Dances with Wolves: ตำแหน่งแห่งที่ของผู้เล่าเรื่องทางประวัติศาสตร์
เวลาที่มีใครมาเล่า เรื่องทะเลาะวิวาท หรือ ด่าบุคคลที่สามให้ผมฟัง แม้จะไม่กล้าถามคนที่มาเล่าให้ฟังต่อหน้าแต่ผมก็มักจะถามตัวเองเสมอ ว่า สิ่งที่คน ๆ นั้นเล่า เนี่ย มันถูก "คัดกรอง" ในกระบวนการเล่าของเขามาหรือไม่อย่างไร และในระหว่างการเล่านี้ มีปรากฏการณ์ อะไรที่ถูก "ละ" ไว้ไม่เล่าต่อบ้างหรือไม่

ด้วยเพราะผมเห็นมานักต่อนัก ว่ามนุษย์ เวลานำเหตุวิวาท ไปเล่าต่อ มักจะเล่าให้ตัวเองดูดี พูดแต่ข้อดีของตัวเอง และเน้นขอเสีย ของคู่กรณี ในขณะเดียวกัน หากตัวเองมีข้อไม่ดี ก็จะไม่เล่าต่อ และ/หรือ ต่อให้เล่าต่อ ก็เล่าในลักษณาการที่ว่าให้ตัวเองดู "น่าสงสาร" มากที่สุด

ปรากฏการณ์ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันของสังคมมนุษย์ ที่กล่าวมาข้างต้นนี้สามารถ นำมาตั้งคำถาม กับความรู้ ศาสตร์ต่าง ได้เช่นกัน ที่น่าจะชัดเจนที่สุดก็คือ ประวัติศาสตร์ ซึ่ง หลาย ๆ ครั้งมักถูกเขียน ขึ้นมาเพื่อรับใช้ผู้ชนะในเหตุวิวาท/สงครามที่เกิดขึ้นในอดีต จน หลายครั้ง ข้อมูลบางอย่างถูกละเลย บิดเบือนไปไม่เกล่าถึง

--------------
ประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ในยุคบุกเบิก ประมาณ ปี 1863 ที่คนผิวขาวกำลังสำรวจเส้นทางไปทางทิศตะวันตกอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น ก็คงไม่ต่างจากประวัติศาสตร์ในหลาย ๆ ที่ของโลก ที่วิธีการเล่าเรื่อง ถูกเล่าจากมุมมองของคนกลุ่มเดียวเป็นสำคัญ

ความรุนแรงที่ฝ่ายตรงข้าม จะถูกขยายใหญ่ กล่าวถึงบอกเน้น
ในขณะเดียวพฤติกรรม อะไรที่ฝ่าย ตนทำไม่ดีไว้ ไม่ว่าจะเป็นการปล้น ฆ่า ข่มขืน ก็จะถูกละไว้ไม่กล่าวถึง

การบันทึกเช่นนี้นานเข้าก็กลายเป็นความรู้
เมื่อกลายเป็นความรุ้ พอเวลาผ่านไป เรื่องเล่าแบบนี้ก็จะกลายเป็นความจริง

ฉะนั้น การเล่าเรื่องแบบนี้ จึงแฝงมาด้วยการใช้อำนาจ และความรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

-------------------

ภาพยนตณ์เรื่อง Dances with Wolves เป็นวิธีการเล่าเรื่องจากความทรงจำวิธีหนึ่ง ของ "คนขาว" ที่มีปฏิสัมพันธ์ กับชนเผ่าพื้นเมือง Sioux ในประเทศอเมริกา

จอห์น เจ ดันบาร์ เป็นทหารของสหรัฐอเมริกาเขาเดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก และได้กางเตนท์ นอนอยู่ไม่ไกล จากที่ตั้งของเผ่า Sioux เท่าใดนัก

แรก ๆ ที่ชาวพื้นเมืองอินเดียนแดง เห็น ดันบาร์ พวกเขา อาจมีคติว่า คนขาวคนนี้ไม่ได้มาดี แต่พอเวลาผ่านไป ดันบาร์ ก็เริ่มทำความคุ้นเคยกับ คนเผ่าพื้นเมือง จนได้รับการยอมรับให้ทำกิจกรรมกรรม กับชนเผ่าพื้นเมือง และได้ชื่อ แบบคนพื้นเมือง จนในที่สุด เขาก็ได้รับการยอมรับให้กลายเป็นพวกเดียวกันกับอินเดียนแดงเผ่านั้น

