นกกินปลีแก้มสีทับทิม / Ruby-cheeked Sunbird (Chalcoparia singalensis) ตัวผู้ (Male) หลายบ้านที่ปลูกไม้ดอกไว้ประดับสวนต่างก็คงได้ยลโฉมนกกินปลีสีสันสวยงามที่มากินน้ำหวานริมหน้าต่างในระยะประชิด นกตัวเล็กที่ว่องไวปานลมกรดเหล่านี้เป็นกลุ่มที่ตัวผู้และตัวเมียมักมีลักษณะต่างกันอย่างชัดเจน (Sexual dimorphism) สีขนของนกตัวผู้จะสวยงามที่สุดเมื่อต้องแสงแดด เรามองเห็นขนเหล่านี้เป็นสีสันต่างกันไปตามความสว่างและมุมที่่แสงอาทิตย์ตกกระทบ ทำให้พวกมันถูกเรียกว่า Sunbird นกกินปลีบางชนิดปรับตัวให้อยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆได้ดี ขอเพียงมีอาหารมันก็จะแวะเวียนมากินบ่อยๆจนกว่าจะหมดแม้ป่าที่เคยอาศัยจะถูกแผ้วถางจนกลายเป็นชุมชน นกกินปลีแก้มสีทับทิม (Ruby-cheeked Sunbird) เป็นนกกินปลีป่าที่พบได้ง่ายที่สุดชนิดหนึ่ง เรายังสามารถพบนกกินปลีชนิดนี้ได้ตามสวนใกล้ชายป่าหรือบริเวณที่ในอดีตเคยเป็นป่ามาก่อนได้อีกด้วย นกกินปลีแก้มสีทับทิมเป็นนกกินปลีขนาดเล็ก มีปากที่สั้นและตรงจนดูคล้ายนกกาฝาก (Flowerpecker) ที่เป็นญาติปากสั้นของนกกินปลีแต่ชอบกินลูกไม้มากกว่าน้ำหวาน นกกินปลีชนิดนี้จึงแตกต่างจากนกกินปลีปากโค้งเรียวยาวที่เราคุ้นเคย ลักษณะเด่นของมันคือคอและอกที่เป็นสีส้มต่อกับท้องสีเหลือง ม่านตาสีแดง นกตัวผู้มีลำตัวด้านบนสีเขียวเข้มสะท้อนแสง แก้มเป็นสีแดงเข้มเหมือนกับทับทิม ใต้แก้มมีขนสีม่วงเหลือบ ตัวเมียมีลำตัวด้านบนเป็นสีเขียวไพลหรือน้ำตาลอมเทา นกวัยเด็กมีสีสันคล้ายตัวเมียแต่มีคอและอกเป็นสีเหลือง อาจทำให้สับสนกับตัวเมียของนกกินปลีชนิดอื่นอีกหลายชนิด เช่น นกกินปลีคอสีน้ำตาล (Brown-throated Sunbird) และนกกินปลีอกเหลือง (Olive-backed Sunbird) ซึ่งเป็นนกกินปลีสองชนิดที่เราคุ้นเคยมากที่สุด พบได้ทั่วไปตามสวนและชายป่า ตัวผู้ (Male) ตัวเมีย (Female) ขนที่สะท้อนแสงของนกกินปลีตัวผู้จะค่อยๆหลุดร่วงไปเมื่อนกกินปลีตัวผู้ต้องช่วยตัวเมียหาแมลงมาเลี้ยงลูกหลังจากจับคู่ผสมพันธุ์ นกกินปลีตัวผู้ในชุดขนที่เรียกว่า Eclipse plumage นี้จะมีสีตุ่นๆคล้ายตัวเมีย เพียงแต่ยังคงมีขนที่สะท้อนแสงหลงเหลืออยู่บ้าง นกกินปลีแก้มสีทับทิมสานรังเป็นรูปทรงกระเปาะแขวนอยู่กับกิ่งไม้โดยใช้เศษหญ้าและวัสดุอื่นๆที่มันหาได้ นกตัวเมียจะวางไข่ทั้งหมด2ฟอง รังที่โดดเด่นสะดุดตาของนกกินปลีแก้มสีทับทิมและนกกินปลีอื่นๆตกเป็นเป้าหมายที่นกคัคคูมรกต (Asian Emerald Cuckoo) และนกคัคคูสีม่วง (Violet Cuckoo) มักแอบมาไข่ไว้ เพราะนกคัคคูไม่สามารถฟักไข่เองได้ ปากที่แหลมสั้นของนกกินปลีแก้มสีทับทิมเหมาะสำหรับการจับแมลงกินเป็นอาหาร นกกินปลีชนิดนี้ต่างจากนกกินปลีชนิดอื่นตรงที่มันไม่ได้กินน้ำหวานดอกไม้เป็นอาหารหลัก เรามักพบมันหากินเป็นคู่หรือรวมฝูงกับนกป่าชนิดอื่นๆใน Bird wave อยู่บ่อยๆ โดยมันจะกระโดดลัดเลาะไปตามเปลือกไม้และใบไม้เพื่อสำรวจหาแมลง นอกจากนี้มันยังสามารถตีปีกบินอยู่กับที่และห้อยโหนตีลังกาเพื่อจับแมลงกินได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว เป็นลีลาการหาอาหารที่น่ารักน่าชังมากครับ นกกินปลีแก้มสีทับทิมเป็นนกประจำถิ่นที่พบได้บ่อยตามชายป่าและป่าเกือบทุกประเภทในระดับความสูงไม่เกิน 1,370 เมตรจากน้ำทะเลแทบทุกภาค มักพบใกล้น้ำตก แพร่กระจายอยู่ในทวีปเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตัวผู้ กำลังผลัดขนออกจากชุดขนฤดูผสมพันธุ์ (Male in eclipse plumage) Create Date : 16 พฤษภาคม 2553     Last Update : 16 พฤษภาคม 2553 23:35:46 น. Counter : 1043 Pageviews.   0 comment Share Tweet

