ยัยนี่น่ารักจัง Cyborg She



ประเด็นเรื่องความมีเหตุผล อารมณ์ ความรู้สึก เครื่องจักร และความเป็นมนุษย์ เป็น ประเด็นที่เห็นได้ชัดเจนในภาพยนตร์ไซไฟเรื่อง Cyborg She

ชีโร่ เด็กหนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มีชีวิตเรียบ ๆ ได้ตกหลุมรักกับหุ่นยนตร์สาวสวยจากโลกอนาคตที่ตัวเขาในอีกห้าสิบหกสิบปีข้างหน้าสร้างขึ้นเพื่อย้อนเวลากลับมาช่วยเหลือเขานั่นเอง ทั้งด้านการเรียน และการเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบนเกาะญี่ปุ่น

แม้ชีโร่จะตกหลุมรักหุ่นยนตร์สาวสวยเข้าให้แล้ว แต่ปัญหาก็กลายเป็นว่า หุ่นยนตร์นางนี้ไม่ได้เป็นมนุษย์มาตั้งแต่แรก ชีโร่จึงไม่แน่ใจว่า เธอสามารถ “สัมผัส” ถึงความรู้สึก “รัก” จากหัวใจเขาได้มากน้อยเพียงใด แม้ว่าตามท้องเรื่องจะระบุว่า หุ่นยนตร์สาวคนนี้จะค่อย ๆ เรียนรู้เพื่อจะซึมซับ อารมณ์ และผัสสะ ในแบบมนุษย์ แต่ปัญหาสำคัญก็คือว่า เธอจะเข้าใจคำว่ารักได้ทันก่อนที่ภัยธรรมชาติอันยิ่งใหญ่จะพรากทั้งคู่จากกันไปแล้วหรือไม่



ตั้งแต่เล็กจนโต ผมว่าผมได้ถูกขัดเกลาจากทั้งครูบาอาจารย์ โรงเรียน เพื่อนฝูงมาโดยตลอด ว่าการจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้นั้น จะต้องเป็นคนมีเหตุผล ดังจะเห็นได้จากมาตรวัดความมีเหตุผลนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่แยกแยะมนุษย์ออกจากสัตว์ และแยกมนุษย์ที่มี “การศึกษา” ออกจากมนุษย์ที่ “ไม่มีการศึกษา”

ความเชื่อเรื่องความเป็นปรมัตถ์สัจจะของเหตุผลนั้นแข็งแกร่งถึงขนาดกระทั่งว่า ครูบาอาจารย์ บัณฑิตหลายท่าน อาจหาญเอ่ยวลีที่ว่า “พุทธศาสนานั้นเปรียบได้กับการใช้เหตุผลแบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่”

(ซึ่งถ้าลองศึกษาวิธีวิทยาแบบวิทยาศาสตร์ ตรรกะแบบ causal relations และนำมาเปรียบเทียบกับแนวคิดแบบอิททัปปัจยตา หรือ แล้วจะพบว่า คำพูดที่บอกว่า พุทธศาสนาใช้เหตุผลแบบวิทยาศาสตร์ทำนอง causal relations นั้น มีปัญหา และไม่น่าจะถูกต้องเท่าใดนัก แต่ผมยังไม่ขอพูดถึงประเด็นนี้ในที่นี้)

ด้วยการขัดเกลาทางสังคมทั้งหมดที่กล่าว มาทำให้ผมเชื่อโดยสนิทใจ โดยไม่เคลือบแคลงว่า คนจะ “มีการศึกษา” หรือมีความเป็นมนุษย์ นั้นจะต้อง เป็นคนที่ไม่ใช้อารมณ์ และใช้เหตุผล+ตรรกะ เก่งมาก ๆ แน่ ๆ จนไปคาดหวังว่าคนที่มีการศึกษา โดยเฉพาะบัณฑิตที่ผ่านการฝึกปรือด้วยวิธีวิทยาและตรรกะ แบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นั้นจะต้องมองอะไรเป็นภววิสัย ลด ละ อคติได้ทุกอย่าง ยิ่งเรียนสูง กระบวนการเหล่านี้ยิ่งน่าจะสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น แต่สุดท้ายกลายเป็นว่า เป็นผมเองที่บ้า มองโลกในแง่อุดมคติเกินไป เพราะมนุษย์ต่อให้มีการศึกษามากแค่ไหน แต่สุดท้าย ส่วนใหญ่ ก็ยังคงหนีไม่พ้น วังวนแห่งอคติ ใช้อารมณ์กันอยู่ร่ำไป แม้ว่ามนุษย์จะหลอกตัวเองว่าเป็นผู้มีเหตุผลต่างจากสัตว์ แต่ ยังไง ก็เป็นมนุษย์วันยังค่ำ

