The Last of the Mohicans
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรักในคริสตวรรษที่ 17 ระหว่าง คอร่า ซึ่งลูกสาวของนายทหารอังกฤษ ที่ถูกส่งมาประจำการณ์ที่อาณานิคมอเมริกา กับอินเดียนแดงชาวเผ่าโมฮ็อกที่เติบโตมาอย่างใกล้ชิดกับชาวอาณานิคมเชื้อสายแองโกล อเมริกัน



เรื่องเปิดฉากมาด้วยบรรยากาศการทำสงครามแย่งชิงดินแดน "โลกใหม่" ของกองทัพอังกฤษ กับฝรั่งเศส

ประชาชนชาวอาณานิคมหลายคนถูก "บังคับจิตใจ" เกณฑ์ให้ไปรบในนามของราชวงศ์อังกฤษ ซึ่งในความเป็นจริง แล้วคนที่อาศัยอยู่อเมริกา แม้จะมีรากเหง้าภาษาถิ่นกำเนิดมาจากอังกฤษ ดูในเรื่องแล้วราชวงศ์องค์รัฐาธิปัตย์ ไม่ได้มีความหมายอะไรมาก

พวกเขาแค่จะต้องการปกป้องบ้านเรือน เรือกสวนไร่นาของพวกเขา

การที่กองทัพอังกฤษ ถือ "ความชอบธรรม" มาเกณฑ์ทหาร รบกับฝรั่งเศส เพื่อผลประโยชน์ของใครก็ไม่รู้ที่อย่ในเกาะ แห่งหนึ่งอันไกลโพ้นที่คนเหล่านี้ถูกกดดันจนต้องจากมา ก็เลยดูเป็นสิ่งที่ไม่ "ชอบธรรม" สำหรับพวกเขา

จนดูเหมือนว่า หนังต้องการจะสื่อให้เห็นถึงนัยยะเรื่อง สิทธิ และเสรี ที่จะเลือก ที่จะมีชีวิตของปัจเจก

ซึ่งตรงนี้ ก็ไปเชื่อมโยง กับการที่ ทหารภายใต้บังคับบัญชาของพ่อของ คอร่า เขาเป็นเพื่อนสนิทักับคอร่ามานาน แล้วกำลังจะขอ คอร่าแต่งงาน แต่คอร่าปฏิเสธ
เขาจึงพยายามดึงความเห็นชอบของพ่อ ของเธอ มาอ้าง

จุดสำคัญอีกประเด็นหนึ่ง ที่น่าสนใจก็คือ เกิด ตรรกะที่ขัดกับสิ่งที่เราคาดหวังว่าควรจะเป็น ในเรื่อง

ฉากแรกที่จะกล่าวถึงก็คือ นายทหารอังกฤษที่มาขอนางเอกแต่งงาน ไม่ได้ทำตัวให้เป็น "สุภาพบุรุษ" ตามค่านิยมอังกฤษที่กำลังจะย่างเข้าสู่ยุคออกัสตันเลย

แต่กลับกลายเป็น ชาวโมฮ็อก ที่เข้าถึงความเป็น "สุภาพบุรุษ" หากจะอ้างค่านิยม แบบอังกฤษ ยิ่งกว่า ซึ่งตรงนี้ ก็ชวนให้คิดถึงคำว่า "Noble Savage" คือยิ่งเข้าใกล้ธรรมชาติมากเท่าใด จิตใจยิ่งจะสูงส่งมากเท่านั้น

ตรงนี้ชวนเราคิดถึงความแน่นอนในความไม่แน่นอน
คนที่ดูเปลือกนอกเหมือนจะเป็นอย่างหนึ่ง แต่พอได้รับความกดดัน กับปฏิบัติออกไปอีกอย่าง

อีกฉากหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ภาพ ชาวอินเดียนแดง "มากัว" ที่จับคนขาวเป็นเชลยได้ ผูกเชือก ลาก คอ คนขาวสามคน ไปลงโทษ

สุดท้าย ก็ร้อนถึงอินเดียนแดงอีกเผ่าต้องมาช่วยปลดเปลื้องคนขาวทั้งสามคนนั้นออกจากพันธนาการ

