ติดตาม Bangkok Hospital Pattaya Channel ได้ที่นี่ //m.bangkokpattayahospital.com/th/bangkok-hospital-pattaya-channel-th/b-event-th

โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา ดูเว็บไซต์ที่ www.bangkokpattayahospital.com

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือ ปรึกษาแพทย์ได้ ที่นี่

หน้าเล็ก หน้าใหญ่ หน้าไม่ได้ดั่งใจ ริ้วรอยแห่งวัยบนใบหน้าหายไป เมื่อคุณใช้โบท็อกซ์ (Botox) ของแท้มาตรฐานจากอเมริกา และมาตรฐานจากเกาหลี ที่โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา 
ฟังดูเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับการฉีดโบท็อกซ์ ใครๆ ก็เข้าถึงได้เพราะราคาแสนถูก เห็นเริ่มต้นกันที่หลักร้อยก็มี แต่จะมีสักกี่ที่ที่คุณสามารถเชื่อถือและไว้วางใจได้ว่าคุณจะได้รับของแท้ มีใครหลายต่อหลายคนหันไปพึ่งความสวยแบบประหยัด ซึ่งคำถามส่วนใหญ่ที่ลูกค้าเข้ามาปรึกษาหมอคือ ฉีดแล้วอยู่ได้ไม่นาน ฉีดแล้วไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ฉีดแล้วมีอาการผิดปกติ ฉีดแล้วหน้าเบี้ยว ให้หมอแก้ให้ เพราะไม่รู้ว่าของที่ใช้เป็น “ของปลอม” เป็นสินค้า “ใกล้หมดอายุ” เต็มทีและที่สำคัญ “ไม่ใช่หมอเป็นผู้ฉีด!”

การฉีดสารโบท็อกซ์ทางการแพทย์

สารโบทูลินัม ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักในโบท็อกซ์ มีคุณสมบัติโดยตรงในการทำให้เซลล์ประสาท ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัวแต่ไม่บีบกลับ ส่งผลให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต ซึ่งหากได้รับการฉีดโดยบุคคลทั่วไปหรือไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางจะมีความเสี่ยงมาก สารโบท็อกซ์จะออกฤทธิ์ช่วยทำให้ใบหน้าเรียว ผิวหน้ากระชับขึ้นประมาณ 3-6 เดือน หลังจากนั้นสามารถทำการฉีดซ้ำเพื่อรักษาโครงหน้าให้ยังคงเรียวเข้ารูปเอาไว้
สำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้ สารโบทูลินัม กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร รวมไปถึงเคยมีประวัติเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงมาก่อนไม่ควรเข้ารับการฉีดสารโบท็อกซ์โดยเด็ดขาด

ก่อนฉีดโบท็อกซ์ต้องเตรียมตัวอย่างไร ?

ที่ศูนย์ผิวพรรณและศัลยกรรมความงามจะใช้หลักการเดียวกันกับการผ่าตัดใหญ่ เนื่องจากมีความเสี่ยงไม่ต่างกัน เช่น งดดื่มแอลกอฮอล์ 3-5 วัน งดรับประทานน้ำมันปลาและยาละลายลิ่มเลือด 7- 10 วัน เนื่องจากจะส่งผลให้เกิดรอยช้ำและบวมหลังจากฉีด 
ขั้นตอนในการฉีดที่ศูนย์ฯ จะบริการแปะยาชาประมาณ 30-45 นาที เนื่องจากบริเวณหางตา หัวคิ้ว ไวต่อความรู้สึกและจะทำให้เจ็บขณะฉีดได้ส่วนบริเวณกรามก็อาจจะแค่ตื้อๆ ไม่เจ็บมาก