อันที่จริง ความสวยงามในความเป็นมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่การมีเหตุผลเพียงอย่างเดียว แต่มนุษย์ยังมีแง่มุมอีกหลายอย่างที่มีความสวยงามในตัวเอง

ถ้าคนเราใช้แต่เหตุผล ตรงเด๊ะ ไม่มีบิดมีเบี้ยว ปราศจากซึ่งอารมณ์ใด ๆ มนุษย์เราจะต่างอะไรจาก “เครื่องจักร” ชิ้นหนึ่งที่มีความคงเส้นคงวา และคาดเดาพฤติกรรม คำนวณการเคลื่อนไหวได้

การชี้วัดในความเป็น “มนุษย์” จึงไม่น่าจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงตรรกะอย่างเดียว หากแต่คุณค่าด้านอื่น ทั้งความสามารถสุนทรียะ การแสดงออกเชิงสัญญะทางความรู้สึก ความรัก ความโกรธ ความหลง การรังสรรค์ความงามก็น่าจะเป็นลักษณะชี้วัดความเป็นมนุษย์ได้ไม่ต่างไปจาก ความสามารถ เชิง เหตุและผล การแสดงออกและการรับรู้ทางอารมณ์นี่เอง ที่เป็นส่วนสำคัญซึ่งบ่งบอกความเป็นมนุษย์ ที่แม้แต่ตัวหุ่นยนตร์เอง ก็ยังอยากทำความรู้จักเช่นกัน



Create Date : 04 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2551 15:06:13 น.
Counter : 938 Pageviews.

0 comment
Made of Honor
Made of Honor เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มเจ้าสำราญทอม (แพทริก เดมซี่) ที่เพิ่งค้นพบว่าตัวเองตกหลุมรักกับเพื่อนสนิท ที่คบกันมาเป็นสิบปีที่ชื่อว่า ฮันนาห์


ทอมเป็นชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ ที่มีความสัมพันธ์กับสาว ๆ มากหน้าหลายตา ฮันนาห์เป็นรูมเมต ของ “กิ๊ก” ของทอมและคืนแรก ที่ทอม กับฮันนาห์พบกัน ก็เกิดขึ้นหลังจากที่ “กิ๊ก” ของเขานัดให้เขาตามไปที่ห้องนอน



แต่ด้วยความเมา ของทั้งคู่หรืออย่างไร ไม่ทราบ เมื่อทอม มาถึงห้อง และพบว่า ฮันนาห์ นอนอยู่บนเตียง เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง โดยที่ไม่ได้ดู เลยว่า ผู้หญิงคนที่ตัวเองหมายจะบรรเลงเพลงรักนั่นเป็นรูมเมทของ “กิ๊ก” ตัวเองซะอย่างงั้น เลยโดนฮันนาห์ “ป้องกันตัว” ด้วยการคว้าทุกสิ่งทุกอย่างแถวนั้น ซึ่งเผอิญสิ่งที่เธอคว้าได้ในเวลาคับขันนั้นดันเป็นน้ำหอม เคลวินไคลน์เสียนี่