ซึ่งฟังดูแล้วขัดกับเรื่องราวที่เราได้รับการบอกเล่ามา ว่า ปกติ แล้ว เป็นคนข่าว ที่จับอินเดียนแดง เป็นเชลย โดยอ้าง White Man's Burden ว่าจะไป "ปลดปล่อย" คนอื่น ให้ศิวิไลซ์ เหมือนความเป็นตะวันตก แต่ในทางปฏิบัติกลับ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ของพวกเขา

ซึ่งภาพในหนังที่กลับตาลปัตร กับที่ได้ยินได้ฟังมานี้ จึงทำให้หนังเรื่องนี้มีเสน่ห์ชวนคิดใคร่ครวญได้อยู่ไม่น้อย



Create Date : 19 เมษายน 2551
Last Update : 24 กันยายน 2551 13:29:20 น.
Counter : 2387 Pageviews.

1 comment
Once in a Summer


"คนที่เรารักและรักเรา อาจจะไม่ใช่คนที่เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วย"

ประโยคนี้ดูเหมือนจะเป็นความจริงที่เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่ แต่ก็มักเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอในชีวิตมนุษย์

------------------


เรื่องราวความรักจากภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงแรกเริ่มของสงครามเย็น ซึ่งฉากต่าง ๆ ทั้งความผันผวนทางการเมืองของประเทศเกาหลีใต้ และการเดินทางขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรกของมนุษยชาติ ต่างก็บ่งบอกบรรยากาศแห่งยุคของช่วงนั้นได้เป็นอย่างดี

ในเรื่อง นักศึกษาหนุ่มจากกรุงโซล "ซุกยอง" เดินทางไปเข้าค่ายช่วงปิดเทอมฤดูร้อนที่ต่างจังหวัด ห่างไกล ซึ่งสัญลักษณ์แห่งความทันสมัย อย่างไฟฟ้า เพิ่งล่วงล้ำเข้าไปถึง

ณ ที่นั้นเขาได้ตกหลุมรักกับหญิงสาวที่มีอดีตอันแสนเจ็บปวด "จุงอิน" ด้วยความที่พ่อและแม่ของเธอเป็นคอมมิวนิสต์ พวกเขาจึงได้จากเธอไปตั้งแต่เธอ ยังเล็ก

ซุกยอง จึง ชวน จุงอิน กลับเข้ามากรุงโซล ด้วยกัน

แต่ด้วยความที่ กรุงโซล ตอนนั้น อยู่ในสภาวะจลาจล รัฐบาลทหารในตอนนั้น ได้สั่งการให้ทหาร เข้าปราบปราม ขบวนนักศึกษา ที่เรียกร้องประชาธิปไตย จนจับพลัดจับผลู ซุกยอง และ จุงอิน ก็โดนจับเข้าซังเตไปด้วย

แต่เพราะพ่อแม่ของ จุงอิน เป็นคอมมิวนิสต์ ผลที่ตามมา ก็คือ ทางการตั้งข้อหา จุง อิน และ ซุกยอง ว่าเป็นสายลับให้กับเกาหลีเหนือ

ตอนที่ถูกสอบสวน พ่อของซุกยอง มาบอกกับลูกชายตัวเองว่าจะช่วยเขาได้ แต่ ต้องปฏิเสธ ว่า ซุกยองไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อน

ซุกยองก็ปฏิเสธว่าเขาไม่รู้จักนางเอก ซึ่งอีกนัยหนึ่งมันทำให้ซุกยองรู้สึกว่าเขา "เห็นแก่ตัว" จนและหลังจากนั้นอีกไม่กี่อึดใจ เขาต้องกลับคำให้การว่า เขารู้จักกับสาวสวยคนนั้น แล้วโผเข้าไปกอดเธอทั้งน้ำตา


กระนั้นก็ดีโชคยังเป็นของตัวละครเอก เมื่อ พ่อของพระเอก เป็นผู้มีความกว้างขวางทางการเมือง จึงสามารถช่วยทั้งคู่ ออกมาได้

แม้สุดท้าย ข้อจำกัดทาง ฐานะ และอุดมการณ์ทางการเมืองกลับทำให้ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เมื่อจุงอินเลือกที่จะ "หนี" จาก ซุกยอน และหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็เสียชีวิตลง