ประเด็นที่น่าสนใจตรงนี้ ก็คือว่า การสร้างความหมาย ความเป็น "พวกเขา" หรือ "พวกเรา" นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ว่า คุณผิวสี อะไร ด้วยดันบาร์เอง ก็ยังได้รับการมองว่า เป็น "พวกเดียวกัน" กับคนพื้นเมือง เมื่อ เขาถูก ทหารอเมริกันที่ตามมาที่หลังกล่าวหาว่าทรยศ

ยิ่งไปกว่านั้น ในเผ่าอินเดียนแดงเผ่านี้ ยังมี หญิงสาว ที่เกิดจากพ่อแม่ผิวขาว ที่ถูกอินเดียนแดงฆ่าตาย และได้รับการเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก เธอจึงพูดภาษาอินเดียนแดง Sioux และ เข้าใจวัฒนธรรม ของชนเผ่า และมีความภักดีต่อเผ่าแม้ว่า เธอจะมี เลือดเป็นฝรั่งผิวขาว Caucasian ก็ตาม

---------------------------



แม้ว่า ภาพยนตร์เรื่อง Dances with Wolves จะสื่อสาระให้เราเห็นถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับ คนพื้นเมือง ในแง่มุมที่เป็นบวกมากขึ้น และเล่าถึงพฤติกรรมชั่วร้าย ของคนผิวขาวมากขึ้น

แต่กระนั้นก็ดี หลายครั้งหลาย คราว เราจะเห็น ในหลายครั้ง การเล่าเรื่อง ยังให้คุณค่า กับวัฒนธรรมตะวันตก ว่าเหนือกว่า ซึ่งสื่อเป็นนัยว่า คนตะวันตก ยังคงมีหน้าที่ ๆ จะต้อง ไป "ให้การศึกษา" กับ คนเผ่าอื่น ๆ ในโลก เพื่อพัฒนาให้ทันทัดเทียมตน ซึ่งมันยังได้กลิ่น ของความเป็น Eurocentricism คือการยึดแนวคิดแบบยุโรปเป็นศูนย์กลาง นั่นคือ คนยุโรป อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า คนพื้นเมืองในพื้นที่อื่น

เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว
การรับฟังประวัติศาสตร์ ให้รอบด้าน มากยิ่งขึ้น คงไม่ใช่เพียงแค่ต้องฟังเสียงหลาย ๆ เสียง จากหลาย ฝ่าย อย่างเดียว แต่ผู้ฟัง ยังต้องมีความตระหนัก ถืงลักษณาการของการเล่าเรื่องนั้น ว่า ผู้เล่า เขา มองว่าตัวเขาเอง ยืนอยู่ในจุดไหน และผู้ที่ถูกพาดพิงถึง มีตำแหน่งแห่งที่ สูงกว่า เท่าเทียม หรือ ต่ำต้อยกว่าเขา เพียงใด และวิธีการเล่าแบบนี้ มันส่งผลดี/ผลเสีย ต่อผู้เล่าอย่างไรด้วย



Create Date : 23 กรกฎาคม 2552
Last Update : 14 สิงหาคม 2552 11:09:15 น.
Counter : 1436 Pageviews.

2 comment
Up: อดีต ปัจจุบันและ อนาคต
ภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่อง Up เป็นเรื่องราวชีวิตของ "คาร์ล เฟรเดอริกเซ่น" เด็กน้อยขี้อายวัยแปดขวบ ที่มีฮีโร่ อย่างนักผจญภัยดินแดนลึกลับในทวีปอเมริกาใต้ ที่ชื่อว่า ชาร์ลส มันท์ซ์ และดันเป็นฮีโร่ คนเดียวกัน กับ เด็กหญิงแก่นแก้ว ที่ชื่อว่า เอลลี่