กว่าฮันนาห์จะรู้ตัวว่า เป็นเรื่องเข้าใจผิด ทอมก็เลยโดน สเปรย์น้ำหอมฉีดเข้าเสียตาแสบไปหมด ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็คงจะยังงง ว่าโดนน้ำหอมฉีดไปเสียขนาดนั้น ทำไมตาไม่บอด เข้าใจว่า อาจจะไม่โดนเต็ม ๆ ละมั้ง ซึ่งใครจะไปรู้ว่า น้ำหอมนั่น อาจจะทำให้ ทอม "ตาบอด” ฮันนาห์ขึ้นมาจริง ๆ เพราะ เขาค่อย ๆ ตกหลุมรักเธอโดยไม่รู้ตัวเสียจนกระทั่งท้ายที่สุดอาจจะ “ตาบอด” จริง ๆ ได้เสียแล้ว






นับจากเป็นต้นมาผ่านไปสิบปี ทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจกันมาก เล่าเรื่องจิปาถะให้กันฟังปรึกษากันได้ทุกเรื่อง แม้ว่าทอมยังจะคงนิสัย รวยเสน่ห์ ควงสาวไม่ซ้ำกันในแต่ละคืน แต่หลายต่อหลายครั้ง เหมือน ฮันนาห์ จะพยายามแสดงออกว่า เธอ “แอบมีใจ” ให้ทอมแต่ เมื่อไม่มีสัญญาณ ความรุ้สึกที่มากไปกว่าเพื่อน ฮันนาห์ จึงไม่อาจแสดงความรักออกมาได้อย่างโจ่งแจ้ง





จนกระทั่งมาวันหนึ่ง ฮันนาห์ต้องเดินทางไปติดต่องานที่ สก๊อตแลนด์เป็นเวลา หลายวัน ทอมก็เริ่มตระหนักรู้ได้ว่า ชีวิตเขาขาด ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ และเริ่มจะรู้สึกมั่นใจว่า ความรู้สึกโหยหา เช่นนี้ แหละ ที่เป็น สิ่งที่ เรียกว่า “ความรัก” เขาจึงตกลงปลงใจว่า จะสารภาพรักกับฮันนาห์ทันทีที่เธอ เดินทางกลับมาจากสก๊อตแลนด์



แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นใจให้กับแพทริก เอาเสียเลย เมื่อฮันนาห์ ได้กลับมาสหรัฐอเมริกา พร้อมกับพาว่าที่เจ้าบ่าวชาวสก๊อตแลนด์ นามว่า คอลลิน ที่เธอเพิ่งรู้จักได้ไม่กี่วันมาแนะนำให้กับ ทอมได้รู้จัก ทำเอาหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่ควงหญิงมานับร้อยผู้นี้ถึงกับอึ้งกิมกี่ ทำอะไรไม่ถูก



ฮันนาห์หญิงสาวในวัยเกือบสามสิบพบกับคอลลิน ในขณะที่เธอหลงอยู่ในฝูงแกะแพะวัวที่เดินมาขวางทางขณะที่เธอขับรถอยู่ที่สก๊อตแลนด์ ในวันที่ฝนตกหนัก แต่เหตุการณ์ก็เป็นเหมือนดังเทพนิยายเมื่อจู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มราชนิกูลสก๊อต มาช่วยให้เธอพ้นจากวิกฤตในวันนั้น การปรากฏตัวของคอลลินในชีวิตของฮันนาห์นั้นเกิดขึ้นรวดเร็ว และมหัศจรรย์มากเสียจน ฮันนาห์เหมือนต้องมนตร์สะกดของเหตุการณ์คล้ายเทพนิยายที่หญิงสาวหลาย ๆ คน น่าจะเคยถวิลหาในวัยเด็ก ด้วยเหตุนี้เอง แม้เธอจะรู้จักกับคอลลินเพียงกว่า สัปดาห์ เธอก็สามารถจะรับคำแต่งงานของคอลลินได้

และ ประเด็นของหนังยิ่งซับซ้อนเข้าไปอีกเมื่อ ฮันนาห์ ก็ต้องการให้ทอมเป็นเพื่อนเจ้าสาวของเธอในงานแต่งงานเธอที่จะจัดขึ้นในสก๊อตแลนด์ด้วย