แต่ลึก ๆ แล้ว จุงอิน ยังคงอยู่กับ ซุกยอนอยู่เสมอ แม้ว่าเวลาจะผ่านไป นับสี่สิบปีแล้วก็ตาม

-----------------


ภาพยนตร์เกาหลีเรื่องนี้ก็คล้าย ๆ อีกหลายเรื่อง ถึงแม้ว่าดูแล้วจะเศร้า แต่เหมือนเนื้อเรื่อง จะสิ่งที่ส่อเป็นนัยได้ถึงเรื่องราว "เหนือธรรมชาติ" ซึ่งเปิดโอกาสให้คนดู เลือกจะตีความได้เองว่า สุดท้ายแล้ว ซุกยอน ได้กลับมาพบกับ จุงอินอีกครั้งจริง ๆ หรือไม่



Create Date : 19 เมษายน 2551
Last Update : 24 กันยายน 2551 13:35:19 น.
Counter : 362 Pageviews.

1 comment
Sex is Zero 2
โดยรวมแล้วเราชอบหนังเรื่องนี้
หลายครั้งที่หนังเศร้าจนน้ำตาเกือบ ๆ จะคลอ ๆๆ แต่ก็ดันหักมุมด้วยมุขขำ

จนน้ำตาที่กลั้น ๆ อยู่แทบเล็ด เพราะความที่หัวเราะท้องคัดท้องแข็ง

------------------



เนื้อหาของเรื่องSex is Zero ภาคสองก็คล้าย ๆ กับภาคที่แล้ว ที่เหมือนกับจะบอกผู้ชมอยู่เป็นนัย ๆ ว่าบางที sex ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียวสำหรับความรัก

อินซุก นักศึกษาปีแก่จอมเฟอะฟะ เป็นแฟน กับจุงฮา นักว่ายน้ำสาวแสนสวยระดับดาวมหาวิทยาลัย ถ้าให้มองโลกในแบบที่โลกมักจะเป็น การที่ผู้หญิงสวยเลือกได้ยอมเป็นแฟนกับ ชายอย่างอินซุกนับว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก

แต่เนื่องด้วย สมัยที่เธอชีวิตตกต่ำสุดขีด อินซุกเป็นคนเดียวที่คอยอยู่เคียงข้างให้กำลังใจเธอเสมอ ทำให้เขาสามารถชนะใจ จนได้เป็นแฟนกับเธอ

โดยส่วนตัวเรามองว่าจุดสำคัญของเรื่อง เป็นประเด็นเกี่ยว sex ที่ไม่จำเป็นจะต้องมีฉากโรมรันพันตูกรูกรีฑาบนเตียง ของดารานำทั้งคู่

แต่ความคลาสสิค ก็คือว่า เมื่ออินชุ๊ก พยายามจะขอ "มีอะไร" กับ จุงฮา และเป็นเพราะฝ่ายหญิงยังคงเจ็บกับปมในอดีต ทำให้ต้องปฏิเสธฝ่ายชายมาตลอด แต่อินชุ๊ก ก็ไม่ได้นำมาเป็นเหตุเด่นประเด็นใหญ่อะไร อินชุ๊ก ก็ยังคงรักจุงฮา ไม่ได้น้อยไปกว่า เดิม

แม้จะต้องไประบายออกจนเป็นเรื่องฮาฮาบ้าๆ บอ ๆ ในมหาวิทยาลัย อยู่หลายครั้งหลายครา

แต่วันดีคืนดี ชายหนุ่มเพอร์เฟ็กต์คนหนึ่งที่ชื่อว่า "กิโจ" อัยการหนุ่มผู้ทั้งรวยทั้งเป็นสุภาพบุรุษตามสมัยนิยม อดีตเพื่อนสมัยมัธยม ก็โผล่มาตามจีบ ฮาจุงอีกครั้ง

และคราวนี้แหละ
แม่นางเอก ก็เริ่มจะไม่ปลื้ม กับความไม่เอาไหน ของอินชุ๊ก
ถ้าจะให้เทียบกัน ในรายละเอียดทั้งเรื่องเงิน เรื่องงาน หรือหน้าตาตลอดจน "ความเป็นสุภาพบุรุษ" แล้ว อินชุ๊ก ไม่มีทาง เทียบ กิโจได้เลย

แต่นั่น ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะ ฮาจุง รัก อินชุ๊กเหลือเกิน

เพื่อ "อนาคต" ที่ดีของลูสาวตัว แม่นางเอกจึงวางแผน ตอบรับ ความคิดของกิโจ ที่ต้องการจะพานางเอกหนีไปอยู่ด้วยที่สหรัฐอเมริกา (ทำไมคนชอบไปมีแฟนใหม่กันที่อเมริกานะ?)