ด้วยเหตุนี้ เอง คาร์ล และเอลลี่ จึงได้ทำความรู้จักกันตั้งแต่วัยเด็ก จนกระทั่งทั้งคู่เติบโตสู่วัยหนุ่มสาว และแต่งงานกันในที่สุด

แม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานหลายสิบปี แต่ทั้งคู่ก็ยังคงความฝันในการเดินทางผจญภัยไว้ ไม่เปลี่ยนแปลง

ทั้ง เอลลี่ และ คาร์ล มาสร้างบ้านซึ่งทั้งคู่ร่วมสร้างความทรงจำและความรักด้วยกัน แม้ว่าจะไม่สามารถมีลูก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ รักของทั้งคู่จืดจางลงเลย โดย คาร์ล เฟรเดอริกเซ่น มีอาชีพ ขายลูกโป่งและดูแลสวนสัตว์ด้วย

ในช่วงบั้นปลายชีวิต คาร์ล มีแผนที่จะพาเอลลี่ไปเที่ยว ทวีปอเมริกาใต้ อันเป็นความใฝ่ฝันซึ่งทั้งคู่มีร่วมกัน ตั้งแต่เด็ก แต่อนิจจา ที่ เอลลี่ ต้องมาเสียชีวิต ไปเสียก่อน

_____________


เมื่อภรรยาสุดที่รัก ได้จากโลกนี้ไป คุณปู่ คาร์ล เฟรเดริกเซ่น ต้องใช้ชีวิต อย่างอ้างว้างเดียวดาย ยิ่งโลกและสภาพแวดล้อมได้เปลี่ยนแปลง เท่าไร คุณปู่ยิ่งโหยหาวันเก่าๆ อันแสนสุขมากเท่านั้น

เมื่อ รอบ ๆ บ้านคุณปู่ กำลังแปรสภาพ มีการก่อสร้างใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย และนายทุนเงินหนา ก็พร้อมจะซื้อบ้านคุณปู่ อยู่ทุกเมื่อ แต่เหมือนยิ่งมีคนมาตื้อขาย คุณปู่ ก็ยิ่งต่อต้านอย่างก้าวร้าว

เป็นผลให้ คุณปู่ได้ทำร้ายร่างกายทีมงานลูกน้องของนายทุน จนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล และท้ายที่สุดคุณปู่ ก็ต้องถูกศาลส่งให้ไปอยู่สถานรับดูแลคนชรา และทิ้งบ้านที่ใช้ชีวิตมายาวนานนั้นเสีย

เรื่องราวดูเหมือนว่า คุณปู่เฟรเดอริกเซ่น จะยอมจำนน ต่อชะตาชีวิตแล้ว แต่ เหตุการณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่

ในขณะที่ เจ้าหน้าที่สถานรับดูแลคนชรา กำลังรอรับคุณปู่เฟรเดอริกเซ่น ขึ้นรถอยู่ ทันใดนั้น บ้านหลังที่คุณปู่รัก ก็มีลูกโป่งโผล่ขึ้นมาที่หลังคา นับร้อยนับพันลูก

แรงของลูกโป่งที่มักจะลอยขึ้นฟ้านับร้อยนับพันลูกนั้น ก้ ได้ "ยก" บ้านทั้งหลัง ขึ้น ลอยอย่างกับ บอลลูนบ้าน หรือ บ้านเหาะได้ สุดแท้แต่เราจะจินตนาการกัน

บ้านทั้งหลังนั้น ลอยจาก สหรัฐอเมริกาไปหยุดอยู่ กลางทวีปอเมริกาใต้ ที่คุณปู่เคยใฝ่ฝัน ว่าจะมาผจญภัยกับเอลลี่ ภรรยา ให้ได้

แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ "รัสเซลล์" เด็กน้อยที่เรียนลูกเสือ ซึ่งพยายามจะขอ "แบดจ์ช่วยเหลือคนชรา" โดยการอาสาช่วยเหลือคุณปู่เฟรเดอริกเซ่น ได้ ติดบ้านลอยได้ มาด้วย จะด้วยความซุกซน หรือ ความอยากรู้อยากเห็นก็แล้วแต่