มาถึงตรงนี้ แล้ว ทอมจึงตัดสินใจที่จะ บอกความจริง กับฮันนาห์ และสิ่งที่เพื่อนพ้องของแพทริกเรียกกันว่า “ปฏิบัติการชิงตัวเจ้าสาว” กับความวุ่นวายทั้งหลาย จึงเริ่มขึ้น ซึ่งฮันนาห์จะต้องเป็นผู้ตัดสินใจ ว่าเธอจะเลือกใคร ระหว่างชายหนุ่มราชนิกูลผู้ปรากฏกายดังอัศวินจากความฝันอย่างคอลลิน หรือ ผู้ชายที่รู้จักสนิทชิดเชื้อกันมากว่าสิบปี จนรู้ใจกันอย่างทอม



Create Date : 20 ตุลาคม 2551
Last Update : 21 ตุลาคม 2551 12:18:03 น.
Counter : 575 Pageviews.

0 comment
วิวาห์อลเวง - Mamma Mia
โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองสาระที่น่าประทับใจที่สุดของภาพยนตร์เรื่อง Mamma Mia ก็คือ การนำเพลง ฮิตในยุค 70s ของวงดนตรีชื่อดังอย่าง ABBA กลับมาปัดฝุ่น อีกครั้ง ซึ่งขอบอกได้เลยว่า จังหวะแบบดิสโก้ในเพลงเร็ว และรวมถึงเพลงช้า อีกหลาย ๆ เพลงนั้นทำให้ผมมีความสุขเป็นพิเศษ โดยที่สรรหาเหตุผลมาบอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงมีความสุข (เอ..ถ้าอธิบายเหตุผลไม่ได้ จะมีใครหาว่าผมตรรกะห่วยไหม?)

แต่ ถ้าให้เดาใจตัวเอง ก็น่าจะเป็นเพราะว่า ได้ฟังเพลงจังหวะ ดิสโกในแนวอื่นยุคใกล้เคียงกันที่ไม่ใช่ บีจีส์ละกระมั้ง ถึงกระนั้นผมก็ยังเชื่อว่า ไม่น่าจะใช่เหตุผลทั้งหมดเสียทีเดียว เนื้อเรื่อง ประกอบ กับการตีความตัวบทของผู้แสดงชั้นครู อย่าง เพียร์ บรอสแนน หรือ เมอรีล และ คนอื่น ๆ จนทำให้หนังเรื่องนี้ออกมาดี ก็น่าจะมีส่วนอยู่ไม่น้อย

เนื้อเรื่องเริ่มต้น ณ เกาะที่งดงามแห่งหนึ่งในดินแดนกรีก โซฟี เด็กสาวผู้ที่ไม่เคยเห็นพ่อเลยตั้งแต่เกิด กำลังจะแต่งงาน เธอได้พยายามจะหา พ่อ ของเธอ โดยค้นหาจากสมุดบันทึกที่แม่เขียนไว้สมัยสาว ๆ

แต่ทำไปทำมากลับกลายเป็นว่าพบว่า ในสมัยที่แม่เธอเป็นสาวสะพรั่งเจ้าสำราญนั้น คุณแม่เจ้ากรรมมีชายหนุ่มมาติดพันมากเสียเหลือเกินจนไม่ทราบว่าใครเป็นพ่อเธอกันแน่ ในหนังบอกว่ามีชายถึงสามคน ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นพ่อ ของโซฟี เธอ จึงแอบส่งจดหมายไปเชิญชายสามคนนั้นให้มางานแต่งงาน โดยที่ไม่ได้บอก ให้แม่เธอรู้