เท่านั้นยังไม่พอ คุณแม่เธอยังออกโรงจัดการคุยกับ อินชุ๊ก ว่า

"ถ้าเธอรักฮาจุง ฉันขอให้เธอ เลิกกับฮาจุง เพื่อเธอจะได้พบผู้ชายที่ดีกว่าอย่างกิโจ และเธอ ก็จะได้มีชีวิตที่ดีกว่า ถือเสียว่าฉันขอร้อง"

แม้จะเสียใจ แต่อินชุ๊ก ก็ตัดสินใจ บอกเลิกกับฮาจุง โดยนำเอาเรื่อง sex ที่ ฮาจุงปฏิเสธมาตลอด มาเป็นเหตุผลจอมปลอม

แล้วนางเอกจะยอมเลิกหรือไม่จะตัดสินใจอย่างไร
สิ่งนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจจริง ๆ

แล้วตอนจบของเรื่องก็จะเป็นตัวบ่งบอกอยู่อย่างชัดเจนเลยว่าจริง ๆ แล้วสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อนั้นเป็น Sex หรือว่า Money กันแน่ที่ "Zero"

แล้วถ้าเป็นคุณล่ะ ระหว่างไปอเมริกากับอัยการสุดหล่อร่ำรวย หรือว่าจะเลือกนักศึกษาปีแก่จอมเฟอะฟะคนนี้ คุณจะเลือกอะไร



Create Date : 11 เมษายน 2551
Last Update : 24 กันยายน 2551 13:36:57 น.
Counter : 993 Pageviews.

0 comment
บ้านผีสิง
ในความรู้สึกส่วนตัว
เดี๋ยวนี้หนังผีหลาย ๆ เรื่อง คลายความ น่ากลัวลงไปเยอะ เพราะเหตุที่ว่า ผู้สร้างหนังมักจะมา "เฉลย" ที่มาที่ไป ของความอาฆาตพยาบาทของผี ที่มาไล่ล่าคน ในหนังหลังจากที่มีการหลอกหลอนด้วยความน่าเกลียดน่ากลัวมาตลอด



เช่น อย่างเรื่องชัตเตอร์ โคลิด หรือแม้แต่ แฝด พอเราได้รู้ สาเหตุที่ผีมาพยาบาท พระเอก เพราะ ผีเคยเป็นผู้ถูกกระทำมาก่อน เราจะรู้สึก ว่าหนังว่า ผี มันก็มีเหตุผล เหมือนกันนะ
อย่างน้อย มันก็ไม่ไล่หลอกคนไปทั่ว แบบนึกครึ้มอกครึ้มใจแก้เซ็ง เอาใจวัยรุ่น

ไอ้ความ "มีเหตุมีผล" ของ ผี นี่แหละ มันทำให้ เรา ดูหนังผีได้อย่างสบายใจเฉิบ โดยไม่เก็บไปฝัน ทั้งที่จริง ๆ แล้วก็เป็นคนขวัญอ่อนเอาการอยู่

---------------------



หนังเรื่องบ้านผีสิง เป็นหนังผีเรื่องหนึ่งที่เราจัดว่า "น่ากลัว" เพราะไม่เข้าข่าย เหตุและผล ทของการแก้แค้นของดวงวิญญาณ ที่ฟัง แล้วสมเหตุสมผล

การ เล่าเรื่องความอกสั่นขวัญแขวนโดยนำเรื่องจริง จากคดี ฆาตรกรรม ที่คนในวงการแพทย์ก่อเหตุขึ้น ในรอบห้าสิบปี สามคดี มาดัดแปลง