และแล้ว การผจญภัยครั้งใหญ่ของคู่หูต่างวัย ในวัยชรา และวัยเด็ก ก็กำลังจะเริ่มขึ้น ทั้งคุณปู่ คาร์ล เฟรเดอริกเซ่นและ เจ้าหนูรัสเซลล์ ต่างก็ได้เรียนรู้ ชีวิต จากการเดินทางผจญภัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการ ที่ต้องลงเดินบนพื้น แล้วลากบ้านที่ลอยเพราะลูกโป่ง เพื่อจะเดินทางไปยังน้ำตก Paradise Fall ที่คุณปู่ เฟรเดอริกเซ่น อย่างไปเที่ยวนักหนา หรือการฝ่าฟันฝูงสัตว์ ต่างนาน ๆ ตลอดจนการได้มาเจอกับ ฮีโร่ ในวัยเด็กของคุณปู่

ตลอดการเดินทางทำให้ รัสเซลล์ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ขึ้น
และคุณปู่เองได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ มากมายเช่นกันว่า ไม่ว่าจะเป็นการ ละวาง อดีต การเอาใจใส่ดูแล มิตรสหายในปัจจุบัน

แม้ว่าชีวิต ของคุณเฟรเดอริกเซ่นจะอยู่ในวัยชรา แล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าเกิดเป้นคน เราก็คงมีโอกาสได้เรียนรู้ไปกันทั้งชีวิต จนกว่าจะสิ้นลมหายใจไป ก็เท่านั้นเอง



Create Date : 05 กรกฎาคม 2552
Last Update : 5 กรกฎาคม 2552 22:05:33 น.
Counter : 313 Pageviews.

1 comment
Innocent Step: นักรักนักเต้น มือใหม่สอนหัวใจให้รัก
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า

"คู่ชายหญิง หากจะเต้นลีลาศให้ได้ดี ได้งดงามนั้น หากผู้เต้นทั้งคู่ กอดกัน รัดแน่นจนเกร็งเกินไป สเต็ปที่ออกมาก็คงจะดูงดงามไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม หากว่า คู่เต้นทั้งคู่ ปล่อยสัมผัสกันจนหลวมเกินไป หากจะหวังให้เต้นออกมางดงามก็คงเป็นไปไม่ได้เช่นกัน ทางที่ดี ผู้เต้นทั้งสอง ควรจะสวมกอดสัมผัส กันแต่พอสบาย โยกย้ายไปตามจังหวะ อย่าบีบบังคับขัดงืน หรือ ปล่อยให้ออมกอดหละลวมจนเกินไป นั่แนหละ เราถึงจะมีลีลาศที่งดงามให้ได้ชมกัน"

เปรียบกับความรัก ก็คล้าย ๆ กัน
หากคู่รัก นั้นพยายาม เข้าใกล้กันมากเกินไป อาจจะทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอึดอัด สุดท้ายความรักก็อาจไม่รุ่ง
หรือในทางตรงกันข้าม หากว่าเราทิ้งให้คู่รัก ต้องอยู่ห่างไกลเกินไป จนเกินควร รักนั้นก็ยากที่จะไปรอด

ทางที่ดีควรเว้นระยะห่างให้พองาม พอควร เล่นไปตามจังหวะ อย่ากอดรัดจนแน่น และก็อย่าทิ้งให้ห่างจนเกินไป

-------------------------------



ภาพยนตร์เรื่อง innocent step เป็นเรื่องราวความรัก ของหญิงสาวเชื้อสายเกาหลีที่อาศัยอยู่ในดินแดนจีน ที่ชื่อ "จาง แซริน" กับ ครูและนักเต้นลีลาศมืออาชีพ ในเกาหลีที่ชื่อว่า "นา ยัง เซ"

"นา ยัง เซ" เป็นสุดยอดนักลีลาศของเกาหลี แต่เขาโชคร้าย ที่โดนคู่แข่ง ใช้เล่ห์กล ทำให้เขาพลาด ล้มลง จนกระทั่งโดนเหยียบขาหัก

หนำซ้ำ เขายังโดนนักเต้นฝ่ายหญิงผละทิ้ง ไปเต้นคู่ กับคู่แข่งเขาอีก ทิ้งให้เขา ต้องรับมรสุมชีวิตอยู่เพียงลำพัง ไม้ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บทางกาย และทางใจ

