนับเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะทำให้บรรดาบริษัทที่ลงทุนในภาคอุตสาหกรรมขุดค้นแร่ธาตุและพลังงานไฟฟ้าในลาวนั้นสามารถที่จะระดมการลงทุนจากต่างประเทศได้อีกทางหนึ่งด้วย
โดยทั้งนี้และทั้งนั้นก็ด้วยหวังว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของลาวที่นครเวียงจันทน์นี้จะมีส่วนอย่างสำคัญในอันที่จะทำให้เป้าหมายแห่งสหัสวรรษของรัฐบาลลาวนั้นเป็นจริงได้ นั่นก็คือการนำพาประเทศชาติเพื่อให้หลุดพ้นจากสภาพด้อยพัฒนาให้ได้ภายในปี 2020 อันจะช่วยตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชนลาวที่มีต่อการนำพาของพรรคประชาชนปฏิวัติลาวแต่เพียงพรรคเดียวต่อไปอีกนานนั่นเอง!!! ทรงฤทธิ์ โพนเงิน |