ส่วนตัวแล้วเรามองว่า เหมือนว่าเนื้อเรื่องจะบ่งบอกเป็นนัย ๆ ว่าคนเรา เวลาประสบเคราะห์ร้าย หลาย ๆ คนมักจะรู้สึก "ดีขึ้น" ถ้าได้รู้ว่า มีคนอื่น หรือสามารถทำให้คนอื่น ประสบเคราะห์กรรมเหมือนกับที่ตนเคยโดนมาได้

เริ่มจากคดีแรกในช่วงต้นทศวรรษที่ 2500
มาถึงเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากคดีของนักศึกษาแพทย์ที่ฆ่าแฟนสาว เมื่อราว ปี 2541 จนมาถึงคดีของนายแพทย์ท่านหนึ่งที่เป็นความกันเมื่อปี 2544

แรกเริ่ม
ผู้เขียนเรื่อง เหมือนจะพยายาม โยงเรื่องว่า ต้นเหตุเกิดจากความนึกสนุกของดวงวิญญาณของคดีแรก ที่ จะคลายจากอาการความเจ็บปวด ก็ต่อเมื่อ เห็นคนอื่น หรือ คู่รักอื่น ประสบเคราะห์กรรมคล้าย ๆ กับตน และก็โยงใยกันต่อมาถึงคู่ที่สาม

แต่สุดท้ายพอมาถึง ตอนจบของเรื่อง ที่ความพยายามสืบสาวไปถึง เหตุแห่งความพยาบาท ที่แท้จริงว่า มาตั้งแต่ สมัย สงครามโลกครั้งที่สอง ย้อนไปถึงรัชกาลที่สาม และอยุธยา และ โน่นและโน่นไปเรื่อย ๆ มันไม่ได้ทำให้คนดูอย่างเรารู้สึก "หายกลัว" ขึ้นมาเลย

เพราะ เราก็ยังรุ้สึกว่า ผีเรื่องนี้ มาหลอกคนแบบไม่มีเหตุมีผลที่น่าฟังเท่าไหร่นัก

ก็เลยต้องกลัวผีและคนที่มีความสุข กับการที่ได้เห็นความทุกข์ของคนอื่นที่ประสบเคราะห์กรรมกับที่ตัวเองเคยประสบต่อไป



Create Date : 11 เมษายน 2551
Last Update : 24 กันยายน 2551 13:38:18 น.
Counter : 868 Pageviews.

0 comment
ลองของ 2
เมื่อวาน (7 เมษา) หลังจากเดินงานสัปดาห์หนังสือวันสุดท้ายเสร็จ

นึกอารมณ์เปลียวอะไรไม่ทราบ เลยตัดสินใจ ไปดูหนังเรื่อง "ลองของ 2" คนเดียว

ด้วยความที่เดินมาทั้งวัน พอได้นั่งลงบนเบาะในโรงภาพยนตร์ปุ๊บ เราก็เลยอยาก "พักเท้า" จึงถอดรองเท้าที่ไม่ได้ใส่ถุงเท้า ออกจากรองเท้าผ้าใบสีขาวคู่เก่ง

ก้รู้สึกหวั่น ๆ อยู่ว่า คนข้าง ๆ จะรู้สึกถึงกลิ่นอันอบอวลรันจวนใจอะไรไหม
พอถอดมาได้สักไม่ถึงอึดใจ กลิ่นของ "ของ" ก็เริ่มโชยไปโชยมาบริเวณที่นั่ง
ผมเลยรู้สึกเกรงใจ คนข้าง ๆ ก็เลยตัดสินใจ เก็บ "ของ" เข้าทีเดิมเสีย
ไม่อย่างงั้นคงจะมีความขลังอลังการณ์ "ของ" อะไรบางอย่างมาแย่งซีนภาพยนตร์ที่ควรจะเป้นแน่ ๆ

------------------



โดยเนื้อหาสาระ ของหนัง ความรู้สึกส่วนตัว เราว่า แทบไม่มีความน่ากลัวอะไรเลย เพราะล้วนแล้วแต่พูดถึงความอาฆาตพยาบาท ซึ่งมีอยู่ในจิตใจมนุษย์ปุถุชนที่ใช้ขับเคี่ยวต่อสู้กัน