และเรื่องราววุ่น ๆ ก็เกิดขึ้น เมื่อ ทั้งสามคน โผล่มางานแต่งงานโซฟีจริง ๆ เสียด้วย งานแต่งงานที่กำลังจะเริ่มขึ้น จึงกลายเป็นวิวาห์อลเวง เสียอย่างนั้น ในขณะที่ บาตรหลวงกำลังจะประกาศให้ โซฟี กับ สกาย แฟนหนุ่มเป็น สามี ภรรยากันอยู่แล้ว จู่ ๆ ความลับที่ว่า แม่ของโซฟี ช่างมีชายมากหน้าหลายตาเสียจนไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของโซฟี (ในหนังเธอใช้คำว่าเจ้าของสเปอร์ม) ก็ถูกป่าวประกาศ ขึ้นกลางโบสถ์ ซึ่งคุณพ่อฟังแล้วก็คงขำไม่ออก แม้ในหนังจะเห็นแกอมยิ้มอยู่เล็ก ๆ จนเป็นที่มาของวิวาห์ที่กลับตาลปัตรในท้องเรื่องชนิดที่ทั้งบาตรหลวง ผู้เข้าร่วมงานแต่งงานรวมไปจนถึงคนดูถึงกับอึ้งกันไปตาม ๆ กัน แต่คนดูอาจจะขำมากกว่าอึ้ง

เห็นอย่างนี้ดูไปดูมา แล้วก็อดคิดขำกับเรื่องเกี่ยวกับความรักและชีวิตสมรสไม่ได้ คนบางคนไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสกลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ ก็ดันได้มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในอีก อย่างคาดไม่ถึง นอกจากนี้แล้วเรื่องความหน้าไหว้หลังหลอก มือถือสากปากถือศีลในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ก็ยังถูกจุดประเด็นขึ้นมาได้เจ็บแสบแต่อาจจะเป็นเพราะ ความที่คนดูมัวแต่ขำประกอบกับเสียงดนตรีที่ไพเพราะกำลังบรรเลงอยู่ การวิพากษ์สังคมและความเคร่งในเรื่องเพศตามหลักศาสนาของภาพยนตร์เรื่องนี้ทำได้อย่างแนบเนียนทีเดียว




Create Date : 06 ตุลาคม 2551
Last Update : 7 ตุลาคม 2551 14:14:55 น.
Counter : 397 Pageviews.

0 comment
โลง ต่อ ตาย
ภาพยนตร์เรื่อง โลงต่อตาย ได้เล่าเรื่องราวของคนสองคน ที่ต้องเจอะเจอ เรื่องราวอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ ทั้งคู่

คริส ต้องการจะต่ออายุให้กับแฟนสาวของเขา คือ มาริโกะ แต่หลังจากทำพิธี กลับต้องเจอการรังควาน ของผีสาวแม่ลูกอ่อนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเขายิ่งนัก

ในขณะที่ ซู นักโภชนาการสาวชาวฮ่องกง ที่กำลังจะแต่งงานอยู่อีกไม่ถึงเดือน แต่กลับพบว่า ตัวเองเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เลยมาเมืองไทย เพื่อ ทดสอบเข้าร่วมพิธีกรรมดังกล่าว แต่แล้ว ก็เกิดเรื่อง ไม่คาดฝันขึ้น คือคู่หมั้นของเธอ ประสบอุบัติเหตุ จนเสียชีวิต

หลังจากนั้น เธอ ก็โดนวิญญาณแฟนหนุ่ม ตามหลอกหลอน คุกคามเรื่อยมา


ทั้งคริส และซู คงไม่เคยคิดมาก่อนว่า การไปทำพิธีกรรม สะเดาะเคราะห์นั้นส่ง ผลต่อทั้งชีวิต ของเขาและเธอ และคนที่เขาและเธอรัก จนทำให้ต้องพบเจออะไรแปลก ๆ ที่น่าขนพองสยองเกล้าและสะเทือนใจยิ่ง

-------------





หนังเรื่องโลงต่อตาย นำเสนอวิธีคิดของคนจำนวนไม่น้อย ที่เชื่อว่า การนอนโลงศพสะเดาะเคราะห์จะช่วย ยืดอายุ ขจัดภยันตราย ทุกข์ภัย ของตนได้

หลายต่อหลายคน เป็นโรคที่ เชื่อว่า ไม่มีทางรักษาได้แน่ ๆ พอไปสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีดังกล่าว โรคภัยนั้นก็หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

แต่จะมีประโยชน์อันใด เล่า หากว่า การสะเดาะเคราะห์ของเรานั้น มีผลไปทำให้ คนที่เรารักต้องรับเคราะห์ต่อจากเรา ไปเสียอย่างนั้น



Create Date : 25 กันยายน 2551
Last Update : 25 กันยายน 2551 12:21:41 น.
Counter : 411 Pageviews.

