ความสวยงามของจว.เชียงใหม่มีมายาวนานหลายร้อยปีแต่จากวิกฤติมลพิษอนุภาคฝุ่นในอาการภาคเหนือตอนบนที่เกิดขึ้นในช่วงธค.49-มีค.50 จนถึง กพ.52 ทำให้มลพิษทางอากาศโดยเฉพาะภาวะหมอกควันที่มีอนุภาคฝุ่นขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (พีเอ็ม10) เกินระดับมาตรฐาน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ประกอบกับผลศึกษา"การพัฒนากระบวนการรับรู้ผลกระทบทางสุขภาพจากมลพิษอนุภาคฝุ่นในอากาศ โดยการมีร่วมของชุมชนกรณีศึกษาในภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ในชุดโครงการวิจัยด้านมลพิษทางอากาศของประเทศภายใต้ปรากฏการณ์โลกร้อน ของสำนักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติหรือ"วช." โดยศึกษาพื้นที่เชียงใหม่-ลำพูนในกลุ่มเด็กประถมในและนอกเมืองเชียงใหม่และลำพูน และการสำรวจความชุกการเผาในที่โล่ง การเกิดไฟป่าและแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศอื่น ๆ ในชุมชนพื้นที่เป้าหมาย การตรวจปัสสาวะ การประเมินการทำงานของปอด ผลที่ได้พบว่า1.ยังขาดความรู้ ความเข้าใจอันตรายต่อสุขภาพจากการสัมผัสอนุภาคฝุ่นขนาดเล็กในอากาศว่าเกิดอย่างไร ทำไมจึงกระทบต่อสุขภาพ 2.ชุมชนในพื้นที่นอกเมือง มีการเผาในที่โล่งเช่นเผาเศษไม้ ใบไม้และขยะบริเวณบ้านเรือนมากกว่าชุมชนในเมืองและถือเป็นแหล่งกำเนิดฝุ่นเช่นกัน
โดยในช่วงมีนาคมถึงเมษายนมีระดับฝุ่นเกินมาตรฐานซึ่งมีจุดความร้อนในพื้นที่ป่าสงวนมากที่สุดถึง1,412จุด รองลงมาคือในพื้นที่ป่าอนุรักษ์มีจุดความร้อน 760 จุด ส่วนพื้นที่เกษตรมีที่สุดคือ 186 จุด ทำให้ท้องฟ้าในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนปกคลุมด้วยหมอกควันและมีระดับฝุ่นพีเอ็ม 10 เกินมาตรฐานในช่วงวันที่ 18-19 มีนาคม2553 โดยวันที่ 18 มีนาคม 2553 ที่จว.แม่ฮ่องสอน มีระดับพีเอ็ม10 สูงถึง 518.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สภาพโดยทั่วไปขณะฝุ่นหมอกปกคลุม
สาเหตุหนึ่งของฝุ่นจากการเผาไหม้ เครื่องอ่านค่าฝุ่น และผลปรากฏในคอมพิวเตอร์ ร่วมมือกันคะรักษาสิ่งแวดล้อม รักษาชีวิตอยากให้ดอกไม้เมืองเหนือยังคงสวยงามเช่นนี้ตลอดไป
ผู้วิจัย ผู้สนับสนุนจากสภาวิจัยแห่งชาติ | undefined