จนกระทั่ง "นา ยัง เซ" เริ่มฟื้นตัว และหายอาการบาดเจ็บ เขาเริ่มมีความหวัง จะกลับมาวาดลวดลาย บนฟลอร์ ลีลาศอีกครั้ง

"นา ยัง เซ" ได้รับการจัดการ หาคู่ลีลาศ คนใหม่ให้ โดยนักเต้นสาวคนนั้น เป็นคนเกาหลีที่เติบโตบนแผ่นดินจีน ชื่อ ว่า "จาง เซริน"

แต่เหตุการณ์กลับกลายเป็นว่า "จาง เซริน" ส่งน้องสาว ของเธอ ที่ไม่ได้มีพื้นฐาน การเต้นเลยแม้แต่น้อย มาแทน ด้วยเหตุผลที่ว่า คู่หมั้นเธอไม่ต้องการ ให้มาอยู่เกาหลี

"นา ยัง เซ" เลยจำใจต้องฝึกฝนให้ "จาง เซริน" ตัวปลอม เต้นลีลาศ ทั้งที่ยังเหลือเวลาเพียงไม่กี่เดือน ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น

แต่ระหว่างการสอนเต้นนั้น ทั้งคู่ ก็ตกหลุมรักกันโดยไม่รู้ตัว

เรื่องราวการเต้น และความรักของทั้งคู่ ถูกท้าทาย ด้วยโชคชะตา ทั้งจากคู่แข่งบนฟลอร์ และ จากตรรกะ การทำงาน ของรัฐชาติสมัยใหม่ ที่ ควบคุม ผู้คนในการข้ามพรมแดน จีน เกาหลี

เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้ว ทั้งคู่ จึงต้อง เพิ่มความระมัดระวังในการเต้นให้มากยิ่งขึ้น เพราะ ถ้ายิ่งกอดแน่นเกินไป หรือ ปล่อยอ้อมกอดจังหวะให้หลวมเกินไป ความรักและสเต็ป การเต้นของทั้งคู่ อาจจะพลาดขึ้นมาได้ง่าย ๆ

ของแบบนี้ไม่เข้าใครออกใคร ไม่ว่าจะเป็นนักรักนักเต้น มือใหม่หรือมือเก่าก็ตาม



Create Date : 01 กรกฎาคม 2552
Last Update : 1 กรกฎาคม 2552 6:36:58 น.
Counter : 849 Pageviews.

0 comment
ข้อคิดจากซูเปอร์แหบแสบสะบัด
หนังเรื่องซูเปอร์แหบแสบสะบัด เป็นเรื่องราวของ คู่ซี้ เพื่อนสนิทกันอย่าง "ต้อม" และ "ตึ๋ง" ซึ่ง ต้อม มีหน้าตาหล่อเหลา อีกทั้งมีพรสวรรค์ด้านการเต้น ชนิดที่ว่าสาวที่ไหนเห็นเป็นต้องหลงใหลในความหล่อ แต่เสียงกลับแหบไม่เป็นท่า ไม่มีทางที่จะร้องเพลง ได้เพราะแน่ ๆ

ส่วน ตึ๋ง แม้จะหน้าตาไม่หล่อ ดูจะออก เตี้ย ล่ำ คล้ำ แต่ ก็มีจุดเด่น คือ เสียงเพราะ คารมเป็นต่อ สาวฟังเสียงแล้วต้องเคลิ้ม ไปตาม ๆ กัน แถมยังแต่งเพลงได้สุดยอดอีกตางหาก

ทั้งสองคน รู้จักกันมานาน จนสามารถ เล่น "ลิปซิ้ง" กันได้อย่างแทบจะเรียกได้ว่า แนบเนียนมาก ๆ

ต้อม และ ตึ๋ง ร่วมแรงร่วมใจกัน อัด มิวสิควีดีโอ โดยให้ต้อม เต้น แต่ใส่เสียง ตึ๋ง เข้าไป แล้ว นำไปเสนอ ค่ายเพลงของเจ้เง็ก ให้ช่วยโปรโมท ขายเทป