0 comment
เมื่อตะวันออกพบตะวันตก: The Forbidden Kingdom



หนังเรื่อง The Forbidden Kingdom เป็นเรื่องราวของ Jason วัยรุ่นอเมริกัน ผู้คลั่งไคล้ในหนังฮ่องกง และการต่อสู้แบบกังฟูมาก ประเภทว่า มาไชน่าทาวน์เพื่อเช่าหนังดู บ่อยเสียจน ผูกมิตร กับอาแปะเจ้าของร้านได้มากพอสมควรทีเดียว

จุดเริ่มต้น ของเรื่องราวสุดระทึก ก็มีอยู่ว่า ขาใหญ่ประจำย่านที่เหม้นขี้หน้า Jason อยู่แล้ว ได้ขู่ให้ Jason ทำทางเพื่อไปปล้นร้านตาแปะ ที่ Jason ไปอุดหนุนบ่อย ๆ

ตอนแรก Jason ไม่ได้คิดว่าจะเกิดอันตรายอะไรร้ายแรง ก็นำทางไปแต่โดยดี แต่ทำไปทำมา หลังจากที่มีการควักปืนออกมาเล่น Jason จึงพยายามช่วยตาแปะ ขัดขืน แต่เพราะความที่ Jason ไม่รู้วิธีการต่อสู้ เลยทำให้เขาเพลี่ยงพล้ำพลาด พลัดตกลงมาจากชั้นบนของร้าน ในมือพลางก็ถือกระบอง ที่ ว่ากันว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์อยู่
และหมดสติไป

----------------


หลังจากที่ Jason ลืมตาขึ้นมา เขาก็พบว่า สิ่งแวดล้อมรอบตัวนี่ไม่ใช่ประเทศ สหรัฐอเมริกา แต่น่าจะเป็นที่ไหนสักที่ ๆ ในเมืองจีน ที่มีจอมยุทธ เต็มไปหมด

แต่สิ่งหนึ่งที่เขานำติดตัวมาจากสหรัฐอเมริกาในปี 2008 ด้วยก็คือ "กระบองวิเศษ" ด้ามนั้น ซึ่ง Jason มาทราบเอาภายหลังว่า เขามีภาระกิจ ต้องนำไปคืน เจ้าของโดยชอบธรรม

จนนำมาซึ่งการผจญภัยอันสุดระทึกบนผืนแผ่นดินจีน

แต่ภาระกิจจะสำเร็จลุล่วงไม่ได้ หากว่า เขาไม่เรียนรู้วรยุทธ
Jason จึงได้ฝึกการต่อสู้ในแบบกังฟู กับอาจารย์ชั้นเลิศในยุทธจักรถึงสองคน

และสิ่งที่เขาได้เรียนรู้นั้น หาใช่แต่เป็นเพียงกระบวนท่าเท่านั้น
หากแต่ยังรวมไปถึงวิธีคิด และปรัชญาการดำเนินชีวิตในแบบตะวันออกอีกด้วย

---------------

แนวคิดที่น่าสนใจที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้น

"เรียนรู้ให้ครบทุกกระบวนท่า นำมาฝึกฝนจนช่ำชอง จากนั้นลืมกระบวนท่าเหล่านั้นให้หมด"

วิธีคิดเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงการเรียนรู้ ที่ผู้ศึกษาต้องรู้จริง และเมื่อรู้จริงและปฏิบัติได้จริงแล้วก็ไมควร่ยึดติดกับความรู้เดิม ๆ หากแต่ควรมีไหวพริบนำไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต

----------------

หลังจาก Jason ผจญภัยอยู่ในดินแดนอันชวนพิศวงอยู่นานหลายวัน จนภารกิจการนำกระบองวิเศษไปคืน "เจ้าของโดยชอบธรรม" ลุล่วงไปด้วยดี