พระพุทธบาทสี่รอย...วัดสามชุก ติดตามข่าวสารสถานการณ์บ้านเมืองยามนี้แล้ว ผมรู้สึกเหนื่อยหน่ายจริง ๆ ครับ ร้อนทั้งกาย ร้อนทั้งใจ จนแทบจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ วิธีการแก้ปัญหา จึงคิดว่าหากได้เข้าวัดฟังธรรมน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด... ประจวบเหมาะกับที่วิทยาลัยฯ มีโครงการอบรมคุณธรรม จริยธรรม ในหัวข้อ “คุณธรรม จริยธรรม สำหรับครูเพื่อพัฒนาผู้เรียน” จัดขึ้นก่อนเปิดเทอมใหม่ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ณ วัดสามชุก ซึ่งเป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดสุพรรณบุรี แห่งที่ ๔ สะพานแขวนข้ามแม่น้ำสุพรรณ หน้าวัดสามชุก มีเรือไว้บริการนักท่องเที่ยวไปตลาดสามชุกด้วยครับ วัดสามชุก ตั้งอยู่เลขที่ ๓ หมู่ ๑ ตำบลสามชุก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี มีพื้นที่ ๒๐ ไร่ ๑ งาน ๕๘ ตารางวา อยู่เหนือศูนย์ราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ๓๔ กิโลเมตร ห่างจากถนนสุพรรณบุรี - ชัยนาท ๖๐๐ เมตร เจ้าอาวาสปัจจุบัน คือ พระครูสุวรรณวิจิตร สมจิตโต เป็นเจ้าคณะตำบลสามชุก และพระอุปัชฌาย์ วัดสามชุกเป็นวัดเก่าแก่ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างมาแต่สมัยใด พระครูสุวรรณวิจิตร เจ้าอาวาสวัดสามชุก ทะเบียนวัดของสำนักงานศึกษาการอำเภอสามชุก ประมาณว่าสร้างราว พ.ศ. ๒๓๐๐ เดิมชาวบ้านเรียกว่า วัดอัมพวัน มาเปลี่ยนเป็น วัดสามชุก ภายหลัง เมื่อได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ สารัตถะที่พระอาจารย์วิทยากรนำเสนอ ขอบอกเลยครับว่า จับจิต โดนใจ วัยรุ่นจริง ๆ ครับ โดยเฉพาะเมื่อเริ่มบรรยายท่านก็ให้ความกระจ่างว่า “วิทยากรที่อยู่เบื้องหน้านี้เป็นพระแล้ว ไม่ใช่เณรหรอกน่ะคุณโยม” พระมหาธนเดช ธัมมปัญโญ พระวิทยากร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วิธีการนำเสนอของท่านใช้สื่อมัลติมีเดีย ทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียงเพลง ผสานกับการให้ผู้เข้ารับการอบรมได้ทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ท่านบอกว่า “การเป็นพระวิทยากร จะต้องสอนให้เด็กไทยคิดเป็น อยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม เพราะทุกวันนี้เด็กไทยใช้กระบวนการคิดน้อยลง ในขณะเดียวกัน จะต้องมีการสร้างกิจกรรมให้เด็กได้สัมผัสหลักธรรมอย่างเป็นรูปธรรม ฝึกเด็กได้คิดและสัมผัสหลักธรรมได้จริง ไม่ควรเน้นการสอนหลักธรรมด้วยเรื่องขำขันเพียงอย่างเดียว” ช่วงพักเที่ยง ผมจึงเดินสำรวจวัดว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เคยมาครั้งหนึ่งก็นานมากแล้ว จำได้ว่าด้านข้างพระอุโบสถทางทิศเหนือ มีมณฑปเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทโลหะ ผมมาคราวนั้นเห็นเขากำลังบูรณะกันอยู่เลย จากประวัติบอกว่ามีทายกชื่อ ก๋งกวย ซึ่งมีศรัทธาช่วยเหลือวัดอย่างแข็งแรง ได้นำสร้างมณฑป เพื่อเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท และทุกปีจะมีงานปิดทองรอยพระพุทธบาท มีการตามประทีปโคมไฟกันอย่างสว่างมากมาย โดยใช้ตะเกียงเจ้าพายุและตะเกียงสมัยโบราณ เมื่อ ๒๕ ปี ก่อนที่จะบูรณะกุฎิยังมีปรากฏอยู่ แต่ปัจจุบันได้สูญหายไป ที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ได้บูรณะขึ้นมาใหม่ รอยพระพุทธบาทมีขนาดกว้าง ๘๕ เซนติเมตร ยาว ๒๐๐ เซนติเมตร เป็นรอยพระพุทธบาทซ้อนกัน ๔ รอย (อันหมายถึงการประทับรอยพระบาทซ้ำกันของพระพุทธเจ้า ๔ องค์ ในภัทรกัลป์นี้ โดยในแต่ละรอยทำเป็นลายตารางรูปมงคล ๑๐๘ ประการ อยู่ภายใน กรมศิลปากรได้จดทะเบียนเป็นวัตถุโบราณ เพื่อนผมซึ่งเป็นเซียนพระบอกว่า พระพุทธบาท ๔ รอย ที่เห็นนี้เป็นของปลอม ของแท้อยู่ทีวัดพระพุทธบาทสี่รอย ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ แต่ผมจะมองในมุมของความศรัทธาของผู้สร้างมากกว่า ผลงานที่ปรากฏออกมาจะเป็นความงามทางศิลปะในแบบพุทธศิลป์ เฉกเช่นเดียวกันกับพระเครื่อง ตัวผมเองก็เคยออกแบบให้กับวัดนำไปจัดสร้างหลายครั้ง นึกอยู่เสมอว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ คนเขาเอาไปบูชาเป็นที่พึ่งทางใจ จึงต้องกลั่นออกมาจากใจให้สุดฝีมือ เมื่อได้ชมพุทธศิลป์ที่งดงามเหล่านี้ ผมจึงไม่สนใจว่าจะปลอมหรือไม่ปลอม รอยพระพุทธบาทที่ประทับซ้อนกันของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ วัดพระพุทธบาทสี่รอย ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ (ภาพจาก //www.dhammajak.net) ภาพแสดงการประทับซ้อนรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ ในมหาภัทรกัป (ภาพจาก //www.dhammajak.net) มาวันนี้ไม่มีภาพของมณฑปอยู่แล้ว สร้างใหม่เป็นแบบของอาคารทรงไทยหลังคาลดชั้นธรรมดา ทว่าสิ่งสำคัญนั้นอยู่ภายใน เราเข้าไปดูกันครับ... สำหรับตำนานพระพุทธบาท ๔ รอย ท่านที่สนใจสามารถติดตามได้ที่นี่ครับ : //www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14761 พระพุทธบาท ๔ รอย คือ "สัญลักษณ์แห่งมหาภัทรกัป ที่สำคัญสูงสูดในจักรวาล" เพราะมีรอยพระพุทธบาทพระพุทธเจ้าถึง ๔ พระองค์ และในอนาคตกาล พระศรีอริยเมตไตรยก็จักเสด็จมาประทับรอยที่ ๕ เป็นการปิดมหาภัทรกัป Create Date : 16 พฤษภาคม 2553     Last Update : 16 พฤษภาคม 2553 23:35:08 น. Counter : 960 Pageviews.   0 comment Share Tweet

boyberm Location : [Profile ทั้งหมด] ฝากข้อความหลังไมค์ Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] boyberm

Friends' blogs Webmaster - BlogGang [Add boyberm's blog to your web]

Links Black Friday 2009 Black Friday Sale Black Friday 2010 school-toshka.com http://school-toshka.com/b/ http://school-toshka.com/c/ http://school-toshka.com/d/ http://school-toshka.com/e/ http://school-toshka.com/f/ http://school-toshka.com/g/ http://school-toshka.com/h/ http://school-toshka.com/i/ http://school-toshka.com/j/ BlogGang.com