แม้ว่า เจ๊เง็ก จะรู้ความจริง ว่า ต้อม ไม่ได้เสียงดี แต่ต้องพึ่งเสียงของตึ๋ง อยู่ตลอด แต่ด้วยสถานะทางการเงินของค่ายเพลง ทำให้เจ๊เง็ก ต้องเสี่ยง โปรโมทงานเพลง ของต้อมและตึ๋ง ในนาม ของ นักร้อง ที่ชื่อว่า "ตง ลี เฮ"

โดยให้ ต้อม ขึ้นเวที ลิปซิ้ง เสียง ของ ตึ๋ง ที่มักจะเป็นคนแต่งเพลง และลิปซิ้งอยู่เบื้องหลัง

และแล้ว "ตง ลี เฮ" ก็โด่งดังเป้นพลุแตก ทำกำไรให้กับค่ายเพลงมากมาย

แต่ความสำเร็จของ "ตง ลี เฮ" ในครั้งนี้ ดูเหมือนว่า จะกลับกลายมาเป็นผลร้าย ต่อความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนสนิท คือ ต้อม กับ ตึ๋ง พอสมควร ซึ่ง ตัวเอกของเรื่อง ต้องเอาชนะจิตใจของตน ในการคลี่คลาย ปัญหาของเรื่อง

-------------------------

หนังเรื่อง ซุเปอร์แหบแสบสะบัด น่าจะให้ข้อคิดข้อเตือนใจ กับ ผู้ที่ได้ชื่อว่า "ประสบความสำเร็จ" ในยุคนี้ ไม่ว่าจะวงการใด ก้ตาม ไม่ให้ มั่นใจในตัวเองมากเกิน ไป จน ไม่ใส่ใจกับรายละเอียดของผู้ที่สนับสนุนอยู่ท้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง

ไม่ว่าจะเป็นในวงการบันเทิง คนที่จะจะเป็นนักร้อง เป็นดารา ที่ได้รับการยอมรับ เราปฏิเสธไม่ได้เลย ว่า จะต้องได้รับการสนับสนุน จากโปรดิวเซอร์ คนเขียนบท รวมถึงแฟนเพลง แฟนละครที่ให้การสนับสนุน

ในวงการนักเขียน กว่าจะประสบความสำเร็จเป็นนักเขียนที่ได้รับการยอมรับได้ คุณก็เป็นหนี้บุญคุณ ครูบาอาจารย์ บรรณาธิการ สำนักพิมพ์ หรือแม้กระทั่ง แฟน ๆ งานเขียน ที่คอยติดตามผลงาน

แม้กระทั่งนักการเมือง หรือผู้นำประเทศ อย่างนายกรัฐมนตรีเองก้ไม่อาจปฏิเสธ ข้อเตือนใจในข้อนี้ไปได้

กว่าที่ใครสักคนจะก้าวขึ้นมาเป้นผู้นำประเทศ คุณก็เป็นหนี้ประชาชนทั้งประเทศอยู่
เพราะฉะนั้น การจะทำอะไรอย่างมั่นใจในตัวเอง เกินไป จนไม่คำนึง ถึงบุญคุณของแผ่นดิน นั้น อาจจะนำมาซึ่งหายนะ ของตัวคุณเองได้



Create Date : 24 มิถุนายน 2552
Last Update : 27 มิถุนายน 2552 18:55:48 น.
Counter : 485 Pageviews.

0 comment
My Scary Girl: ความรักของตาเฉิ่มกับสาวเจนโลก
My Scary Girl เป็นเรื่องราวความรักของ "ฮวาง แดวู" อาจารย์หนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ ชาวเกาหลีที่สอนวิชาวรรณคดีอังกฤษอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงโซล ที่จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่เคยมีแฟนกับเขาสักคน หน้าตารึก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่เพราะความเฉิ่ม เป๋อของเขาละมั้งที่ทำให้เขา จีบสาวไม่เป็น ไม่ว่าจะชอบใครหรือแอบชอบใคร ก้มีอันต้องแห้ว ไม่ก็ป๊อดไปหมด

ด้วยความที่เขาจีบสาวไม่เป็นเอาเสียเลย ทำให้วิธีการเวลาเขาจะแสดงออกว่าเขาชอบใคร หรือสนใจใคร มันต่างจาก พวกหนุ่มเพลย์บอย หรือเจนจัดในด้านการจีบสาวแน่ ๆ

แต่ลักษณะ เฉิ่ม ๆ ซื่อ ๆ แบบนี้ก็ไปโดนใจ สาวสวยหวาน อย่าง "ลี มีนา" จนได้

ในขณะที่ความรักของทั้งคู่กำลังงอกงาม ฮวาง แดวู ก็เริ่ม สงสัย ถึงเบื้องหลังในชีวิตของ ลี มีนา ด้วยลักษณะพิรุธ หลายอย่าง ที่ทำให้เขาคิดว่า เธอไม่น่าจะใช่ หญิงสาวหวาน อย่างที่เธอพยายามแสดงออก

ข้อสงสัยต่าง ๆ เกิดขึ้น จากพิรุธที่เขาพบ ไม่ว่าจะเป็นชายแปลกหน้าท่าทางเหมือนหัวหน้าแก๊งที่มาเยี่ยม มีนา หรือว่า การที่มีนา หายไปดึก ๆ ดื่น ๆ

จนเขาต้องค้นหาข้อมูลเบื้องหลังของเธอ จนเขาเริ่มสงสัยว่า ผู้หญิงสวยหวานคนนี้อาจจะเป็นฆาตรกรที่ผ่านมือผู้ชายมาแล้วนับไม่ถ้วน



เรื่องราวความรักระหว่างชายที่ยังไม่เคยมีแฟนอ่อนหัดในเรื่องการจีบสาว อย่าง "ฮวาง แดวู" กับ ผู้หญิงที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาโชกโชนอย่าง "ลี มีนา" ชวนให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า

บางครั้ง ผู้หญิงที่ผ่านผู้ชายมาเยอะ ผ่านความโหดร้ายมามาก ก็อาจจะมองเห็นใน "ความน่ารัก" ของผู้ชายที่แม้จะพยายาม แต่ยังไง ก็จีบสาวในแบบที่คาสโนว่า จีบไม่เป็น

จนนำไปสู่คำถามที่ว่า แม้ผู้หญิงจะถวิลหาผู้ชายที่ มีเสน่ห์แพรวพราว มีเล่ห์กลในการจีบที่น่าประทับใจและโรแมนติก แต่ถ้าหากความโรแมนติก ดังกล่าวนั้น เป็นไป เพื่อที่ต้องการใน เรือนร่างของผู้หญิง ที่ไม่มีวันจบสิ้น แล้วละก็ บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจจะหันมาชอบ ผู้ชายที่จีบผุ้หญิงไม่เป็นเลยก้ได้

อะไรทำให้ผู้หญิงบางคนอาจคิดหรือรู้สึกแบบนั้น?

คำตอบที่เพิ่มพอนึกออกในตอนนี้ก็คือ

การรอให้ผู้ชายงัดมุก และยุทธวิธีโรแมนติกต่าง ๆ มาจีบผู้หญิง มันทำให้ ผู้หญิงรู้สึกว่า ตัวเองเป็นฝ่ายถูกเลือก แม้ว่าจะมีหลายคนมาจีบ และผู้หญิงอาจจะเลือก จากหลายคนที่เข้ามาในยุทธวิธีแบบต่าง ๆ กันก็ตาม

แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้หญิงที่เข้าไปจีบผู้ชายก่อน น่าจะเป็นเพราะเธอคิดว่า เธอมีสิทธิ์ที่จะเลือก ผู้ชายด้วยเธอเป็นคนเริ่มต้นจุดประกายสายใยรัก ได้ด้วยตัวเธอเอง

และการเลือกผู้ชายอย่าง แดวู นั้น มีแต่จะทำให้ ชีวิต ของ มีนา ผ่อนคลายจากความหวาดระแวง ความเครียดขึ้นได้ตั้งเยอะ

และสิ่งนี้แหละน่าจะเป็นสิ่งที่เธอถวิลหา หลังจากที่ชีวิตเธอต้องประสบพบเจอกับความโหดร้ายมานาน



Create Date : 23 มิถุนายน 2552
Last Update : 23 มิถุนายน 2552 20:11:16 น.
Counter : 1096 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  

เชษฐภัทร
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



New Comments
All Blog
MY VIP Friend