เขาก็พบว่า ตัวเองย้อนกลับมาในช่วงเวลาก่อนที่จะหมดสติ ในสหรัฐอเมริกา อีกครั้ง

พวกขาโจ๋ ที่มาปล้นตาแปะ กำลังวิ่งตาม ลงมา เพื่อรุมทำร้ายเขาอีกครั้ง

แต่ คราวนี้ Jason ไม่เหมือนคนเดิมอีกแล้ว เพราะเขาได้ผ่านการฝึกวรยุทธ มาจนช่ำชอง
พวกขาโจ๋เหล่านั้น จึงไม่สามารถรังแก ทำร้ายเขาได้อีก และ Jason ก็ช่วยไม่ให้ร้านตาแปะ รอดพ้นไปจากภยันตรายในครั้งนี้ได้

------------------

ผมเคยได้ยินมาว่า "เวลาในใจ" ของแต่ละคนเดิน ช้า-เร็ว ไม่เท่ากัน

เมื่อใดก็ตาม ที่คนเรา เข้ามานั่งเรียนในห้องเรียน ในวิชาที่สุดแสนน่าเบื่อ เราจะอยากให้การเรียนนั้นจบลงเร็ว ๆ เสียที จนเวลาภายนอกจะเดินช้ามาก ในใจก็คิดพลางว่า กว่า สิบนาทีจะผ่านไป ทำไมมันช่างนานยังกะหนึ่งชั่วโมง

ในทางตรงกันข้ามถ้าเราได้อยู่กับคนที่เรารัก หรือทำในสิ่งที่เราชอบ

บางที เพียงแค่คุยกันสองชั่วโมง หรือเล่นแค่สามชั่วโมง แต่ก็ดูเหมือนว่ามันช่างผ่านไปเร็วเหมือน ห้านาที เสียจนน่าประหลาดใจ

----------------

มีคนเคยสันนิษฐานว่า จิตที่ได้รับการฝึกดีแล้ว คือสามารถควบคุมจังหวะการหายใจอย่างสม่ำเสมอ จนสามารถสั่งให้เป็นสมาธิได้เหมือนกับกดปุ่มเปลี่ยช่องทีวี นั้นจะสามารถ ควบคุม การยืด-หด หรือเวลาภายในใจ ของตนได้

และจะสังเกตได้ว่าคนที่มีสมาธิ ดี ๆ เช่นนี้ มักจะมีความสามารถสูงในด้านต่าง ๆ เพราะเขาสามารถควบคุมเวลา ที่จะเก็บรายละเอียดทักษะในเรื่องเฉพาะทาง ในการงานที่เขารัก จนกระทั่งมีความสามารถที่เหนือผู้อื่นได้


ก็คงคล้ายกับกรณี ของหนังเรื่อง The Forbidden Kingdom ที่แม้เราจะไม่เห้นว่า Jason จะไปฝึกสมาธิมาตั้งแต่เมื่อไหร่

แต่มันชวนคิดเหลือเกินว่า มนตราที่แฝงอยู่ในกระบองวิเศษนั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยนำพาให้เขาตกไปอยู่ใน "หลุมแห่งกาลเวลา" ที่แม้ในสหรัฐอเมริกาจะเวลาจะผ่านไปเพียงไม่กี่นาที

แต่อาณาจักรต้องห้ามนั้น เวลาผ่านไปเป็นเดือน เป็นปี และก็ยาวนานพอที่ Jason สามารถพัฒนาฝีมือด้านการต่อสู้แบบกังฟู เพื่อย้อนกลับออกมาต่อสู้ กับอันธพาลที่มาปล้นร้านอาแปะ ในไชน่าทาวน์ได้อย่างไม่ยากเย็น



Create Date : 06 กันยายน 2551
Last Update : 23 กันยายน 2551 19:59:54 น.
Counter : 422 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  

เชษฐภัทร
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



New Comments
All Blog
MY VIP Friend