ผู้ที่ฉีดสารโบท็อกซ์ปลอม หรือด้อยคุณภาพนอกจากฤทธิ์ของสารจะไม่คงอยู่ยาวนานเหมือนปกติแล้วยังเป็นภาวะเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอีกด้วย ซึ่งหากต้องการแก้ไขปัญหาหย่อนคล้อยของใบหน้า ริ้วรอยตามจุดต่างๆ เช่น รอบดวงตา ร่องแก้ม หว่างคิ้ว หรือต้องการปรับโครงหน้าให้เรียว ต้องให้แพทย์เป็นผู้พิจารณารักษา และเลือกใช้โบท็อกซ์ที่ดีมีคุณภาพ อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาที่เน้นราคาถูกโดยไม่ทราบข้อมูลอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลดีเป็นที่พอใจและมีความปลอดภัยสูงสุด

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ผิวพรรณและศัลยกรรมความงาม โทร.1719

ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเฟิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ผิวพรรณและศัลยกรรมความงาม

โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา ดูเว็บไซต์ที่ www.bangkokpattayahospital.com

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือ ปรึกษาแพทย์ได้ ที่นี่

สัปดาห์ที่แล้วเรากล่าวถึงการเสริมจมูกแบบปกติ และพอทราบถึงรูปทรงกันไปบ้างแล้ว หลายคนอาจจะมีข้อสงสัยอยู่ว่าเอ๊ะ ! แล้วงานแก้จมูกของศูนย์ผิวพรรณและศัลยกรรมความงามมีให้บริการไหม ? 

ตอบได้เลยว่ามี แต่ก่อนอื่นเราจะแบ่งงานแก้ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆได้แก่

• การแก้ไขภาวะปกติ
• การแก้ไขที่มีภาวะแทรกซ้อน

1.การแก้ไขภาวะปกติ หมายถึง การแก้ไขโครงสร้างจมูกที่มีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด อย่างเช่นจมูกเอียงเล็กน้อย จมูกมีปุ่มกระดูกอยู่กลางจมูก (ฮัมป์) ซึ่งการเหลาจมูกโดยการตัดปุ่มนี้เราเรียกว่า correction rhinoplasty ต้องใช้ยาสลบในการผ่าตัด ส่วนมากคนไทยไม่ค่อยมีปัญหานี้ การถอดซิลิโคน ปัญหานี้ทำได้โดยการฉีดยาชา จากนั้นดึงซิลิโคนออกแล้วเย็บปิด และรับยาไปรับประทาน

2. การแก้ไขภาวะที่มีภาวะแทรกซ้อน หมายถึง การแก้ไขในผู้ที่เคยผ่านการเสริมจมูกมาแล้ว และเกิดการทะลุ หรืออักเสบแล้วแพทย์วินิจฉัยว่ามีความจำเป็นที่จะต้องถอดซิลิโคนออก

การตัดปีกจมูก (Alarplasty)

คือการตัดผิวหนังและกล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูกทั้งสองข้าง ส่วนใหญ่มักจะทำร่วมกับการผ่าตัดเสริมจมูกเพื่อที่จะได้ใช้ยาชาในครั้งเดียว ส่วนสำหรับบางคนที่มีจมูกโด่งอยู่แล้ว แต่ปีกจมูกบาน สามารถตัดเฉพาะปีกจมูกได้ รอยผ่าตัดจะถูกเย็บซ่อนไว้ในร่องจมูก ซึ่งแพทย์ใช้ไหมขนาดเล็ก ทำให้สังเกตรอยแผลเป็นได้ยาก

การดูแลหลังผ่าตัดเสริมจมูก

1. นอนศีรษะสูงเพื่อให้เลือดไหลเวียนเข้าสู่หัวใจได้ง่าย ลดอาการบวม ใช้เวลาประมาณ 4 วัน
2. ใช้ถุงประคบเย็น (cold pack) ที่แช่เย็นแล้ววางบริเวณกึ่งกลางสันจมูก ประมาณ 15-20 นาที วันละ 5-6 ครั้ง
3. เลี่ยงอาหารรสจัด และอาหารที่มีกลิ่นฉุน เพราะจะทำให้ไอ จาม และงดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
4. หากมีเลือดไหล หรือน้ำมูกให้ใช้ไม้พันสำลีเช็ดทำความสะอาด กดบริเวณเลือดไหลไว้ เลือดจะหยุดเอง
5. รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ และมาตรวจตามนัด