อาวุธในแต่ละที่ที่ใช้ประหัตประหารกัน ก็แตกแต่งกันไปตามกาละเทศะและความถนัด บางที่ใช้คำด่า บางทีใช้ปืน บางที่ใช้เงิน ก็ตามแต่สะดวก

แต่สิ่งที่เขามาใช้ฟาดฟันกันในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก้คือ "ของ" ซึ่งเป็นสิ่งเร้นลับและที่มาของมันอธิบายไม่ได้หรือยังไม่เคยมีใครอธิบายด้วยตรรกะทางวิทยาศาสตร์ แบบนิวตัน

สิ่งที่ชวนให้ขนหัวลุก กลับเป็นภาพ เนื้อหนังมังสาที่เหวอะหวะ จากการโดน "ของ" เสียมากกว่า

ซึ่งเรามั่นใจว่า คนที่คุ้นชินกับการผ่าตัดร่างกายมนุษย์ หรือสัตว์ ถ้าได้มาชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ก้คงรู้สึกเฉย ๆ

การเล่าเรื่องก็ดูจะมีจุดให้โต้แย้งใหญ่ ๆ อยู่คือ ตอนที่น้าสาว ของ "ต๊ะ" พระเอก ยื่นสมุดบันทึก ที่น้าเธออ้างว่า แม่เขียนถึงต๊ะก่อนตาย

พอฟังดูในการบรรยายในสมุดบันทึกของแม่ เท่านั้น
ข้อสงสัยต่าง ๆ ก็พรั่งพรู ขึ้นมาในหัวของคนช่างสงสัยอย่างเราทันที

สิ่งที่เรางง ที่สุดก็คือ ในเมื่อ สมุดบันทึกเล่มนั้น แม่ของ "ต๊ะ" บันทึกไว้ก่อนตาย แล้ว คนบันทึกรู้ได้อย่างไร ว่า ตัวเองกำลังจะตาย แล้วใครเป็นสาเหตุ อะไรอย่างไร

แต่ เราก็พยายามคิดเข้าข้างคนเขียนบทว่า บางที เราอาจจะจับเนื้อหาหนังไมดี
สมุดบันทึกที่ว่า มันอาจจะบันทึกจากคนทรงเจ้า ที่แม่ของพระเอกมาบอกข่าวหลังจากตายไปแล้วก็ได้

---------------------



ส่วนประเด็นเรื่องความขลังศักดิ์สิทธิ์ของไสยเวทย์
เราเคยสงสัย ว่าทำไม คนที่เล่นมนตร์ดำ ต้องภาวนา เป็นภาษาเขมรด้วย ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วภาษาเหล่านั้น เป็นภาษาที่คนเขมร ในสมัยใดสมัยหนึ่ง ใช้ติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน

เหตุใด จึงมีความขลังศักดิ์สิทธิ์ สามารถทำอะไร ๆ เหนือธรรมชาติได้

เราเคยค้นหาคำตอบ แล้วได้มาคร่าว ๆ ว่าจริง ๆ แล้วมันก็เป้นแค่ภาษาเขมร เพราะครูต้นตำหรับเป็นคนเขมร

ถ้าครูต้นตำหรับเป็นคนไทย ก็อาจจะเป็นภาษาไทย ก็ได้

หากว่าไสยศาสตร์มีจริง คนที่จะบริกรรมคาถาซึ่งเป็นเพียงคำพูด นั้นได้เห็นผล จะต้องมีจิตใจแน่วแน่เป็นสมาธิ และมีความมั่นคงของพลังจิตพอที่จะควบคุมคาถาอาคมให้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าไม่งั้นแล้ว หากพลังจิตขาด มีไม่พอการสวดคาถา ก็ไม่ต่างอะไรจากการพูดปากเปล่า ทั่ว ๆ ไป

หรือถ้าพลังจิตไม่ลงตัวเสมอตัว "ของ" นั้นก็จะย้อนกลับมาทิ่มแทงทำร้ายตัวเองได้



Create Date : 11 เมษายน 2551
Last Update : 24 กันยายน 2551 13:40:25 น.
Counter : 636 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  

เชษฐภัทร
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



New Comments
All Blog
MY VIP Friend