จากประวัติศาสตร์ชาติไทยการเสียเอกราชของคนไทย ครั่งแรก เมื่อ พ.ศ.2112 ในสมัยสมเด็จพระมหินทราธิราช สาเหตุมาจากการเกิดความแตกแยกสามัคคีกันระหว่างสมเด็จพระมหินทราธิราชกับพระมหาธรรมราชาเนื่องจากการยุยงของข้าศึก ทำให้กรุงศรีอยุธยาตกเป็นของพม่า นับว่าเป็นการสูญเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 การสูญเสียเอกราชของคนไทยครั้งที่ 2 ในสมัย พ.ศ.2295 กรุงศรีอยุธยา พระเจ้าเอกทัศเป็นกษัตริย์ ถูกทัพพม่าล้อมกรุงอยู่นาน 1 ปี 2 เดือน ก็สามารถตีกรุงศรีอยุธยาแตก สาเหตุเนื่องจากความไม่สามัคคีและความอ่อนแอของผู้ปกครอง นับว่าเป็นการสูญเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ก่อนพระเจ้าจะยึดกลับคืนมาได้ในปลาย พ.ศ.2310 นับว่าเป็นการสูญเสียเอกราชของคนไทยให้แก่พม่า สองครั้งสองคราวด้วยกัน จากระยะเวลาห่างกัน 183 ปี หรือว่าห่างกันแค่สองช่วงอายุคนเราเท่านั้น สาเหตุหลักของการสูญเสียเอกราชนั้นก็คือ ความสามัคคี ของคนไทย จึงทำให้ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศอื่นไป ประวัติศาสตร์บันทึกใว้ให้แก่ชนรุ่นหลังชัดเจนมาก เพื่อเตือนสติเตือนความจำ ว่าเมื่อใดถ้าหากคนไทยขาดความสามัคคี เมื่อนั้นประเทศสูญเสียเอกราชทันที จาก พ.ศ. 2295 จวบจนถึงปัจจุบัน พ.ศ.2553 นับเป็นเวลา 258 ปี ก็ประมาณ 3 ช่วงอายุคน ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาวิกฤต ความสามัคคีของคนไทยด้วยกันโ ดยกลับแบ่งเป็นฝ่ายแบ่งเป็นสี ให้กำลังอาวุธเข้าห้ำหั่นกัน เสียชีวิตและเลือดเนื้อกันอย่างไม่เคยมีมาก่อน จากสาเหตุหลักจากคนๆเดียวที่สูญเสียอำนาจ สูญเสียทรัพย์สิน สมคบคิดกับต่างชาติเข้ามาทำลายประเทศไทย โดยที่ต้องการให้ คนไทยฆ่าคนไทย เพื่อเอาความสูญเสียเป็นข้อต่อรองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องดังที่เราจะเห็นจากการแถลงการณ์เรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติ ( UN )เข้ามาเป็นตัวกลางไกล่เลี่ยในการเจรจาระหว่างรัฐบาลและนปช ซึ่งอันที่จริงแล้ว นปช ตอนนี้ก็เปรียบเสมือนกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ใช้อาวุธในการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยที่ใช้ผู้หญิง เด็ก คนชรา เป็นเกราะกำบังให้แก่ตัวเอง โดยที่มิได้เป็นการต่อสู้อย่างสันติ อหิงสา ตามที่กล่าวอ้างใว้แต่ตอนแรก จน นานาประเทศใช้คำว่า กลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาลที่ติดอาวุธ หรือว่ากองกำลังที่ติดอาวุธที่มีผลต่อความมั่นคงของประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่า UN ได้ปฏิเสธมาแล้วว่าเป็นเรื่องภายในของประเทศไทยให้ประเทศไทยจัดการเอง แต่นั้นแค่เป็นการปฏิเสธในด้านการทูตแต่ว่าพฤติกรรมจริงๆ ประเทศมหาอำนาจก็จ้องมองประเทศไทยอย่างตาเป็นมันเพื่อต้องการเข้ามาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในระยะสั้น ประเทศไทยนับได้ว่าเป็นศูนย์กลางของอาเซียนเป็นมหานครแห่งอาเซียน มีทรัพยากรอยู่อย่างมหาศาลเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์และแทบจะเรียกว่าเป็นครัวของโลกก็ว่าได้ เพราะฉนั้นหากใครได้เข้ามามีผลประโยชน์เข้ามาตักตวงผลประโยชน์ก็ถือว่าคุ้มค่าอย่างมหาศาล อย่าลืมว่า!! เขาได้วางนักการทูตใว้เยอะแยะสมัยเขาเป็นนายก และสามารถที่จะใช้บริษัทล๊อบปี้ยิบประสานผลประโยชน์แก่ประเทศมหาอำนาจได้ ถ้าหากเขาได้กลับมามีอำนาจอีกครั้งซึ่งเขาก็พร้อมที่จะขายประเทศไทยเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวได้ตลอดเวลา ประเทศไทยก็คือสินค้าตัวหนึ่งสำหรับคนๆนี้ นี้คือ ปัจจัยหลักที่ที่เขาต้องการให้ UN เข้ามาเป็นตัวกลางนั้นหมายถึงต้องการให้นานาชาติยอมรับและจัดการเลือกตั้งใหม่และเขากับพวกพ้องก็จะได้เข้ามาบริหารประเทศอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็จะมาแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฏหมายกลุ่มองค์กรต่างๆที่ไม่เอื้ออำนวจผลประโยชน์ให้กับตนเองพร้อมจัดการนิรโทษกรรมตัวเองเบ็ดเสร็จ แล้วคนไทยได้อะไรบ้างกับการที่ UN เข้ามาอันแรกความสงบสันติจะกลับคืนมาแต่ว่าสันติที่เปลี่ยนแปลงประทศไทยไปสู่การปกครองใหม่หรือว่ารัฐใหม่ตามที่ นปช เขาเรียกกันโครงสร้างต่างๆอาจจะเปลี่ยนแปลงไป ระบบผลประโยชน์และการผูกขาดอำนาจจะเข้ามาแทนที่ ผลสุดท้ายคนไทยก็กลายเป็นทาส ของต่างชาติโดยสิ้นเชิง เพราะธุรกิจต่างๆที เป็นของคนไทยจะถูกต้องชาติเข้ามาเทคโอเวอร์จวบจนหมดสิ้น อาจจะทั้งที่ดินที่อยู่อาศัย ระบบสาธารณูปโภคและอุปโภค ระบบการขนส่งมวชนต่างๆ ผลสุดท้ายคนไทยก็กลายเป็นลูกจ้างของต่างชาติโดยสิ้นเชิง แล้วมันจะต่างอะไรกับการสูญเสียเอกราชของคนไทยทั้งสองครั้งที่ผ่านมา ประวัติศาสตร์จะจาลึกอีกครั้งว่า ประเทศไทย คนไทยจะสูญเสียเอกราช ครั้งที่ 3 เมื่อ พ.ศ.2553 สมัยนายอภิสิทธิ์ เป็นนายก สาเหตุเพราะว่าความแตกแยกของคนไทย และการสมรู้ร่วมคิดของคนไทยและต่างชาติ เข้ามาครอบงำและยึดอำนาจ และสร้างรัฐไทยใหม่ ได้สำเร็จ.!! ขอบคุณภาพจากโพสทูเดย์ออนไลน์ |