สามารถสอบถามหรือนัดหมายเพื่อใช้บริการได้ที่ ศูนย์ผิวพรรณและศัลยกรรมความงาม รพ.กรุงเทพพัทยา หรือโทร.1719

ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเฟิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ผิวพรรณและศัลยกรรมความงาม

โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา ดูเว็บไซต์ที่ www.bangkokpattayahospital.com

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือ ปรึกษาแพทย์ได้ ที่นี่

ผู้หญิงไทยเป็นมะเร็งปากมดลูกมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม และจากสถิติโรคมะเร็งในประเทศไทย พบว่ามีผู้ป่วยหน้าใหม่ถึง 6,400 รายต่อปี และมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ถึง 3,000 รายต่อปี โดยสาเหตุหลักที่พบมากที่สุดคือการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus Infection) สายพันธุ์ชนิด 16 และ 18 ซึ่งหลายคนอาจไม่เคยทราบว่า ไวรัสทั้งสองชนิดนี้สามารถป้องกันได้มากกว่าร้อยละ 70 เพียงฉีดวัคซีนลดความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก HPV ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ
(ที่มาข้อมูล: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข)

ไวรัส HPV ร้ายกว่าที่คิด

ร้อยละ 70 ของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) สายพันธุ์ชนิด 16 และ 18 ผ่านทางเพศสัมพันธ์มากที่สุด ดังนั้นผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้วจึงนับว่ามีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัส HPV โดยปัจจัยเสี่ยงเกิดจาก

• มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย
• มีคู่นอนหลายคน
• มีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
• ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
• ไม่สวมถุงยางอนามัย
• สูบบุหรี่
• อื่นๆ

คู่นอนคนเดียวคนเดิมก็ติดเชื้อ HPV ได้

ผู้หญิงหลายคนอาจไม่เคยรู้เลยว่า แม้จะมีเพศสัมพันธ์กับสามีเพียงคนเดียวมาตลอดก็สามารถติดเชื้อ HPV ได้เช่นกัน หากฝ่ายชายมีเชื้อ HPV อยู่ ที่สำคัญผู้หญิงมักชะล่าใจกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เพราะคิดว่าตนเองไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง อีกทั้งอายหรือกลัวที่จะต้องพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ทำให้แนวโน้มการเกิดมะเร็งปากมดลูกยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทำความเข้าใจวัคซีน HPV ให้ถูกต้อง

วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก HPV เป็นวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV ที่ผลิตจากชิ้นส่วนโปรตีนของเชื้อไวรัสซึ่งไม่ก่อโรค แต่มีประสิทธิภาพช่วยสร้างภูมิคุ้มกันการติดเชื้อไวรัส HPV โดยปัจจุบันวัคซีนชนิดนี้แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

วัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์ (Cervarix) ป้องกันเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ 16 และ 18ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกมากกว่าร้อยละ 70

วัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ (Gardasil) ป้องกันไวรัส HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกได้มากกว่าร้อยละ 70 และป้องกันเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ 6 และ 11 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคหูดหงอนไก่ได้ถึงร้อยละ 90

วัคซีน HPV ยิ่งฉีดแต่เด็ก ยิ่งประสิทธิภาพสูง

การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก HPV สามารถช่วยป้องกันโรคนี้ได้ โดยควรฉีดในเด็กผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 9 – 14 ปี เพราะเป็นช่วงวัยที่เหมาะสมที่สุดในการรับวัคซีน HPV เนื่องจากมีผลวิจัยทางการแพทย์ระบุว่า เด็กผู้หญิงที่อยู่ในช่วงวัยดังกล่าวมีการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันดีกว่าช่วงอายุอื่นๆ และเป็นวัยที่ยังไม่เคยมีกิจกรรมทางเพศมาก่อน

