ผมเพิ่งอ่านบทสัมภาษณ์ คุณศุภชัย พานิชภักดิ์ คนไทยที่ได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติ ว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) โดย คุณณัฐพล หวังทรัพย์ คนข่าวของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ จบลงเมื่อครู่นี้ เห็นว่า คุณศุภชัย พานิชภักดิ์ พูดถึง การกำหนดทิศทางในอนาคตของประเทศไทยเอาไว้ดีมาก จึงอยากนำเสนอให้ประชากรของ OKNATION ได้รับทราบ และเชื่อว่าขณะนี้ รัฐบาลก็คงจะได้รับทราบแล้ว ส่วนจะเห็นด้วยกับคำแนะนำของ คุณศุภชัย พานิชภักดิ์ หรือไม่ ? คงต้องจับตาดูท่าทีของรัฐบาล ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายไปในแนวทางนี้หรือไม่ แนวความคิดในการพัฒนาไทยให้เป็น “ครัวโลก” นั้น มีผู้นำเสนอเอาไว้มากมายหลายท่าน อาทิ ท่านเจ้าสัวธนินทร์ เจียรวนนท์ ประธานเครือ ซี.พี.ที่ออกมาย้ำแล้วย้ำอีกให้รัฐบาลใช้นโยบาย 2 สูง คือ เงินเดือนข้าราชการสูง และราคาพืชผลทางการเกษตรสูง เพราะจะทำให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ แต่ในห้วงเวลานี้ รัฐบาลอาจจะกำลัง “ตั้งหลัก” อยู่ก็ได้ จึงยังไม่มีแนวความคิดในเรื่องนี้ ผมก็อยากจะฝากรัฐบาลเอาไว้ด้วยครับว่า ไหน ๆ ก็มีการปรับคณะรัฐมนตรีแล้ว ก็น่าที่จะปรับนโยบายในบางเรื่องดูนะครับ โดยเฉพาะการปรับไทยจากประเทศอุตสาหกรรมเป็นประเทศเกษตรกรรมนั้น สมควรหรือไม่ ลองอ่านคำแนะนำของ คุณศุภชัย พานิชภักดิ์ ในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศไทยดูนะครับ (ส่วนอื่น ๆ หากสนใจ อ่านจาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ดูนะครับ) คุณศุภชัย กล่าวว่า "ปัจจุบันเศรษฐกิจของชาติอาเซียน มีการค้าระหว่างกันประมาณ 20-30% จากปริมาณการค้าในเอเชียทั้งหมด 40% เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าอาเซียนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งเป็นหลัก เพราะตลาดการค้าระหว่างอาเซียนด้วยกันเป็นภูมิต้านทานที่ดี ที่สำคัญ ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้น แต่เศรษฐกิจอาเซียนฟื้นตัวก่อน จึงจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จุดนี้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการเข้าซื้อสินทรัพย์ในยุโรปและสหรัฐ ที่ราคาลดลงมากหลังวิกฤติเศรษฐกิจ ทั้งตลาดหุ้นและค่าเงิน ขณะที่ค่าเงินในเอเชียเองแข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ สินทรัพย์ที่ควรเข้าไปซื้อ คือ สินทรัพย์ที่เชื่อมโยงเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีการเกษตร สิ่งแวดล้อม เพราะการลงทุนในอนาคตจะเปลี่ยนจากการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสารเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อมและอาหาร ซึ่งไทยมีพื้นฐานที่ดีด้านการเกษตรและอาหาร ทำให้ได้เปรียบในเรื่องนี้ และเชื่อว่าไทยจะแข่งขันได้ดีในอนาคต ปัจจุบันประชากรโลกมีทั้งหมด 6,000 ล้านคน คาด 40 ปีข้างหน้า จะเพิ่มเป็น 9,000 ล้านคน ทำให้โลกต้องผลิตสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มอีก 1 เท่าตัว การเพิ่มผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น จึงเป็นเรื่องสำคัญมากในอนาคต ไทยเองเป็นประเทศที่มีโอกาสเรื่องนี้สูง ดังนั้น ไทยต้องลงทุนด้านการเกษตร โดยซื้อเทคโนโลยีมาพัฒนา ซึ่งหน่วยงานสนับสนุนเรื่องนี้ คือ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หากสามารถใช้กลไกของ ธสน.