อีกทั้งโดยปกติแล้วการฉีดวัคซีน HPV สำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปจะต้องฉีดทั้งหมด 3 ครั้ง เมื่อเริ่มฉีดเข็มแรก หลังจากนั้นอีก 2 เดือนจึงฉีดเข็มที่ 2 และครบ 6 เดือนจึงฉีดเข็มที่ 3 ซึ่งผู้หญิงที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์แล้ว ประสิทธิภาพของวัคซีนจะลดลง ได้ผลดีไม่เท่ากับผู้หญิงที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์

และเมื่อเทียบกับการฉีดวัคซีน HPV ตั้งแต่อายุ 9-14 ปี ซึ่งจะฉีดเพียง 2 ครั้งเท่านั้นคือ เดือนแรกและอีก 6 เดือนถัดมา ผลการวิจัยพบว่าภูมิคุ้มกันตอบสนองได้ดีมากเท่ากับการฉีดวัคซีน 3 ครั้ง นั่นคือ จำนวนเข็มน้อยกว่า ประสิทธิภาพสูงกว่า และป้องกันไวรัส HPV ได้ตลอดชีวิต

นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่ผู้หญิงที่ควรได้รับการฉีดวัคซีน HPV ผู้ชายก็เช่นเดียวกัน เพราะช่วยป้องกันการแพร่เชื้อ HPV สู่ผู้หญิงได้ อีกทั้งยังช่วยป้องกันโรคหูดหงอนไก่ในเพศชายและโรคมะเร็งทวารหนักด้วย

ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเฟิ่มเติมได้ที่ ศูนย์สุขภาพสตรี

โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา ดูเว็บไซต์ที่ www.bangkokpattayahospital.com

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือ ปรึกษาแพทย์ได้ ที่นี่

ปัจจุบันการเสริมจมูกไม่ได้มีแค่ต้องการให้มีดั้งหรือดูเป็นธรรมชาติเท่านั้นเพราะหากเห็นในโฆษณาจากสื่อต่างๆ จะมีทรงจมูกให้เลือกมากมาย ทั้งทรงหยดน้ำ ทรงบาร์บี้ไลน์ ทรงปริ้นเซส ทรงไอเฟลทิป หรือสารพัดทรงที่แล้วแต่จะเรียก ซึ่งจริงๆแล้วทรงต่างๆมันมีที่มาของมัน ซึ่งจะเป็นอะไรนั้น ไปดูกัน

1. ทรงไอเฟลทิป เกิดจากความโด่งของจมูกที่เสริมจากซิลิโคนบวกกับเนื้อเยื่อคนไข้เอง หรือเนื้อเยื่อเทียม ทำให้หลายคนนิยมอยากทำทรงนี้
2. ทรงหยดน้ำ ทรงนี้จากพื้นฐานคนที่มีเนื้อจมูกค่อนข้างมากอยู่แล้ว มีความโด่งอยู่เล็กน้อย การใช้ ซิลิโคนบวกกับเนื้อเยื่อตนเองหรือเนื้อเยื่อเทียมก็สามารถทำได้ เมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นเป็นทรงหยดน้ำ จึงเป็นที่มาของชื่อนั่นเอง
3. ทรงบาร์บี้ไลน์ ทรงนี้คล้ายทรงไอเฟลทิป แต่ความโด่งจะไม่เท่า และดูเป็นธรรมชาติมากกว่า เหมาะกับคนที่มีโครงจมูกค่อนข้างสั้น ซึ่งหลังจากทำไปแล้ว จมูกที่ได้จะดูธรรมชาติ
4. ทรงปริ้นเซส ความเด่นของทรงนี้ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าทรงอื่นๆ เพราะไม่โด่งพุ่ง ไม่เป็นหยดน้ำ เหมาะทั้งคนที่มีโครงจมูกสั้นและยาว หรือจะเรียกอีกอย่างว่าทรงจมูกแบบธรรมชาติ

Q: เค้าได้ชื่อทรงเหล่านี้มาจากไหนกัน?
A: จริงๆแล้ว แพทย์แต่ละท่านหรือแต่ละที่จะมีความสามารถเฉพาะทางอยู่แล้ว ทรงต่างๆที่เราเรียกกันก็มาจากเรานำทรงจมูกไปเปรียบเทียบกับจินตนาการต่างๆนั่นเอง เลยเป็นชื่อเรียกติดปาก ซึ่งในอนาคตอาจมีชื่อเรียกมากกว่านี้ก็ได้

Q: ลูกค้าทุกคนสามารถเลือกทรงได้ตามใจตัวเองไหม?
A: Idol nose หรือจมูกในอุดมคติ ทุกคนมีได้ทั้งนั้นแต่พอกลับมาดูพื้นฐาน บางคนอาจโชคดีที่ได้ทรงตามใจ บางคนที่พื้นฐานไม่พอก็อย่าเสียใจ ถึงแม้บางคนอาจทำพุ่งโด่งมากไม่ได้ ก็ใช่ว่าเราจะไม่มีโอกาสสวยเอาซะเลย อย่าลืมว่าการทำศัลยกรรมมีแบบทั้งเสริมความงาม และแก้ไขความบกพร่องบนใบหน้า ดังนั้น หากทำแล้วดูดีกว่าเดิม มันก็น่าภูมิใจแล้ว

กรุงเทพพัทยามีทรงไหนให้เลือกบ้าง ?

ศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยาไม่ได้มีซิลิโคนสำเร็จเหมือนที่อื่น และนี่คือจุดเด่น ว่าทำไมลูกค้าหลายคนจึงตัดสินใจมาทำที่นี่ 
ข้อดีของซิลิโคนสำเร็จคือ ทรงสวย ใช้งานง่าย ใช้เวลาผ่าตัดน้อย คำถามกลับกัน

- คน 10 คนสามารถเสริมจมูกทรงเดียวกัน ขนาดเท่ากันได้หรือไม่
- คน 10 คนมีพื้นฐานโครงสร้างจมูก และความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อเท่ากันหรือไม่

คำตอบแน่นอนอยู่แล้วว่า “ไม่” ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงไม่ใช้ซิลิโคนสำเร็จ เพราะ “พื้นฐานทางโครงสร้างของมนุษย์ไม่ได้ออกแบบมาให้เหมือนกัน จึงมีศาสตร์ศัลยกรรมตกแต่งขึ้น และเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของศัลยแพทย์”

สำหรับการศัลยกรรมที่นี้จึงมีขั้นตอนการปรึกษาแพทย์ที่ค่อนข้างละเอียด การผ่าตัดใช้เวลาเกือบชั่วโมง เพราะต้องเหลาซิลิโคนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้เหมาะสำหรับแต่ละบุคคล และเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ออกมามีความปลอดภัยสูงสุด ทั้งในเรื่องของความสมมาตร การเฝ้าระวังการทะลุ หรือแม้กระทั่งอาการฟกช้ำหลังผ่าตัด

โรงพยาบาลขนาดใหญ่ ราคาแพงกว่าที่อื่นหรือเปล่า ?

ที่นี่เรามีราคาเริ่มต้นให้ตัดสินใจเบื้องต้น หากไม่ได้มีภาวะแทรกซ้อน หรือมีความผิดปกติไปมากนัก สามารถใช้ราคานั้นได้ แต่หากอยากเสริมให้มีลักษณะพิเศษ หรือแพทย์วินิจฉัยว่ามีความยากของการเสริม ราคาก็จะบวกเพิ่มซึ่งขึ้นอยู่กับพื้นฐานของแต่ละคน และรวมไปถึงการใช้เนื้อเยื่อแท้หรือเนื้อเยื่อเทียมราคาก็จะบวกเพิ่มจากต้นทุนที่ใช้และความยากของการศัลยกรรม ถึงจุดนี้คงตอบคำถามได้แล้วว่าศัลยแพทย์ตกแต่งที่นี่มีความชำนาญมากแค่ไหน

ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเฟิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ผิวพรรณและศัลยกรรมความงาม

โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา ดูเว็บไซต์ที่ www.bangkokpattayahospital.com

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือ ปรึกษาแพทย์ได้ ที่นี่