ได้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยมากขึ้น ขณะนี้ เราต้องแข่งกับตัวเองมากขึ้น เพราะประเทศไทยมีสิ่งที่ดึงดูดนักลงทุนมากมายอยู่แล้ว จึงต้องดำเนินนโยบายเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง คือ พยายามสร้างโอกาสการแข่งขันให้คนไทย สร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรม ขนส่ง และพัฒนาเรื่องวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ปัจจุบันเราพัฒนาขึ้นมาระดับหนึ่ง แต่ต้องยกระดับไปสู่การผลิตที่ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น ใช้วัตถุดิบที่ผลิตได้เอง จากเดิมที่อาศัยวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิตเพื่อส่งออก แต่ปัจจุบันเรามีวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีพอที่จะผลิตได้เองพอสมควร เช่น รถยนต์ เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือการสื่อสารคมนาคม ก็สามารถผลิตได้ นี่คืออนาคตของเรา เช่นเดียวกับภาคเกษตรผมเชื่อว่า เราจะพัฒนาสิ่งที่ช่วยเสริมการผลิตภาคเกษตร และทำให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นได้ เช่น ลงทุนในลักษณะโครงการปุ๋ยแห่งชาติ เพราะในอนาคตการพัฒนาที่สำคัญจะหนีไม่พ้นด้านเกษตรอุตสาหกรรมแน่นอน” นั่นคือ วิสัยทัศน์ของคนไทยที่ได้รับเกียรติจากประชากรโลกที่เจริญแล้ว ให้ทำหน้าที่เลขาธิการในการประชุมของสหประชาชาติ ชี้ให้รัฐบาลไทยได้เห็น “ลายแทง” ว่าควรจะก้าวเดินไปในทิศทางใด จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลผสมชุดนี้ ควรยุติการฉะปากกัน แล้วหันมา “ฟังเสียงจากชาวบ้าน” ที่ให้คำแนะนำดี ๆ เพื่อที่จะหาทางนำไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม ผมอยากให้รัฐบาลแบ่งชุดทำงานเป็น 2 ชุดครับ ชุดหนึ่งสะสางปัญหาต่าง ๆ ที่หมักหมมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาคนเสื้อแดงที่หลบลงใต้ดิน ปัญหาการตัดถนนขึ้นเขาใหญ่ ฯลฯ กับอีกชุดหนึ่งที่ “สุมหัว” คิดว่าจะพัฒนาประเทศไทยไปในทิศทางใด จะเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยปัญหาร้อยแปดที่แก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง หรือจะกลับมาเป็นประเทศเกษตรกรรม อย่างที่มีผู้แนะนำคนแล้วคนเล่า หากจะหันกลับมาเป็นประเทศเกษตรกรรม รัฐบาลก็คงจะวางแผนแก้ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเสียที ผมจำได้ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะเคยพูดว่า “ได้กระจายงบประมาณเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำไปให้หน่วยงานต่าง ๆ แล้ว” แต่นั่นไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบนะครับ ท่านนายกฯ ท่านต้องรวบรวมงบประมาณทั้งหมด ที่กระจายอยู่ในหน่วยงานต่าง ๆ มา “กองรวมกัน” จากนั้นจึงจัดสรรให้เกิดผลประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย หากจำเป็นต้อง ขอร้องนักการเมืองและข้าราชการ หยุดการฉ้อราษฎร์บังหลวง งบประมาณในการพัฒนาแหล่งน้ำสักปีหนึ่ง ท่านก็ควรจะทำนะครับ สำหรับผมนั้น เห็นด้วยกับ คุณศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการอังค์ถัด เต็มสูบครับ และผมเคยแสดงความเห็นในเรื่องนี้ไปแล้วหลายครั้งและล่าสุดคือเรื่องนี้ครับ //www.oknation.net/blog/netmom/2010/05/31/entry-1 |